ตำนานจอมราชันย์อหังการ - บทที่ 47 เสแสร้ง หลอกลวง!
บทที่ 47 เสแสร้ง หลอกลวง!
ผู้อาวุโสจื่อกัดฟันกรอด เขากล่าวตะคอกออกไปด้วยโทสะว่า “จับนางมาให้ข้า!”
เถียนอวิ๋นเมิ่งที่ได้ยินเช่นนั้นก็รีบร้องตะโกนว่า “หรือว่าเจ้าอยากเห็นคนผู้นั้นหลบอยู่ที่นั่นตลอดไป?”
”หลบอยู่ในนั้นก็ดีกว่าให้เจ้าสังหารศิษย์ของพวกข้า!” ผู้อาวุโสจื่อไม่ใช่คนโง่เขลา โดยเฉพาะอย่างยิ่งในขณะนี้ เขาอยากจะจับกุมเถียนอวิ๋นเมิ่งที่ฆ่าลูกศิษย์ของเขาจนแทบทนรอไม่ไหวแล้ว!
หลังจากที่ผู้อาวุโสทั้งสองได้ยินเช่นนั้นก็เตรียมลงมือ
แต่เถียนอวิ๋นเมิ่งกลับแค่นเสียงหึแล้วเอ่ยว่า “อยากจับข้าหรือ? …ฝันไปเถิด!”
หลังจากเอ่ยจบ เถียนอวิ๋นเมิ่งก็กลายเป็นเงาสีม่วงและหายวับไป ทิ้งไว้เพียงเสียงที่สะท้อนก้องกลางสุญญะ “ถ้าไม่มีข้า พวกเจ้าก็อย่าคิดจะจับชายผู้นั้นได้เลย!”
“ไสหัวไป!” ผู้อาวุโสจื่อหันไปคำรามใส่บรรดาศิษย์ทั้งหลายที่กำลังซุบซิบกัน
“คิดไม่ถึงจริง ๆ ว่าพวกเราจะเป็นคนพาหมาป่าเข้ามาเช่นนี้!”
“สตรีชั่ว!”
“สำนักพฤกษาสวรรค์มีสตรีเช่นนี้ได้อย่างไร!”
”สำนักพฤกษาสวรรค์ของพวกเราช่างโชคร้ายยิ่งนัก!”
ท่ามกลางความมืดมิด หลังจากที่เถียนอวิ๋นเมิ่งได้ยินคนเหล่านี้ถกกันไปมา นางก็สาปแช่งในใจแล้วเอ่ยว่า “ทั้งหมดนี้เป็นเพราะเขา!”
ยามนี้เถียนอวิ๋นเมิ่งรู้สึกแค้นลู่เฉินยิ่งกว่าเดิม แม้กระทั่งรู้สึกว่าลู่เฉินเป็นสาเหตุที่ทำให้เรื่องเลวร้ายเช่นนี้ และหลังจากที่ได้ยินเสียงถกกันไปมาของพวกศิษย์สำนักพฤกษาสวรรค์ มันก็ทำให้นางโกรธจนยากที่จะสะกดกลั้น!
ผู้อาวุโสจื่อออกคำสั่งกับบรรดาผู้อาวุโสคนอื่น ๆ ทันที “หาสตรีคนนั้นให้พบ!”
ผู้อาวุโสทั้งหลายไม่กล้าชักช้า พวกเขาพากันทะยานออกไป ทว่าผู้อาวุโสจื่อก็ยังไม่วางใจ ชายชราขาเป๋จึงจัดให้คนไปบอกอาวุโสสูงสุดว่าเกิดอะไรขึ้นที่นี่ เพื่อให้แน่ใจว่าศาสตราวุธวิถีมารนี้จะไม่ตกอยู่ในมือของเถียนอวิ๋นเมิ่ง!
หลังจากจัดแจงทุกอย่างเรียบร้อยแล้ว ผู้อาวุโสจื่อก็จ้องเขม็งไปที่ค่ายกลเบื้องหน้าเขา และพูดอย่างเคร่งขรึมว่า “เจ้าหนุ่ม อย่าได้คิดเชียวว่าตัวเจ้าจะรอดไปได้!”
”ข้าไม่กังวลแม้แต่น้อย เพราะพวกเจ้าไร้ความสามารถ นอกเสียจากว่าเจ้าจะให้พวกศิษย์ในขั้นหลอมแก่นแท้ระเบิดตันเถียนเปิดทางให้” ลู่เฉินกล่าวด้วยรอยยิ้ม
ผู้อาวุโสจื่อโกรธจัด ส่วนลู่เฉินที่เห็นท่าทีเช่นนั้นของชายชราขาเป๋ เขาก็เพียงฉีกยิ้มแล้วเอ่ยว่า “ข้ารู้ว่านางซ่อนตัวอยู่ที่ใด หากเจ้ายินดีที่จะถามข้า ข้าก็จะพิจารณาและบอกที่ซ่อนของนางให้เจ้าได้ทุกเมื่อ สนใจหรือไม่?”
”ยามนี้เจ้าต้องการอะไร!” ผู้อาวุโสจื่อรู้ว่าลู่เฉินจะต้องมีเงื่อนไขบางอย่างแน่นอน
ลู่เฉินฉีกยิ้มและเอ่ยว่า “โยนมู่หลงเข้ามาสิ”
“เขาเป็นศิษย์ของสำนักพฤกษาสวรรค์ ข้าไม่มีทางมอบให้เจ้าแน่!”
”ย่อมได้ เช่นนั้นมาดูกันว่าเจ้าจะอดทนได้นานแค่ไหน” ลู่เฉินท้าทายออกไป ส่วนผู้อาวุโสจื่อ ขณะนี้มีสีหน้าย่ำแย่นัก
ผ่านไปครู่หนึ่ง เขาก็นึกบางอย่างออกมาได้ จึงเดินมาอยู่ข้างกายมู่หลง
มู่หลงรู้สึกตระหนกเล็กน้อย “ผู้อาวุโสใหญ่ ข้า ข้าไม่อยากตาย”
ผู้อาวุโสจื่อพลันถ่ายทอดเสียงปราณไปให้เขา “จากนี้ข้าจะบอกบางอย่างแก่เจ้า และเจ้าต้องแสร้งทำเป็นว่าเจ้าไม่ได้ยินอะไรเลยเข้าใจหรือไม่?”
มู่หลงจ้องไปที่ผู้อาวุโสจื่ออย่างแปลกใจ นึกสงสัยว่าอีกฝ่ายคิดจะทำอะไร
เห็นเพียงผู้อาวุโสจื่อพูดอย่างเคร่งขรึมว่า “อีกสักครู่ ข้าจะให้ไข่มุกแก่เจ้า ไข่มุกนี้สามารถจดจำเส้นทางในค่ายกลได้ ถึงยามนั้นเจ้าแค่พกมันไปด้วย ทีนี้พวกข้าก็จะรู้วิธีที่จะเข้าไปได้แล้ว! จากนั้นข้าจะเข้าไปและช่วยเจ้าทันที เข้าใจหรือไม่?”
เมื่อได้ยินเช่นนั้น ดวงตาของมู่หลงพลันเบิกกว้าง เขาคิดไม่ถึงว่าผู้อาวุโสใหญ่จะใช้ตนเป็นเหยื่อล่อ!
”ไปเถิด!” ผู้อาวุโสจื่อหยิบไข่มุกขนาดเล็กออกมาอย่างเงียบ ๆ และยัดเข้าไปในอ้อมอกของมู่หลง ส่วนมู่หรงก็ตึงเครียดไปทั่งเรือนร่าง
ครั้นผู้อาวุโสจื่อเห็นว่าทุกอย่างพร้อมสรรพแล้ว เขาจึงตะโกนบอกลู่เฉินว่า “ข้าหวังว่าเจ้าจะรักษาคำพูด!”
ผู้อาวุโสจื่อเอ่ยจบก็ปล่อยให้มู่หลงเข้าไป
มู่หลงเข้าไปในค่ายกลด้วยความรู้สึกกังวล จากนั้นเขาก็หายไปต่อหน้าต่อตาทุกคน และทำให้เหล่าศิษย์พากันกระซิบกระซาบพูดคุยถึงเรื่องที่เกิดขึ้น
“มู่หลงจะตายหรือไม่?”
”ตายแน่ ๆ”
“แล้วเหตุใดผู้อาวุโสจื่อจึงยอมให้เขาเข้าไป?”
“เฮ้อ คงไม่มีทางเลือก เพราะแค่นางมารนั่นก็ยุ่งยากพอแล้ว!”
ขณะที่ทุกคนกำลังคุยกัน แววตาของผู้อาวุโสจื่อพลันฉายแววเย็นชา ส่วนมู่หลงที่อยู่ในค่ายกลพลันมองไปรอบ ๆ อย่างประหม่าและกล่าวด้วยความหวาดกลัวว่า “ข้า ข้าจะเข้าไปได้อย่างไร!”
“ไม่ต้องเข้าไป เจ้าอยู่ที่นั่นก็พอแล้ว” ลู่เฉินคลี่ยิ้ม
มู่หลงถามขึ้นอย่างร้อนใจ “เจ้าต้องการให้ข้าเข้าไปไม่ใช่หรือ?”
”ข้าบอกให้เจ้าเข้ามา แต่ข้าไม่ได้คิดจะพบเจ้า” ลู่เฉินยิ้มแปลก ๆ ส่วนมู่หลงเริ่มหงุดหงิด “เจ้านี่มัน!”
”รอเงียบ ๆ ไว้ ข้าไปจากสำนักพฤกษาสวรรค์เสียก่อน ถึงตอนนั้นข้าค่อยพาเจ้าออกไปด้วย”
เมื่อมู่หลงได้ยินว่าลู่เฉินกำลังจะพาตนไปจากสำนักพฤกษาสวรรค์ เขาก็ตกใจและหันกลับมาอย่างรวดเร็ว ทว่ากลับพบว่าหลังจากที่เข้ามาแล้ว ตัวเขาก็ไม่สามารถออกไปได้เลย ราวกับว่าเขาถูกขังอยู่ในคุก!
สิ่งนี้ทำให้มู่หลงตกใจและเริ่มมองไปรอบ ๆ พลางร้องคำราม
ทว่าลู่เฉินไม่สนใจมู่หลงอีกต่อไป ขณะที่ผู้อาวุโสจื่อซึ่งอยู่นอกค่ายกล เมื่อพบว่าลู่เฉินเจ้าเล่ห์แสนกลถึงเพียงนี้ เขาก็ได้แต่สบถในใจว่า ‘ไปตายซะเถอะไอ้บัดซบ!’
ทว่าบนใบหน้าของเขาทำได้เพียงแสร้งทำเป็นสงบ และถามออกมาว่า “คนก็ให้เจ้าแล้ว ถึงเวลาบอกข้าได้หรือยัง ว่าสตรีคนนั้นอยู่ที่ใด?”
”เอาล่ะ จากนี้ข้าจะบอกเบาะแสของนางให้เจ้า” หลังจากลู่เฉินเอ่ยจบ เขาก็บอกร่องรอยการเคลื่อนไหวของเถียนอวิ๋นเมิ่งให้ผู้อาวุโสจื่อรับฟัง ซึ่งเมื่อได้ข้อมูลส่วนนี้มา ผู้อาวุโสจื่อก็ไม่รอช้า รีบแจ้งให้เหล่าผู้อาวุโสที่กำลังค้นหาในสำนักพฤกษาสวรรค์ทราบทันที
สิ่งนี้ทำให้เถียนอวิ๋นเมิ่งกลัดกลุ้มนัก นางไม่เข้าใจว่าเหตุใดถึงถูกเจอร่องรอยอยู่เสมอ
ความโกรธนี้ทำให้เถียนอวิ๋นเมิ่งฉงนและไม่อาจสะกดกลั้นได้อีก นางจึงเข้าควบคุมศิษย์ในขั้นสร้างรากฐานสองสามคน และสั่งให้พวกเขาไปตรวจสอบ
เมื่อนางรู้ว่าเป็นลู่เฉินเป็นคนอยู่เบื้องหลัง หญิงสาวพลันกัดฟันด้วยความโกรธ “สมควรตายนัก! เขารู้ได้อย่างไรว่าข้าอยู่ที่ใด?”
”ด้วยความสามารถของเจ้า ยังคิดจะซ่อนตัวจากข้าอีกหรือ?” ในเวลานี้ต้นไม้รอบ ๆ เถียนอวิ๋นเมิ่งพลันส่งเสียงของลู่เฉินออกมา
สิ่งนี้ทำให้เถียนอวิ๋นเมิ่งเริ่มหวาดกลัว “เจ้า… เจ้าไปอยู่ในต้นไม้เหล่านี้ได้อย่างไร!”
“เหตุใดต้องบอกเจ้า?”
คำพูดยียวนของลู่เฉินทำให้เถียนอวิ๋นเมิ่งโกรธจัด “ลู่เฉิน เจ้ามันสารเลว!”
“สารเลว? มีคนสารเลวกว่าเจ้าอีกหรือ?” ลู่เฉินเย้ยหยันกลับไป ส่วนเถียนอวิ๋นเมิ่งนั้น นัยน์ตานางได้เปล่งแสงวาบออกมา ก่อนที่เจ้าตัวจะกล่าวบางอย่าง “ถ้าเช่นนั้นข้าจะบอกความจริงแก่เจ้า เหตุที่ข้าละทิ้งเจ้าและเข้าหาฉินสือ แท้จริงแล้วก็เพื่อตามหาของสำคัญสิ่งหนึ่งจากสำนักพฤกษาสวรรค์ …ที่อาจช่วยคนในตระกูลของข้าได้!”
ลู่เฉินพลันรู้สึกว่าสิ่งที่สตรีคนนี้กล่าวมานั้นไม่มีความจริงเลยสักคำ ทว่าเขาก็ได้แต่ฉีกยิ้มให้กับคำลวงของนาง “โอ้? ช่วยชีวิตผู้คน?”
”ใช่แล้ว สำนักพฤกษาสวรรค์มีสมบัติล้ำค่าที่สามารถช่วยตระกูลของข้าได้ ดังนั้นข้าจึงต้องการยืมมันจากฉินสือ!” เถียนอวิ๋นเมิ่งกล่าวอย่างเรียบง่าย
”ความสามารถในการปั่นหัวผู้อื่นของเจ้าร้ายกาจทีเดียวนะ” ลู่เฉินเย้าแหย่
ทว่าเถียนอวิ๋นเมิ่งเมินเฉยคำพูดนั้น นางกล่าวยืนยันว่า “จริง ๆ นะ ข้ารับประกันได้!”
นับว่ามีวาทศิลป์เลิศล้ำ
วิธีการเช่นนี้ลู่เฉินเห็นมามากแล้ว แต่เถียนอวิ๋นเมิ่งกลับคิดว่าลู่เฉินเป็นคนโง่ที่รู้จักแต่การฝึกตนบ่มเพาะเหมือนแต่ก่อนเท่านั้น ดังนั้นนางจึงขอร้องว่า “ถ้าเจ้าไม่รังเกียจ พวกเราแต่งงานกันใหม่ได้นะ!”
สิ้นคำพูดนั้น ลู่เฉินก็ทนดูต่อไปไม่ไหวอีก เขาถามด้วยรอยยิ้มว่า “เจ้าไม่เพียงฝึกฝนในวิถีมารเท่านั้น แต่ยังมีจิตใจที่ชั่วร้ายยิ่ง!”
”ข้าไม่รู้ว่าเจ้าพูดเรื่องอะไร” เถียนอวิ๋นเมิ่งแสร้งทำเป็นโง่เขลา
ลู่เฉินยิ้มประหลาดและเอ่ยว่า “บอกมาเถิด เหตุใดเจ้าถึงเข้าหาข้าเมื่อหนึ่งปีที่แล้ว”
ลู่เฉินรู้ว่าอีกฝ่ายมีความอดทน และไม่จำเป็นต้องประจบประแจงคนที่ฝึกได้แค่ขั้นกลั่นลมปราณ ดังนั้นหลังจากที่ชายหนุ่มรู้ว่านางฝึกฝนวิถีมาร และยังแข็งแกร่งกว่าเขามาก เขาก็พลันเข้าใจว่าที่แท้นางเข้าหาตนในปีนั้น… เป็นเพราะมีเบื้องหลังแอบแฝง!
เถียนอวิ๋นเมิ่งยังคงแสร้งทำเป็นโง่งม “เจ้ามีพรสวรรค์มาก และถูกสำนักฟ้าศักดิ์สิทธิ์เลือก ข้าย่อมยกย่องและชื่นชมเจ้า ดังนั้นข้าจึงอยากเป็นคู่บำเพ็ญกับเจ้า!”