ตำนานจอมราชันย์อหังการ - บทที่ 43 จิตใจที่อำมหิตของหญิงสาว!
บทที่ 43 จิตใจที่อำมหิตของหญิงสาว!
ฉินสือที่กำลังอดทนกับความเจ็บปวดเอ่ยขึ้นว่า “กำจัดคนแบบนี้ ไม่จำเป็นต้องถึงมือท่านอาจารย์ข้าหรอก!”
“หรือว่าท่านอยากให้ข้าตกเป็นของคนอื่น?” เถียนอวิ๋นเมิ่งกล่าวเพียงประโยคเดียวก็ทำหน้าสีหน้าของฉินสือเปลี่ยนไปทันที “ข้า ข้าจะไปตามคนมาเอง!”
พูดจบ ฉินสือก็ถ่ายทอดคำสั่งแก่บรรดาศิษย์พี่ศิษย์น้องที่อยู่ข้างกาย “ไป ไปตามท่านอาจารย์และผู้อาวุโสมา!”
“ขอรับ!” บรรดาศิษย์คนอื่น ๆ ขานรับ จากนั้นก็วิ่งขึ้นไปบนภูเขา
เมื่อฉินสือเห็นคนพวกนั้นขึ้นเขาแล้ว เขาจึงหันมาทำแผลของตนให้เลือดหยุดไหล ก่อนจะสบถออกมาด้วยความโมโห “ข้าต้องกำจัดมันให้ได้!”
ส่วนเถียนอวิ๋นเมิ่ง นางกำลังเพ่งสายตาไปยังลู่เฉินที่นั่งทอดกายอยู่ ณ จุดนั้น รอบกายของเขาเต็มไปด้วยศพมากมาย ก่อนที่สีหน้าของหญิงสาวจะเปลี่ยนเป็นดูไม่ดีนัก “วันแต่งงานดี ๆ ต้องมากลายเป็นแบบนี้ไปเสียแล้ว!”
“วางใจเถอะ ข้าจะต้องให้มันชดใช้!” ฉินสือกัดฟันกรอด
เถียนอวิ๋นเมิ่งเบิกตากว้าง “ถ้าวันนี้จัดการเขาไม่ได้ เกรงว่าวันพรุ่งนี้ทั่วทั้งเมืองต้องเกิดข่าวลือมากมายแน่!”
“ข่าวลือ?” ฉินสือยังคงไม่เข้าใจ ดังนั้นเถียนอวิ๋นเมิ่งจึงอธิบายด้วยสายตาเย็นชา “ทุกคนคงจะต้องบอกว่าข้าตาบอด ไม่ยอมเลือกเขาแต่กลับมาเลือกคนไร้ประโยชน์เช่นท่าน!”
ประโยคนี้แทงใจฉินสืออย่างจัง ทำให้เจ้าตัวเร่งเก็บอาการเจ็บปวดพลางลุกขึ้นทันใด จากนั้นจึงหยิบยาเม็ดสีแดงเพลิงออกมา
เมื่อเห็นยาเม็ดนั้น เถียนอวิ๋นเมิ่งก็ขมวดคิ้วทันที “นี่คืออันใด?”
“ยาโลหิตอสูร” ฉินสือตอบด้วยน้ำเสียงเคร่งขรึม
คนอื่น ๆ ได้ยินแล้วกลับกังวลขึ้นมา บางคนถึงกับรีบกล่าวออกมาอย่างร้อนใจ “ศิษย์พี่ฉิน ท่านอย่าหุนหันพลันแล่นไป!”
“ถ้าหากใช้ยาโลหิตอสูรนี้ไม่ถูกต้อง อาจจะทำให้ท่านกลายเป็นบ้าได้เลยนะ!”
“ใช่ เม็ดยานี้ มีเพียงแค่ผู้ฝึกวิถีปีศาจถึงจะกล้าใช้!”
สายตาของเถียนอวิ๋นเมิ่งส่องประกายขึ้นมา “เจ้าคิดว่ายานี้จะทำให้ชนะได้?”
แม้คำถามของเถียนอวิ๋นเมิ่งจะน่าสงสัย ทว่าวาจานี้กลับมีแรงกระตุ้นอย่างน่าประหลาด ทำให้ฉินสือเพียงแค่กัดฟันตอบกลับไป “ชนะแน่!”
ครั้นกล่าวจบ ฉินสือก็กลืนเม็ดยาลงไปทันที และเตรียมพร้อมจะออกไปสู้แก้มือ ทว่าเถียนอวิ๋นเมิ่งกลับหยิบเม็ดยาสีขาวออกมา “กลืนเม็ดนี้ลงไป อาจจะช่วยไม่ให้ท่านกลายเป็นบ้าได้!”
“คือสิ่งใด?”
“เชื่อข้า กลืนลงไป!” เถียนอวิ๋นเมิ่งเร่ง ฉินสือจึงเพียงแค่รับมาและกลืนลงไป ไม่นานพลังภายในที่แข็งแกร่งของเขาก็พุ่งออกมา
ฉินสือคล้ายกับตกอยู่ในภวังค์…
เสียงของเถียนอวิ๋นเมิ่งกลายเป็นดั่งคำสั่งของเจ้าชีวิต มันลอยวนเวียนอยู่รอบ ๆ หูของเขา เอ่ยซ้ำไปมาว่า “ฆ่าเขาซะ!”
ฉินสือขานรับด้วยน้ำเสียงมึนงง “ขอรับ!”
ผู้คนต่างก็ไม่ได้ยินในสิ่งที่ฉินสือพูด เพียงแค่เห็นว่าหลังจากที่ฉินสือพึมพำบางอย่าง เขาก็พุ่งตัวออกไปทันที
เถียนอวิ๋นเมิ่งมองไปยังฉินสือด้วยสายตาเย็นชา “อย่ามาโทษว่าข้าไร้ความรู้สึกแล้วกัน!”
เมื่อถึงระยะโจมตี ฉินสือไม่รอช้า เขาควบคุมก้อนหินมากมายให้โจมตีเป้าหมาย ทว่าลู่เฉินก็ไม่ได้แตกตื่น ชายหนุ่มโยกหลบซ้ายขวา พร้อมกับควบคุมเถาวัลย์ให้เข้าไปรัดพันขาทั้งสองข้างของฉินสือ!
ทว่าจู่ ๆ ร่างของฉินสือก็พลันมีโลหิตมากมายฉีดพุ่ง ก่อนจะตามมาด้วยเสียงคำรามราวกับสัตว์ป่า ก่อนจะเกิดเสียงการฉีกขาดของเถาวัลย์ซึ่งรัดพันอยู่!
ฮวาหลิงมู่ที่เห็นดังนั้นพลันใบหน้าเริ่มถอดสี “พลังของเขาไม่ลดลง แต่กลับ… แข็งแกร่งขึ้นด้วยซ้ำไป!”
“เขากินเม็ดยาเข้าไป มันคือพลังที่แลกมาด้วยสติปัญญา! ทำให้คนที่กินกลายเป็นสัตว์ป่าบ้าคลั่ง!” ลู่เฉินคล้ายจะเดาออก แต่ฮวาหลิงมู่ยังคงไม่เข้าใจ “บ้าคลั่ง?”
“ผลของเม็ดยาทำให้ผู้ที่กินสามารถบีบคั้นพลังออกมาจนถึงขีดสุด ทว่ามันก็แลกมากับการสูญเสียความเป็นตัวเอง” ลู่เฉินอธิบาย
ฮวาหลิงมู่ได้ฟังแล้วก็รู้สึกตกใจ “ผลลัพธ์เช่นนั้น ไม่ใช่ว่าน่ากลัวมากหรือ?”
“ตามข้ามา!” ลู่เฉินรู้ว่าตราบใดที่ฮวาหลิงมู่ยังอยู่ข้างกาย เขาจะไม่สามารถจัดการฉินสือที่บ้าคลั่งนี้ได้แน่ ดังนั้นชายหนุ่มจึงทำได้เพียงให้ฮวาหลิงมู่ตามตนเองมา
ลู่เฉินกำลังมุ่งหน้าไปยังบริเวณตีนเขาสำนักพฤกษาสวรรค์ที่มีขบวนทัพอยู่ จึงทำให้ฮวาหลิงมู่ที่เห็นเช่นนั้นรู้สึกร้อนใจขึ้นมา “ทางนั้นคือสำนักพฤกษาสวรรค์นะ!”
“วางใจเถอะ ตามข้ามา!”
เมื่อฮวาหลิงมู่เห็นว่าฉินสือที่บ้าคลั่งกำลังไล่ล่าตามมา นางจึงทำได้เพียงตามลู่เฉินไป และเมื่อวิ่งไปถึงแนวขอบค่ายกล การกระทำของพวกเขาก็ทำให้ศิษย์สำนักพฤกษาสวรรค์ต่างหัวเราะออกมา
“เมื่อค่ายกลถูกกางออก นอกจากศิษย์ของสำนักพฤกษาสวรรค์แล้ว ไม่ว่าใครก็ไม่สามารถเข้ามาได้!”
“ถูกต้อง พวกเจ้าจงอยู่ข้างนอกรอความตายเสียเถอะ!”
เมื่อถูกแรงกระแทกดันกาย ฮวาหลิงมู่พลันสัมผัสเข้ากับตัวค่ายกล และพบว่าตนไม่สามารถเข้าไปในนั้นได้!
ผลลัพธ์เช่นนี้ทำให้ฮวาหลิงมู่ตกใจจนหน้าซีด “แย่แล้ว ไม่มีที่ให้หลบเสียแล้ว!”
ฉินสือที่อยู่ด้านนอกเมื่อเห็นฉากดังกล่าวก็รู้สึกคึกคะนองขึ้นมา เขาหัวเราะลั่นก่อนจะกล่าวยั่วยุออกมาว่า “วิ่งสิ วิ่งต่อไปอีก!”
ทว่าลู่เฉินกลับหยิบศิลาวิญญาณออกมาและโยนไปยังค่ายกล ทำให้ม่านกำบังเกิดกระแสน้ำวน ซึ่งเขาก็อาศัยจังหวะนี้คว้าจับมือของฮวาหลิงมู่ไว้และพากันวิ่งฝ่าเข้าไป!
ไม่นานทุกคนก็ได้เห็นภาพที่ชวนให้ตกตะลึง
เพราะลู่เฉินและฮวาหลิงมู่ต่างก็พุ่งเข้ามาในค่ายกลได้แล้ว
“นี่… เป็นไปได้อย่างไร?” เมื่อเห็นทั้งสองฝ่าเข้ามาในค่ายกลได้อย่างง่ายดาย บรรดาศิษย์สำนักพฤกษาสวรรค์ต่างก็พากันตกตะลึง ส่วนเถียนอวิ๋นเมิ่ง เมื่อนางเห็นภาพดังกล่าวก็ถึงกับสบถออกมา “บัดซบ!”
ขณะนั้นเอง เถียนอวิ๋นเมิ่งพลันออกคำสั่งแปลก ๆ ให้ฉินสือ
เพราะฤทธิ์ของยาเม็ดสีขาว หูของฉินสือจึงได้ยินเพียงเสียงของเถียนอวิ๋นเมิ่ง และวาจาถัดจากนี้… มันก็เป็นดั่งวาจาสิทธิ์ที่ฉินสือต้องทำตามอย่างไม่อาจขัดขืน!
“มัวอึ้งอะไรอยู่? ยังไม่รีบอีก?” เถียนอวิ๋นเมิ่งกล่าวตำหนิ ทำให้ฉินสือรีบพุ่งตัวเข้าไปยังในค่ายกล
แต่หลังจากเข้าไปภายในค่ายกลแล้ว กลับพบว่าลู่เฉินและฮวาหลิงมู่หายตัวไป!
“คนล่ะ?” ฉินสือถามออกมาด้วยความสงสัย
เถียนอวิ๋นเมิ่งที่เห็นดังนั้นจึงสบถออกมาด้วยความโมโห “ไร้ประโยชน์!”
ผู้คนในสำนักพฤกษาสวรรค์ต่างพากันร้อนใจ พวกเขาไม่เข้าใจและแปลกใจยิ่ง ลู่เฉินและฮวาหลิงมู่หายตัวไปได้อย่างไร!
ทว่าในขณะนั้นเอง ผู้คนต่างสังเกตเห็นเงาประหลาดก่อนจะพบว่ามันคือเงาสะท้อนของลู่เฉินและฮวาหลิงมู่ ทว่าตัวจริงของทั้งสองอยู่ที่ใดนั้น… ก็สุดที่พวกเขาจะรู้ได้!
ภาพนี้ทำให้ผู้คนต่างแปลกใจขึ้นมา “นี่มันเกิดอะไรขึ้น?”
“เขา พวกเขาต้องซ่อนตัวอยู่ที่ไหนสักแห่งในสำนักพฤกษาสวรรค์เป็นแน่!”
ทว่าไม่ว่าใครก็หาไม่พบ!!
ผู้คนในสำนักต่างก็ร้อนใจนัก จนกระทั่งกลุ่มผู้อาวุโสปรากฏตัว โดยผู้ที่เดินนำออกมาคือชายขาเป๋สวมเสื้อคลุมสีม่วง ในมือถือไม้แส้ขนหางจามรี
เมื่อผู้คนเห็นเขาแล้วก็พากันแสดงความเคารพออกมา “ท่านผู้อาวุโส”
เมื่อเถียนอวิ๋นเมิ่งเห็นเช่นนั้น นางจึงรีบ ‘ร้องไห้แสดงความเสียใจ’ ออกมาทันที “ผู้อาวุโสจื่อ ท่าน… ท่านต้องช่วยแก้แค้นแทนสามีข้า!”
ผู้อาวุโสจื่อคือผู้อาวุโสแห่งสำนักพฤกษาสวรรค์นามว่า จื่อฝู๋
ผู้อาวุโสจื่อพลันมองไปยังเถียนอวิ๋นเมิ่ง ก่อนจะจ้องไปยังฉินสือที่อยู่ในอาการบ้าคลั่ง “นี่มันเกิดอะไรขึ้น?”
ขณะนั้นฉินสืออยู่ภายใต้การควบคุมของเถียนอวิ๋นเมิ่งราวกับคนบ้าที่กำลังโจมตีรอบข้างอย่างไร้เป้าหมาย
เถียนอวิ๋นเมิ่งจึงใช้โอกาสนี้ร้องไห้พลางอธิบายออกมา “ทั้งหมดเป็นเพราะคนชั่วคนนั้น!”
นางชี้ไปยังเงาของลู่เฉินที่ลอยอยู่บนอากาศ
เมื่อเหล่าผู้อาวุโสมองไปยังเงานั้น พวกเขาก็พากันซุบซิบเสียงเบา แม้แต่ผู้อาวุโสจื่อก็ยังแสดงสีหน้าปั้นยากออกมา และกล่าวว่า “เขาเปลี่ยนรูปแบบค่ายกลของสำนักพฤกษาสวรรค์!”
“อะไรนะ?” เหล่าผู้อาวุโสพากันตกตะลึง เช่นเดียวกับสีหน้าของบรรดาศิษย์ที่เปลี่ยนไป
เถียนอวิ๋นเมิ่งหน้าถอดสี “เปลี่ยนรูปแบบค่ายกล?”
“ใช่ สำนักสวรรค์มีค่ายกลวางอยู่ไม่น้อย หนึ่งในนั้นคือค่ายกลลวงตา สามารถทำให้ผู้คนมองเห็นเงาลวง โดยที่เจ้าของเงานั้นอาจไม่มีอยู่จริง หรือไม่ได้อยู่ในตำแหน่งดังกล่าว”
เถียนอวิ๋นเมิ่งยิ่งแปลกใจเข้าไปอีก “คนคนนี้สามารถควบคุมและปรับเปลี่ยนค่ายกลได้?”
ไม่เพียงแต่เถียนอวิ๋นเมิ่งเท่านั้น เพราะแม้แต่ผู้อาวุโสจื่อยังเพ่งมองไปยังเงาของลู่เฉินพลางเอ่ยด้วยความโมโห “แท้จริงแล้วเจ้าเป็นใครกันแน่ เหตุใดต้องมาก่อความวุ่นวายถึงสำนักพฤกษาสวรรค์ของข้า!”
ทว่าลู่เฉินไม่ตอบอะไร บรรดาศิษย์พวกนั้นจึงได้แต่ซุบซิบกัน บ้างก็บอกว่าเป็นอดีตคู่หมั้นของเถียนอวิ๋นเมิ่ง บ้างก็บอกว่าลู่เฉินเป็นศิษย์ทรยศสำนักฟ้าศักดิ์สิทธิ์
ผู้อาวุโสจื่อที่ได้ยินดังนั้นจึงเอ่ยออกไป “ที่แท้เจ้าก็คือศิษย์ทรยศสำนักฟ้าศักดิ์สิทธิ์นี่เอง!”
“ขอข้าอธิบายสักนิด วันนี้ที่ข้ามาที่แห่งนี้ ไม่ได้ตั้งใจจะมาทำลายงานแต่งของพวกเจ้า เพราะการที่พวกเจ้าแต่งงานกัน… มันไม่ได้เกี่ยวข้องอะไรกับข้าสักนิด!”
ประโยคดังกล่าวทำให้เถียนอวิ๋นเมิ่งเกิดโทสะมากขึ้น “ท่านมาเพื่อสร้างความอับอายให้ข้า ยังจะกล้าพูดว่าไม่ได้มาเพื่อทำร้ายข้าอีกงั้นหรือ?”
ลู่เฉินหน่ายใจจะอธิบายแก่นาง จึงหันมองไปยังผู้อาวุโส “ที่ข้ามาที่นี่ในวันนี้ หนึ่ง เพราะข้าต้องการให้พวกท่านส่งตัวมู่หลงให้ข้า และสอง เพราะข้าต้องการทำลายสำนักพฤกษาสวรรค์ของพวกท่าน!”
“เจ้าว่าอันใดนะ?” เหล่าผู้อาวุโสต่างก็ตกตะลึง
ส่วนบรรดาศิษย์ต่างก็ตะโกนขึ้นมาอย่างไม่พอใจ
“ถ้ากล้ามากก็จงแสดงตัวออกมา!”
“แค่ตัวเจ้าเพียงคนเดียว แต่กลับคิดทำลายสำนักพฤกษาสวรรค์ของพวกข้า?”
มีศิษย์บางคนร้องขอกับผู้อาวุโสว่า “ผู้อาวุโส ท่าน พวกท่านต้องจัดการคนบ้าคนนี้ให้ได้!”
ผู้อาวุโสจื่อแสดงสีหน้าปั้นยากออกมา “เจ้าหนู เจ้าคิดว่าตนเองมีความสามารถขนาดนั้นเชียวหรือ?”
“มี แต่มันเสียเวลา!” ลู่เฉินทำหน้ากึ่งยิ้ม
วาจานี้ทำให้ผู้อาวุโสจื่อเกิดโทสะ ก่อนที่ชายชราขาเป๋จะเริ่มสั่งว่า “ค้นให้ทั่วสำนัก ต้องจับพวกมันออกมาให้ได้!”
“ขอรับ!”
และบรรดาผู้อาวุโสต่างก็พาศิษย์ขั้นหลอมแก่นแท้ออกตามหาตัวลู่เฉินไปทั่วทุกพื้นที่ทันทีโดยไม่รอช้า