ตำนานจอมราชันย์อหังการ - บทที่ 51 ปรมาจารย์ค่ายกล โจวกัง!
บทที่ 51 ปรมาจารย์ค่ายกล โจวกัง!
ลวี่ซ่างเพียวตกใจ “ข้าจะบอกเจ้าให้! เขาเป็นหนึ่งในสี่ผู้พิทักษ์แห่งภูเขามารราตรี เสี่ยเจี้ยน!”
“โอ้” ลู่เฉินกล่าวอย่างเฉยเมย
ลวี่ซ่างเพียวที่รู้สึกไม่ยินดีกับการปรากฏตัวของเสี่ยเจี้ยน ยามนี้เมื่อเขาเห็นว่าลู่เฉินอวดดีถึงเพียงนี้ ชายชราผมเขียวก็แค่นเสียงหึแล้วเอ่ยอย่างโกรธเคือง “อีกเดี๋ยวข้าจะจัดการเจ้า!”
“สำนักพฤกษาสวรรค์ของพวกเจ้าเป็นพวกเนรคุณดังคาด พวกข้ามแม่น้ำแล้วคิดรื้อสะพานทิ้ง*[1]!” ลู่เฉินยั่วเย้าขึ้นมา
ทว่าลวี่ซ่างเพียวไม่สนใจฟังคำชายหนุ่ม เขาหันไปพูดกับอาวุโสสูงสุดคนอื่น ๆ ว่า “ไปเปิดค่ายกลกำจัดมารของสำนักพฤกษาสวรรค์!”
”ขอรับ!”
ว่าแล้วเหล่าผู้อาวุโสสูงสุดก็พากันออกไป
ครู่ต่อมา ค่ายกลใหม่ก็พลันปรากฏขึ้นบนท้องฟ้า มันสาดแสงสีทองกระจายไปทั่วอาณาบริเวณ ทำให้ผู้ฝึกวิถีมารอ่อนแอลง
ภายใต้สถานการณ์ปกติ สำนักพฤกษาสวรรค์จะไม่เปิดใช้งานค่ายกลนี้ แต่ยามนี้เมื่อเสี่ยเจี้ยนปรากฏตัว พวกเขาจึงจำใจต้องใช้มันเพื่อเฝ้าระวัง
….
ยามนี้บนภูเขาใกล้กันนั้น เสี่ยเจี้ยนผู้สวมหน้ากากสีม่วงและมีคราบโลหิตบนหน้ากากกำลังจ้องไปยังค่ายกล ก่อนจะพูดอย่างเย็นชาว่า “พวกเขาเปิดค่ายกลกำจัดมารแล้ว!”
“เช่นนี้… พวกเราก็ไม่อาจเข้าไปได้อีกแล้ว!” เถียนอวิ๋นเมิ่งในยามนี้ได้รับบาดเจ็บจากกระจกกำจัดมารพวกนั้น ร่างทั้งร่างจึงกลายเป็นอ่อนแรง
เสี่ยเจี้ยนสงสัยบางอย่างจึงถามว่า “เหตุใดวันนี้เจ้าจึงอวดเก่งอยู่คนเดียว?”
“ข้าแค่ไม่อยากให้พวกเจ้ารู้” เถียนอวิ๋นเมิ่งแค่นเสียงหึ ส่วนเสี่ยเจี้ยนก็ขมวดคิ้ว “แล้วเหตุใดเจ้าถึงถูกเปิดโปง?”
“ล้วนเป็นเพราะเจ้าหนุ่มนั่น!” เถียนอวิ๋นเมิ่งกล่าวด้วยสีหน้าดุดัน
เสี่ยเจี้ยนเผยสีหน้าสงสัย “เจ้าหนุ่มคนนั้น?”
“เจ้ายังจำชายหนุ่มที่เข้าหาข้าตอนที่ข้าไปปฏิบัติภารกิจเมื่อหนึ่งปีที่แล้วได้หรือไม่” เถียนอวิ๋นเมิ่งกล่าวอย่างเย็นชา ส่วนเสี่ยเจี้ยนมีท่าทีลังเลและถามว่า “คนจากตระกูลลู่ที่อยู่ขั้นกลั่นลมปราณ?”
”ใช่ เขานั่นแหละ”
“เขาไม่ใช่ว่าถูกทำลายรากวิญญาณจากสำนักฟ้าศักดิ์สิทธิ์เมื่อไม่นานมานี้และถูกตามล่าอยู่หรือ? เหตุใดเขาถึงทำร้ายเจ้าได้เช่นนี้?” เสี่ยเจี้ยนกล่าวอย่างเย็นชา
เถียนอวิ๋นเมิ่งที่ได้ยินดังนั้นก็โกรธจัด นางจึงเล่าทุกสิ่งที่เกิดขึ้นในวันนี้ให้เขาฟัง
เสี่ยเจี้ยนฟังจบก็กล่าวด้วยความสงสัย “ดูเหมือนว่ารากวิญญาณของคนผู้นี้จะยังไม่ถูกทำลาย!”
“เป็นไปไม่ได้! คนของสำนักฟ้าศักดิ์สิทธิ์ทำลายรากวิญญาณเขาแล้วชัด ๆ และยามที่เขากลับไปยังตระกูลลู่ ข้าก็ได้ส่งคนไปพบเขาด้วยเพื่อยกเลิกการหมั้นหมาย!” เถียนอวิ๋นเมิ่งส่ายหัวทันที
หลังจากได้ยินสิ่งนี้ เสี่ยเจี้ยนก็เอ่ยว่า “เช่นนั้นก็รอก่อน”
”รอ?”
“รอโอกาส เราเข้าไปเอาศาสตราวุธวิถีมารในสำนักพฤกษาสวรรค์แล้วค่อยหาโอกาสสังหารเจ้าหนุ่มนั่น” เสี่ยเจี้ยนพูดอย่างเย็นชา ส่วนเถียนอวิ๋นเมิ่งที่ได้ฟังก็กระตือรือร้นทันที “เรื่องนี้จะให้เจ้าสำนักรู้ไม่ได้”
”เข้าใจแล้ว”
จากนั้นเถียนอวิ๋นเมิ่งถึงได้ถอนหายใจด้วยความโล่งอกและเอ่ยอย่างชั่วร้าย “เจ้าต้องฆ่าเขาให้ข้านะ!”
“วางใจ ใครก็ตามที่รังแกเจ้า มันผู้นั้นย่อมถือเป็นศัตรูกับข้า!” เสี่ยเจี้ยนกล่าวอย่างเย็นชา
เถียนอวิ๋นเมิ่งที่ใบหน้าซีดเผือดเปลี่ยนเป็นยิ้มอย่างร่าเริงในทันที “เจ้ายังเป็นศิษย์พี่ที่รักศิษย์น้องที่สุดเสมอ!”
…
ลู่เฉินที่อยู่ในสำนักพฤกษาสวรรค์ได้เสริมความแข็งแกร่งและแก้ไขค่ายกลไปไม่น้อย จนกระทั่งการมาถึงของปรมาจารย์ค่ายกลผู้มีนามว่าโจวกัง
โจวกังผู้นี้เป็นชายวัยกลางคนรูปหน้าทรงเหลี่ยม ทว่าสิ่งที่แปลกประหลาดที่สุดคือเขาสวมเสื้อคลุมสีดำ และเสียบธงสีดำไว้หลายผืนกับผ้าคาดเอว
เมื่อลวี่ซ่างเพียวเห็นเขาแล้วก็กล่าวด้วยความเคารพทันทีว่า “ปรมาจารย์โจว ในที่สุดท่านก็มาแล้ว!”
ผู้อาวุโสคนอื่น ๆ ก็ทยอยกันทำความเคารพ
โจวกังเหลือบมองที่ฝูงชนแวบหนึ่งและเอ่ยว่า “ข้าได้ยินมาว่าสำนักพฤกษาสวรรค์ของพวกเจ้า มีคนแก้ไขค่ายกลจนไม่สามารถเข้าไปได้สินะ?”
“ใช่!” ลวี่ซ่างเพียวพยักหน้า
โจวกังพยักหน้าและกล่าวว่า “ข้าช่วยเจ้าแก้ปัญหาได้ ทว่าเรื่องศิลาวิญญาณนั้น…”
“วางใจ ขอแค่เจ้าแก้ปัญหาได้ ข้าจะให้ศิลาวิญญาณระดับต่ำแก่เจ้าอย่างน้อยห้าสิบล้านก้อน!” ลวี่ซ่างเพียวมอบข้อเสนอให้ ส่วนโจวกังก็เอ่ยอย่างพึงพอใจว่า “ตกลง เช่นนั้นค่ายกลที่ว่าเล่า?”
ลวี่ซ่างเพียวพลันชี้ไปที่ปากถ้ำตรงหน้า
โจวกังเดินไปดูบริเวณดังกล่าว หลังจากดูแล้วเขาก็ยิ้มอย่างมั่นใจ “ไม่มีปัญหา!”
ทุกคนพลันดีใจ แต่ลู่เฉินกลับหัวเราะอยู่ข้างในและกล่าวว่า “ข้าแนะนำเจ้าว่าอย่าบุกรุกเข้ามาจะดีกว่า มิฉะนั้นคงจะทำลายชื่อเสียงของเจ้าเอาได้ง่าย ๆ”
โจวกังขมวดคิ้วสงสัยทันทีที่ได้ยินเสียงอีกฝ่าย ราวกับว่าเขาเคยได้ยินจากที่ไหนมาก่อน แต่เขาก็ฟื้นคืนสติกลับมาได้อย่างรวดเร็ว “ค่ายกลง่าย ๆ เช่นนี้ ยังคิดจะให้ข้าก้มหัวให้อีกหรือ?”
“ลองดูสิ เพียงเท่านี้เจ้าก็จะได้รู้แล้วมิใช่หรือ?” ลู่เฉินยังหัวเราะอยู่ตรงนั้น
โจวกังจึงทำได้เพียงเดินเข้าไปอย่างองอาจ
ทว่าครู่ต่อมาโจวกังกลับติดอยู่ในค่ายกล ซึ่งในขณะที่เขากำลังจะทำลายมัน นั่นกลับเป็นการกระตุ้นให้ค่ายกลสังหารทำงาน จนเกิดกระบี่บินจำนวนนับไม่ถ้วนรายล้อมรอบตัว!
“ค่ายกลคู่?” โจวกังถึงกับตะลึง จากนั้นจึงหยิบธงออกมาโบกสะบัด สร้างเป็นม่านกั้นสีดำต้านทานกระบี่บินเหล่านั้นเอาไว้
ทว่าครู่ต่อมา รอบด้านก็พลันมีเงาลวงตาจำนวนนับไม่ถ้วนปรากฏขึ้น!
สิ่งนี้ทำให้ดวงตาของโจวกังเบิกกว้าง “ค่ายกลสามชั้น!”
“ยังมีอีก ไม่ต้องรีบร้อน!”
ครู่ต่อมาก็มีค่ายกลที่สี่ ค่ายกลที่ห้า…
หลังจากมีค่ายกลที่เก้า โจวกังก็ตกใจจนรีบถอยออกไป บริเวณหน้าผากของเขามีเหงื่อผุดพรายจนทั่ว ก่อนพึมพำในใจว่า ‘… ค่ายกลเก้าชั้น!’
“ปรมาจารย์โจว เป็นอย่างไรบ้าง?” ลวี่ซ่างเพียวถามด้วยความเป็นห่วง
โจวกังกระแอมเบา ๆ แล้วเอ่ยว่า “ค่ายกลตรงหน้านับว่าลำบากไม่น้อย ดังนั้นให้เวลาข้าหน่อย ข้าทำลายได้แน่!”
”ขอบพระคุณ!”
“ทว่าข้าต้องการผู้ฝึกตนขั้นหลอมแก่นแท้มาร่วมมือกับข้าด้วย” โจวกังมองไปที่ลวี่ซ่างเพียว อีกฝ่ายจึงรีบไปหาคนมาทันที
เมื่อได้คนมาแล้ว โจวกังก็หยิบกระดาษเปล่าขึ้นมาและบอกกับพวกเขาว่า “อีกเดี๋ยวข้าจะวางกระดาษลงบนตัวพวกเจ้า ถึงยามนั้นข้าให้พวกเจ้าเดินไปทางใด พวกเจ้าก็ไปตรงนั้นเข้าใจหรือไม่?”
เมื่อได้ยินเช่นนี้ ศิษย์บางคนก็กังวลทันที “จะมีอันตรายหรือไม่?”
“อันตรายหรือ? แน่นอนว่าไม่!”
”แต่…”
ศิษย์เหล่านี้ยังคงกังวล แต่โจวกังก็มองไปที่ลวี่ซ่างเพียว ดังนั้นลวี่ซ่างเพียวจึงตะโกนว่า “มองอันใด ทำตามที่ปรมาจารย์โจวบอก”
”ขอรับ”
พวกเขาเห็นเพียงโจวกังหยิบกระดาษที่เต็มไปด้วยอักขระยันต์แปลก ๆ ออกมาแล้วแปะลงบนตัวของคนเหล่านี้
ครู่ต่อมาอักขระยันต์เหล่านั้นก็หายไป
เห็นเพียงศิษย์เหล่านั้นมองหน้ากันไปมา ก่อนที่โจวกังจะร้องสั่งว่า “เข้าไป!”
ว่าแล้วคนเหล่านี้ก็เดินเข้าไปทีละคนโดยไม่ลังเล ราวกับว่าถูกควบคุมโดยสมบูรณ์
ลู่เฉินที่อยู่ในค่ายกลพลันเริ่มสงสัย “อักขระยันต์หุ่นเชิด?”
อักขระยันต์หุ่นเชิดชนิดนี้ ครั้งที่แล้วชายหนุ่มเคยพบในร่างเถ้าแก่อู๋ ศิษย์พี่ของเจี่ยลัว และลู่เฉินก็เดาว่าคนในสำนักค่ายกลสวรรค์เป็นคนทำ ดังนั้นเมื่อเห็นอีกครั้งในยามนี้ ลู่เฉินจึงสงสัยว่าคนคนนั้นคือโจวกังที่อยู่ตรงหน้าเขาหรือไม่!?
ทว่าไม่ว่าจะใช่หรือไม่ก็ตาม ลู่เฉินก็ยังต้องดูว่าโจวกังจะทำอะไรก่อน
หลังจากที่คนเหล่านี้เข้าไป พวกเขาก็เดินไปตามจุดต่าง ๆ ที่ไม่เหมือนกัน ราวกับว่าพวกเขากำลังสำรวจอะไรบางอย่างภายใต้คำสั่งของโจวกัง
พักใหญ่โจวกังก็เอ่ยอย่างยินดีว่า “มีวิธีแล้ว!”
จากนั้นโจวกังก็เข้ามาในค่ายกลอีกครั้ง และยังเอ่ยยั่วเย้าว่า “รอก่อนเถอะเจ้าหนุ่ม ข้าจะให้เจ้าลิ้มลองเคล็ดวิชาทำลายค่ายกลของข้า!”
“เจ้ามีเคล็ดวิชาทำลายค่ายกลอันใด?” ลู่เฉินกล่าวอย่างดูถูก
“เจ้าเคยได้ยินค่ายกลหลากชนหรือไม่?” โจวกังยิ้มอย่างชั่วร้าย จากนั้นผู้ที่อยู่ในขั้นหลอมแก่นแท้ก็ตั้งท่านั่งขัดสมาธิในตำแหน่งต่าง ๆ ที่แตกต่างกันภายใต้คำสั่งของโจวกัง
เมื่อเห็นสิ่งนี้ ลู่เฉินก็หัวเราะแแหมา “ที่แท้ก็จะใช้คนสร้างตาอาคม จากนั้นก็ทำลายค่ายกลโดยรอบ!”
“เจ้าหนุ่ม ดูเหมือนว่าเจ้าจะเป็นอัจฉริยะด้านค่ายกลอีกคนสินะ” โจวกังหัวเราะอย่างประหลาด
“แต่แผนของเจ้าคงจะต้องคว้าน้ำเหลว!” ลู่เฉินยังคงยั่วเย้าอยู่ตรงนั้น
[1] ข้ามแม่น้ำแล้วรื้อสะพานทิ้ง อุปมาหมายถึง บรรลุเป้าหมายแล้วก็ถีบส่งผู้ช่วยเหลือ