ตำนานจอมราชันย์อหังการ - บทที่ 68 ออกไปเรี่ยไรเงินทองกลางดึก!
บทที่ 68 ออกไปเรี่ยไรเงินทองกลางดึก!
ตู๋ซานชิงเอ่ยด้วยความสงสัยภายใต้งอบที่ปกปิดใบหน้าไปเกือบครึ่ง “เปล่า!”
ตอนแรกจางเชียนรู้สึกสับสนเล็กน้อย “เขา… หรือเขาจะเชิญผู้ใดมาช่วยรับมือ?”
ตู๋ซานชิงส่ายหัว “ถ้าเชิญใครมา แมลงของข้าน่าจะถูกฆ่าหรือติดกับดักแล้ว แต่ข้าสัมผัสได้ว่าแมลงของข้ากำลังโจมตีเขา แต่แค่ยังไม่สำเร็จในยามนี้”
“ถ้าอย่างนั้น เจ้าก็เพิ่มความแข็งแกร่งของเจ้าได้หรือไม่?” จางเชียนรู้สึกดีขึ้นเล็กน้อยเมื่อได้ยินสิ่งนี้
ตู๋ซานชิงส่งเสียงตอบรับแล้วแขนเสื้อข้างขวาก็ปรากฏกระดิ่งเล็ก ๆ อันหนึ่ง
เสียงกระดิ่งดังกรุ๊งกริ๊งขึ้นมาทันที
ส่วนสถานการณ์ภายในคฤหาสน์ในยามนี้ แมลงเหล่านั้นพากันโจมตีอย่างดุเดือดราวกับว่าพวกมันถูกกระตุ้นจากบางสิ่ง
ความเร็วและพลังของพวกมันแข็งแกร่งขึ้นมามาก
แม้แต่หนานเหยาที่เฝ้าดูอยู่ด้านข้างก็อดรู้สึกมึนงงไม่ได้ “นี่มันอะไรกัน!”
ทว่าลู่เฉินกลับยิ้ม “ในที่สุดก็มีประโยชน์บ้างแล้ว”
”มีประโยชน์?” หนานเหยาไม่เข้าใจว่าลู่เฉินกำลังทำอะไร จนกระทั่งผ่านไปครู่หนึ่ง ตู๋ซานชิงที่อยู่ข้างนอกก็รอไม่ไหว เขาหยิบกระบอกไม้ไผ่ขนาดเล็กอีกอันออกมา
คราวนี้แมลงสีดำเหล่านั้นพลันคลานออกมาจากด้านใน แต่แมลงตัวเล็ก ๆ เหล่านี้กลับปรากฏขึ้นให้เห็นราง ๆ ก่อนจะหายวับแล้วไปโผล่ยังจุดที่ไกลออกไป
จางเชียนที่กำลังเฝ้าดูอยู่พูดอย่างตื่นเต้นว่า “นี่คือแมลงระยับในตำนานหรือ?”
”ใช่ แค่พริบตาก็สามารถบินไปได้หนึ่งก้าว ทำให้ผู้ที่อยู่ในขั้นก่อกำเนิดยังทำลายพวกมันได้ยาก” ตู๋ซานชิงกล่าวอย่างพึงพอใจ
เมื่อได้ยินเช่นนี้ จางเชียนก็ร่าเริงขึ้นทันที “เยี่ยม!”
ส่วนตู๋ซานชิง ขณะนี้เขากำลังยิ้มอย่างชั่วร้าย “คราวนี้แม้ว่าจะได้รับความช่วยเหลือ มันก็ไม่มีประโยชน์อันใดแล้ว!”
จางเชียนมีความสุขมาก แต่หงเหยียนลั่วที่อยู่ตรงข้ามหอคอยกลับมีท่าทีสงสัย “แมลงระยับก็มาแล้ว!”
“เจ้าหนุ่มคนนั้นคงจบเห่แล้ว?” อาจื่อถามอย่างแปลกใจอยู่ด้านหลัง
”ไปเถอะ ลงไปดูกัน” หลังจากที่หงเหยียนลั่วพูดจบ นางก็พาอาจื่อลงไปข้างล่าง
ยามนี้สิ่งที่เรียกว่าแมลงระยับได้เข้ามาในคฤหาสน์และโจมตีลู่เฉิน
ลู่เฉินที่เห็นดังนั้นพลันฉีกยิ้มจนตาหยีและพูดว่า “มาพอดีเลย”
จากนั้นชายหนุ่มก็ปล่อยให้แมลงระยับพวกนั้นโจมตีเขาอย่างเมามัน
เมื่อเห็นหงเหยียนลั่วปรากฏตัวบนถนนด้านนอก จางเชียนก็พลันตื่นตัวทันที “ท… ทะ… ที่แห่งนี้ไม่ใช่หอราตรีหอม เจ้าลงมือไม่ได้นะ!”
ยามนี้หงเหยียนลั่วปล่อยกลิ่นอายที่ทรงพลังออกมา ส่วนตู๋ซานชิงก็อดไม่ได้ที่จะสั่นสะท้าน “เจ้าเป็นใคร!”
“ถ้าเจ้าไม่อยากตายก็จงเก็บแมลงของเจ้าซะ!” หงเหยียนลั่วเตือน
แต่จางเชียนกลับตะโกนบอกตู๋ซานชิงว่า “อย่าไปสนใจนาง นางไม่กล้าลงมือที่นี่หรอก!”
ตู๋ซานชิงเองก็รู้กฎในเมืองดี ดังนั้นเขาจึงพูดกับหงเหยียนลั่วว่า “เมืองมีกฎ ไม่ว่าผู้ใดก็ห้ามต่อสู้กันในเมือง”
“แต่เงื่อนไขแรกคือมีคนพิสูจน์ได้ว่าข้าลงมือแล้ว” หงเหยียนลั่วพูดอย่างเย็นชา
หลังได้ยินเช่นนั้น ใบหน้าของจางเชียนถึงกับดูย่ำแย่ “เจ้า… เจ้าคิดจะทำอะไร”
“เก็บแมลงซะ! มิฉะนั้นอย่าหาว่าข้าไม่เตือน!” หงเหยียนลั่วเอ่ยซ้ำ
ทว่าจางเชียนกลับปลุกเร้าตู๋ซานชิงให้ทำใจดีสู้เสือ “พวก… พวกเราอย่าสนใจนางเลย”
ตู๋ซานชิงย่อมอยากพนันกันสักตั้ง ดังนั้นเขาจึงพูดกับหงเหยียนลั่วว่า “ข้าจะไม่เก็บ!”
“ได้ หยิ่งทะนงดี!”
แต่ยามที่หงเหยียนลั่วกำลังจะลงมือ ประตูก็พลันเปิดออก
หงเหยียนลั่วและคนอื่น ๆ ต่างพากันมองไปที่ประตูทันที
เห็นเพียงลู่เฉินเดินออกมาโดยไม่เป็นอันใดและยิ้มให้ทั้งสี่คน “พวกเจ้าคุยกันต่อเลย!”
หลังจากพูดจบ ลู่เฉินก็นั่งอยู่บนขั้นบันไดหน้าประตูและมองไปที่ทั้งสี่คนด้วยรอยยิ้ม
หงเหยียนลั่วพลันฉงน “เจ้าไม่เป็นอันใด?”
ดวงตาของจางเชียนเบิกกว้างยิ่งขึ้น “แมลงเหล่านั้นเล่า?”
ไม่ใช่แค่จางเชียนเท่านั้น แต่ตู๋ซานชิงเองก็พยายามที่จะสัมผัสหาแมลงของตัวเอง แต่เขาพบว่าอยู่ ๆ ก็ขาดการเชื่อมโยงไป จึงตกใจมากจนพูดกับลู่เฉินอย่างโกรธ ๆ ว่า “แมลงของข้าเล่า?”
”แมลง? ข้าเผามันด้วยไฟแล้ว! และรสชาติก็อร่อยมาก!”
ลู่เฉินพูดไปพลางหยิบแมลงบางตัวที่ถูกไฟแผดเผาออกมาจากถุงใส่เข้าปากแล้วเคี้ยว
กร้วม ๆ….
เมื่อได้ยินเสียงนี้ ตู๋ซานชิงก็แทบจะเป็นบ้า “เจ้า… เจ้ากินแมลงของข้าหรือ?”
“แมลงเหล่านี้เป็นของเจ้าหรือ?” ลู่เฉินมองเขาด้วยรอยยิ้ม
ส่วนตู๋ซานชิงก็เอ่ยอย่างกระวนกระวาย “ไร้สาระ!”
”ขอโทษด้วย พวกมันมาถึงก็โจมตีทันที ข้าเลยคิดว่าพวกมันอยากถูกกิน ดังนั้นเลยย่างมันด้วยไฟให้สมใจไปเลย” ลู่เฉินพูดด้วยรอยยิ้มจนตาหยี
”เจ้า!” ตู๋ซานชิงโกรธมากจนพูดไม่ออก
หลังจากที่จางเชียนเห็นว่าอยู่ต่อก็มีแต่จะเสีย เขาจึงรีบพูดกับตู๋ซานชิงว่า “ไป พวกเรา… ถอยก่อน!”
ตู๋ซานชิโกรธจนกัดฟันกรอด แต่เมื่อเห็นว่าหงเหยียนลั่วอยู่ที่นี่ เขาก็จำใจต้องตามไปด้วยความโกรธเกรี้ยว
ส่วนลู่เฉิน เขาก็ยังคงยัดแมลงเข้าปากต่อ…
หนานเหยาที่อยู่อีกฟากหนึ่งกำลังมองดูด้วยความตกตะลึง “ท่านนับว่าใจกล้ายิ่ง แม้แต่แมลงมีพิษก็ยังกล้ากิน!”
แมลงมีพิษหรือ? ไม่เลย! หากจัดการให้ถูกวิธี พวกมันก็คือยาชูกำลังชั้นเยี่ยมดี ๆ นี่เอง!
แต่หนานเหยาไม่รู้ และมองไปที่ลู่เฉินด้วยความชื่นชม ส่วนหงเหยียนลั่วก็พิจารณาลู่เฉินด้วยความสงสัย “เจ้าไม่กลัวถูกพิษหรือ?”
ลู่เฉินที่ได้ยินจึงหันมองหงเหยียนลั่วด้วยรอยยิ้ม “พิษแค่นี้ไม่นับเป็นอะไร!”
ประโยคดังกล่าวนี้ ทำให้หงเหยียนลั่วพลันเอ่ยอย่างแปลกใจว่า “แมลงเหล่านี้มีพิษร้ายแรง นับประสาอะไรกับเจ้า แม้แต่คนที่อยู่ในขั้นก่อกำเนิดก็ยังไม่กล้าแตะต้องพวกมันซี้ซั้ว …แต่เจ้ากลับ!”
”มันก็เป็นเพียงเล็กน้อย ๆ เท่านั้น ว่าแต่เถ้าแก่เนี้ยหงเถิด เหตุใดเจ้าถึงมาที่นี่กลางดึกกัน?” ลู่เฉินนั่งอยู่ที่นั่นแล้วมองหงเหยียนลั่วยิ้ม ๆ
หงเหยียนลั่วเลิกคิดทันที นางพูดด้วยใบหน้าเรียบเฉย “ข้าผ่านทางมาและพบคนลับ ๆ ล่อ ๆ สองคนที่นี่ ดังนั้นจึงมาดู”
”โอ้? จริงหรือ?” ลู่เฉินถามด้วยรอยยิ้มแปลก ๆ
”แน่นอน ไม่อย่างนั้นเจ้าคิดว่าอย่างไร?” หลังจากหงเหยียนลั่วกล่าวจบ นางก็หันไปเอ่ยกับอาจื่อที่อยู่ข้างหลังว่า “ไปกันเถอะ!”
”เจ้าค่ะ!” หลังจากรับคำ อาจื่อพลันเดินตามเถ้าแก่เนี้ยของตนออกไป
หนานเหยารู้ว่าคนเหล่านั้นมองไม่เห็นตนจึงยิ้มให้ลู่เฉิน “เถ้าแก่เนี้ยคนนี้นับว่าน่าสงสัย!”
”แน่นอน เพราะคงสนใจข้า ดังนั้นจึงได้อยากรู้อยากเห็น!” ลู่เฉินรู้ว่าปลากำลังจะงับเหยื่อ ดังนั้นเขาจึงหัวเราะ ก่อนจะเดินเข้าไปในคฤหาสน์
แต่หลังจากเข้าไปในคฤหาสน์แล้ว ลู่เฉินก็พลันนั่งขัดสมาธิ ใช้จิตสำรวจคลื่นน้ำวนโปร่งแสงทั้งเก้าในร่างกายของเขา
เมื่อลู่เฉินลงมือ พลังทั้งเก้ากลุ่มนี้ก็หลอมรวมกันได้ตามที่เขาต้องการ
”ตอนนี้ ข้าอยู่ในขั้นสร้างรากฐานแล้วสินะ?” ลู่เฉินเผยสีหน้ามีความหวัง จากนั้นก็บีบอัดพลังทั้งเก้าเข้าด้วยกัน
แต่กระบวนการนี้จำเป็นต้องใช้พลังปราณจำนวนมาก
โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อพลังทั้งเก้ากลุ่มเข้าใกล้ทีละนิด พลังปราณในร่างของลู่เฉินก็พลันกลายเป็นแห้งเหือดทันที จากนั้นพลังทั้งเก้ากลุ่มก็ค่อย ๆ กระจายออกไปทีละนิด
”ดูเหมือนว่าเราต้องไปเรี่ยไรเงินที่หอสมบัติสวรรค์อีกแล้ว!” ลู่เฉินยืนขึ้นและหัวเราะลั่น
ประโยคนี้ที่อยู่ ๆ ก็เอ่ยขึ้น ทำให้หนานเหยารู้สึกงงงวยยิ่งนัก “เรี่ยไรเงิน?”
มุมปากของลู่เฉินยกขึ้นทันที เขาเดินออกจากคฤหาสน์อย่างมีจุดหมายในใจ ส่วนหนานเหยา… ภูตสาวตนนี้ก็ได้ติดตามชายหนุ่มไปอย่างเงียบ ๆ ด้วยความสงสัยว่าลู่เฉินกำลังจะไปที่ใดกลางดึก
…
”นายหญิง เขาออกมาอีกแล้ว” อาจื่อกล่าวกับหงเหยียนลั่วจากหอฝั่งตรงข้าม
”เขาจะไปไหนกัน?” หงเหยียนลั่วยังคงกังวลกับสิ่งที่เกิดขึ้น และการได้เห็นลู่เฉินปรากฏตัวอีกครั้งก็ทำให้นางสงสัย
”ไม่อาจทราบได้”
”เช่นนั้นก็ไปกันเถอะ ตามเขาไป!” จากนั้นหงเหยียนลั่วก็พาอาจื่อไปด้วยและแอบตามไปข้างหลัง
…
หลังจากนั้นไม่นาน ลู่เฉินก็มาถึงตรอกเล็ก ๆ ใกล้กับหอสมบัติสวรรค์
ชายหนุ่มนั่งขัดสมาธิลง
อาจื่อที่มองจากในความมืดพลันถามความสงสัย “นายหญิง เขากำลังทำอะไร?”
”ข้าเองก็ไม่เข้าใจ” หงเหยียนลั่วไม่รู้ แต่หลังจากนั้นไม่นานนางก็พบว่ารอบกายลู่เฉินมีพลังปราณอันแข็งแกร่งสายหนึ่งโคจรรอบกาย
ฉากนี้ทำให้อาจื่อตะลึงเช่นกัน
ทว่ายามนี้ ในสวนหลังหอสมบัติสวรรค์ จางเชียนนั้นกำลังให้การต้อนรับตู๋ซานชิงด้วยสุรารสเลิศและปลอบใจเขาอยู่ “พี่ตู๋ ท่านต้องใจเย็น ๆ!”
”ใจเย็น? ทั้งหมดนี้คือแมลงพิษระดับแปดดาวเชียวนะ!” ตู๋ซานชิงโกรธมากจนตบโต๊ะอย่างแรง
”ยังมีโอกาสอยู่” จางเชียนกลัวว่าตู๋ซานชิงจะจากไป ดังนั้นเขาจึงรีบเกลี้ยกล่อม
ส่วนตู๋ซานชิง เขาก็ได้ดื่มสุราเข้าไปไม่หยุดด้วยความโกรธแค้น
จางเชียนอยู่กับเขา แต่สมุนไพรวิญญาณในร้านได้เหี่ยวเฉาไปนานแล้ว และแม้แต่สมุนไพรวิญญาณหลายพันปีที่ซ่อนอยู่ในห้องใต้ดินก็กลายเป็น ‘เครื่องสังเวย’ ของลู่เฉิน!