ตำนานจอมราชันย์อหังการ - บทที่ 39 ตัวตนที่แท้จริงของหนูน้อย
บทที่ 39 ตัวตนที่แท้จริงของหนูน้อย
ต้นไม้วิญญาณที่แก่ชรามีท่าทีร้องทุกข์ทันที
ที่แท้เมื่อหลายหมื่นปีก่อน มีกลุ่มคนได้ขโมย ‘แก่นไม้’ ของมันไป ซึ่งทำให้อายุขัยของมันลดลง รวมทั้งขั้นพลังก็ลดลง
“คนพวกนั้น… รู้ได้อย่างไรว่าเจ้าอยู่ที่นี่?” ลู่เฉินรู้ดีว่าเมื่อต้นไม้วิญญาณนี้โตถึงระดับหนึ่ง มนุษย์ธรรมดาจะไม่มีทางหามันพบเด็ดขาด ยกเว้นก็แต่พวกเซียน
แต่ในมหาทวีปจิ่วโหยวนั้นไม่มีเซียน
ดังนั้นลู่เฉินจึงอยากรู้ยิ่งนัก
“ข้าก็ไม่รู้เหมือนกัน รู้แค่ว่าวันหนึ่ง มีกลุ่มคนสวมหน้ากากหัวกระโหลกปรากฏขึ้นสองสามคน พวกเขาร่วมมือกันทำร้ายข้าจนสาหัสก่อนจะขโมยแก่นไม้ไป” ต้นไม้วิญญาณที่แก่ชราเอ่ยอย่างจนปัญญา
ลู่เฉินขมวดคิ้ว “หน้ากากหัวกะโหลก?”
“ใช่ แต่ละคนสวมหน้ากากหัวกระโหลก” ต้นไม้วิญญาณตอบอย่างหดหู่
ลู่เฉินดูเคร่งขรึมขึ้น “แล้วยังไงต่อ?”
“เมื่อพวกเขาได้แก่นไม้ก็หนีไปทันที” เมื่อหวนละลึกถึงเรื่องนี้ ต้นไม้วิญญาณที่แก่ชราพลันมีท่าทีเศร้าซึมอย่างเห็นได้ชัด ลู่เฉินที่เห็นดังนั้นจึงปลอบใจอีกฝ่าย “ไม่ต้องกังวล ไม่ช้าก็เร็ว ข้าจะช่วยหาแก่นไม้มาคืนเจ้า!”
“จะหาคืนได้? ….มันไม่สายไปแล้วหรือ?” ต้นไม้วิญญาณที่แก่ชราพลันมีชีวิตชีวาขึ้นมาทันใด มันถามอย่างไม่ค่อยจะแน่ใจนัก
ลู่เฉินจึงอธิบายว่า “โดยทั่วไปแล้ว แก่นไม้ของเจ้าเหมาะไปทำสมบัติล้ำค่าหรือจัดวางค่ายกลบางประเภทเท่านั้น ตราบใดที่ข้าหามันพบ ข้าก็ย่อมสามารถทำให้มันคืนสภาพ และนำมาคืนแก่เจ้าได้!”
เมื่อต้นไม้วิญญาณที่แก่ชราได้ยินสิ่งนี้ก็รู้สึกกระฉับกระเฉงขึ้นทันที “ขอบพระคุณท่านเซียนลู่”
ทว่าลู่เฉินยังคงมีคำถาม “แต่ด้วยขั้นพลังบ่มเพาะของเจ้า แม้ว่าจะถูกชิงแก่นไม้ไป พลังของเจ้าก็ไม่น่าจะถดถอยมากนัก?”
“อย่าพูดถึงมันเลย!” ต้นไม้วิญญาณที่แก่ชรามีท่าทางเหมือนทุกข์ทรมาน ส่วนลู่เฉินก็ขมวดคิ้ว “บอกข้าทีว่าเกิดอะไรขึ้น?”
“หลังจากที่แก่นไม้หายไป ข้าก็ถูกค้นพบโดยผู้คนจากสำนักใกล้เคียงอย่างรวดเร็ว ข้าได้สร้างร่างแยกจำนวนหนึ่งและจัดวางไว้รอบ ๆ เพื่อทำให้พวกมันสับสน แต่หลังจากผ่านไปหลายหมื่นปี พวกเขาก็เอาร่างแยกเหล่านี้ไปเป็นวัตถุดิบ!”
”วัตถุดิบ?”
“ใช่ เอาลำต้นของร่างแยกข้าไปหลอมสมบัติล้ำค่า”
ลู่เฉินคิดไม่ถึงว่าต้นไม้วิญญาณที่แก่ชราจะมีโชคชะตาที่น่าเศร้าถึงเพียงนั้น เขาจึงกล่าวว่า “ถ้าอย่างนั้นก็เอาร่างแยกทั้งหมดของเจ้ากลับคืนมาเสียสิ”
“ถ้าข้าเรียกกลับคืน พวกเขาจะพบร่องรอยข้า เมื่อนั้นข้าเกรงว่า….!” ต้นไม้วิญญาณที่แก่ชรากล่าวอย่างเจ็บปวด ส่วนลู่เฉินก็ปลอบใจเขา “วางใจ ข้าจะจัดการพวกเขาแทนเจ้าเอง!”
“แต่ท่าน!” เพราะตอนนี้ขั้นพลังของลู่เฉินอยู่แค่เพียงกลั่นลมปราณเท่านั้น ต้นไม้วิญญาณที่แก่ชราจึงไม่อาจวางใจและรู้สึกกังวลแทน ทว่าลู่เฉินกลับฉีกยิ้มและถามว่า “ทำไม? เจ้าคิดว่าข้าอ่อนแอหรือไร?”
“ไม่ใช่เช่นนั้น เพียงแต่สำนักนั้นไม่อ่อนแอเลย และศิษย์ของพวกเขาแต่ละคนก็ไม่ธรรมดา!”
ลู่เฉินฉีกยิ้ม “อย่ากังวล ไม่ว่าจะใครหน้าไหน พวกเขาก็ไม่ใช่ปัญหาใหญ่ของข้าแต่อย่างใด!”
เมื่อต้นไม้วิญญาณที่แก่ชราได้ยินเรื่องนี้ก็รู้สึกตื่นเต้นอย่างอธิบายไม่ถูก “ข้าจะค่อย ๆ เก็บร่างแยกเหล่านั้นคืนมา!”
คล้ายลู่เฉินจะนึกสงสัยบางอย่าง “ว่าแต่ หญิงสาวที่อยู่ข้างนอก… พวกนางเกี่ยวอันใดกับเจ้า?”
เมื่อได้ยินเช่นนั้น ต้นไม้วิญญาณที่แก่ชราพลันถอนหายใจ “เมื่อห้าปีก่อน หญิงสาวกลุ่มหนึ่งถูกกลุ่มโจรไล่สังหารมาที่ภูเขาลูกนี้ ข้าเห็นว่าพวกนางน่าสงสาร จึงรับเข้ามาและขอให้ช่วยเกลี้ยกล่อมคนที่คิดขึ้นเขา… รวมถึงอย่าให้ใครรู้ว่าข้าอยู่ที่ไหน!”
”โอ้ ถ้าอย่างนั้นเจ้าก็นับว่าโชคดีจริง ๆ ที่ได้พบกับเด็กสาวตัวเล็ก ๆ ที่มีรากวิญญาณกลายพันธุ์หกดาว”
“นางแตกต่างจากหญิงสาวพวกนั้น” ต้นไม้วิญญาณที่แก่ชรามีท่าทีลังเล ส่วนลู่เฉินก็ฉีกยิ้มและเอ่ยถามว่า “โอ้ ทำไมถึงแตกต่างเล่า?”
“นางคือ… ข้าได้ใช้น้ำตาหยดสุดท้ายของนางพญาพฤกษาวิญญาณเลี้ยงดู” เมื่อต้นไม้วิญญาณที่แก่ชราเอ่ยเช่นนี้ เขาก็ไม่กล้าเอ่ยอันใดอีก เพราะสีหน้าของลู่เฉินในขณะนี้เปลี่ยนไป!
นางพญาพฤกษาวิญญาณ
เมื่อหนึ่งแสนปีก่อน สตรีนางหนึ่งได้ปรากฏตัวในชีวิตของเขา นางเป็นดั่งผู้ช่วยชีวิตที่ช่วยเขาในยามอ่อนแอและถูกศัตรูไล่ล่า
นางพญาพฤกษาวิญญาณได้นำทั้งเผ่ามาต่อสู้กับศัตรูเหล่านั้นเพื่อช่วยเหลือชายหนุ่ม
ด้วยเหตุนี้เผ่าต้นไม้วิญญาณจึงเกือบจะสูญพันธุ์ และแม้แต่นางพญาพฤกษาวิญญาณก็อ่อนแรงลง เหลือเพียงน้ำตาหยดเดียว และน้ำตานี้ลู่เฉินก็มอบให้ชนรุ่นหลังซึ่งเหลือรอดเพียงหนึ่งเดียวของเผ่าต้นไม้วิญญาณ นั่นก็คือต้นกล้าน้อย!
แม้ว่าต่อมาลู่เฉินจะกวาดล้างศัตรูพวกนั้นไปแล้ว แต่มันก็ยังคงมีเงามืดอยู่ในหัวใจของลู่เฉิน และเขามักจะรู้สึกว่าตนเองเป็นต้นเหตุให้นางพญาพฤกษาวิญญาณต้องตายอยู่เสมอ!
ดังนั้นเมื่อลู่เฉินได้ยินสิ่งนี้ก็นิ่งงัน เช่นเดียวกับดวงตาที่กลายเป็นสีแดง
“ท่านเซียนลู่ อย่าเศร้าใจเกินไปนักเลย อย่างน้อยหยดน้ำตาของนางพญาพฤกษาวิญญาณก็ไม่ไร้ประโยชน์” ต้นไม้วิญญาณที่แก่ชราปลุกปลอบ ส่วนลู่เฉินก็สูดหายใจเข้าลึกแล้วพูดว่า “นางชื่ออะไร?”
“ฮวาหลิงมู่” ต้นไม้วิญญาณที่แก่ชราตอบ ขณะที่ลู่เฉินพยักหน้า “นางเติบโตมากี่ปีถึงได้กลายเป็นมนุษย์?”
“ตั้งแต่ที่แก่นไม้ของข้าหายไป ข้ากลัวว่าจะไม่สามารถดูแลหยดน้ำตานั้นได้อีกต่อไป ดังนั้นข้าจึงใช้กำลังที่เหลืออยู่เลี้ยงดูนาง เมื่อเวลาผ่านไปหลายหมื่นปี นางถึงจะแปลงร่างเป็นทารกมนุษย์ได้”
“ทารกมนุษย์?”
“ใช่ เมื่อสิบปีที่แล้ว เจ้าหนูนั่นปีนออกมาจากดอกตูม ข้าเลยตั้งชื่อนางว่าฮวาหลิงมู่ และนางก็ดูมีชีวิตชีวารวมถึงน่ารักยิ่ง” ต้นไม้วิญญาณที่แก่ชราหัวเราะเสียงเบา
“ฮวาหลิงมู่…” ลู่เฉินพยักหน้าเล็กน้อย ส่วนต้นไม้วิญญาณที่แก่ชราก็เอ่ยอย่างหวนคิดถึง “หากนางพญารู้ว่านางมีลูกหลาน นางจะต้องมีความสุขแน่”
ลู่เฉินสูดหายใจเข้าลึกและกล่าวว่า “อย่ากังวล หากมีโอกาสข้าจะต้องฟื้นคืนชีพนางพญาของพวกเจ้าแน่!”
“อะไรนะ ฟื้นคืนชีพ?” ต้นไม้วิญญาณที่แก่ชราพลันตกใจ
ลู่เฉินส่งเสียงอืมแล้วกล่าวว่า “ข้าได้ฝึกฝนเคล็ดวิชาหนึ่ง ขอแค่ขั้นพลังบ่มเพาะของข้าเพิ่มขึ้น ข้าก็จะสามารถฟื้นคืนชีพนางได้!”
“แต่นางจากไปเมื่อหนึ่งแสนปีก่อน จะยังหาเจอหรือ?”
“ข้ามีวิธี” ลู่เฉินตอบ ซึ่งต้นไม้วิญญาณที่แก่ชราก็ได้กล่าวขอบคุณออกมา “ขอบคุณนะ”
“ไม่ต้องเกรงใจ นี่คือสิ่งที่ควรทำ เพราะเป็นข้าเองที่ทำร้ายทั้งเผ่าพันธุ์ของพวกเจ้า!” เมื่อลู่เฉินกล่าวมาถึงตรงนี้ น้ำเสียงพลันสั่นเครือเล็กน้อย
ต้นไม้วิญญาณที่แก่ชรารู้ดีว่าลู่เฉินรู้สึกไม่สบายใจ จึงได้กล่าวปลอบ “ท่านเซียนลู่ นั่นคือสิ่งที่นางยินดีทำ ดังนั้นอย่าเศร้าเกินไปนัก!”
“เป็นเพราะยินดี ข้าถึงได้ไม่อาจลืมความจริงที่ว่าเผ่าพันธุ์ของเจ้าต้องล่มสลายเพราะข้า โดยเฉพาะช่วงเวลาที่นางพญาของเจ้าเหลือเพียงน้ำตาหยดสุดท้ายนั่น” เมื่อลู่เฉินนึกถึงเรื่องนี้ ราวกับว่ามันเพิ่งจะเกิดขึ้น ร่างทั้งร่างพลันรู้สึกเจ็บปวด
ต้นไม้วิญญาณที่แก่ชราไม่รู้ว่าจะเอ่ยสิ่งใด จึงได้เพียงมองดูเงียบ ๆ
จนกระทั่งมีเสียงหนึ่งตะโกนดังขึ้นมา ทำให้ต้นไม้วิญญาณที่แก่ชราตกใจ “แย่แล้ว คนจากสำนักสวรรค์พฤกษามา!”
“ข้าจะออกไปดู” ลู่เฉินรีบวิ่งออกไป
…
ในเวลานี้เอง ต้นไม้ที่อยู่ด้านนอกพลันหายไป โดยมีหญิงสาวเหล่านั้นยืนปกป้องอยู่รอบ ๆ เด็กสาวตัวเล็ก และข้างหน้าพวกนางก็คือกลุ่มของผู้ฝึกตนในชุดสีเขียวหยก
คำว่า ‘พฤกษา’ ปักอยู่บนเสื้อผ้าของพวกเขา
ผู้ฝึกตนเหล่านี้มีท่าทีดุร้าย และเมื่อมาถึงก็จ้องเขม็งไปที่ฮวาหลิงมู่ ราวกับว่าคนเหล่านี้รู้จักฮวาหลิงมู่อย่างไรอย่างนั้น
”เจ้าเด็กคนนี้แหละ!” ผู้ฝึกตนคนหนึ่งตะโกนขึ้น
“ใช่แล้ว เป็นเจ้าที่ลอบโจมตีข้าครั้งที่แล้ว!”
“ในที่สุดก็หานางพบ!”
”จับนางไป!”
ผู้ฝึกตนบางคนรีบพุ่งเข้ามา ขณะที่หญิงสาวเหล่านั้นก็รีบถลาไปทันทีเพื่อพยายามจะหยุดพวกเขา
แต่สตรีเหล่านั้นอ่อนแอเกินกว่าจะต่อสู้กับยอดฝีมือขั้นสร้างรากฐานได้ และฮวาหลิงมู่ก็ถูกมัดด้วยเถาวัลย์ของลู่เฉิน เด็กสาวตัวจ้อยจึงทำได้เพียงมองอย่างร้อนใจ
โดยเฉพาะยามที่เห็นว่าหญิงสาวเหล่านั้นได้รับบาดเจ็บสาหัส นางก็รีบตะโกนว่า “พี่สาว พวกท่านหนีไปเสียเถอะ!”
“ไม่ไป พวกเราจะปกป้องเจ้า!” หญิงสาวคนหนึ่งตะโกน และหญิงสาวคนอื่น ๆ ก็ทยอยกันตะโกนว่า “ใช่ หากพวกเราจะตาย ก็ต้องตายก่อนเจ้า!”
จากนั้นหญิงสาวที่เหลือก็รีบถลาไป ฮวาหลิงมู่ที่เห็นแบบนั้นก็ยิ่งร้อนใจเข้าไปใหญ่ ถึงขนาดที่ว่าร้องไห้ออกมา “พี่สาว เร็วเข้า ถอยไป!”
ทว่าหญิงสาวเหล่านั้นกลับดื้อดึงยิ่ง ฮวาหลิงมู่จึงทำได้เพียงมองไปยังเจี่ยลัวซึ่งยืนอยู่และขอร้องว่า “ได้โปรดช่วย… ช่วยพวกพี่สาวด้วย!”
“ฮู่ฮ่า~”
สิ่งที่เจี่ยลัวพูด ฮวาหลิงมู่ไม่เข้าใจแม้แต่น้อย นางกล่าวว่า “นี่เจ้าพูดภาษามนุษย์ไม่ได้หรือไร?”
เจี่ยลัวอยากพูดแต่เมื่อไม่สามารถพูดได้ เขาก็ทำได้เพียงชี้มือชี้ไม้ในการสื่อสาร
ส่วนหญิงสาวที่อยู่ข้างหน้า พวกนางพากันล้มลงทีละคน และบางคนถึงกับถูกตัดแขนขา จุดจบกล่าวได้ว่าน่าเวทนานัก!
ชายที่เป็นผู้นำเอ่ยอย่างเย็นชาว่า “ถ้าไม่อยากตาย ก็ออกไปจากที่นี่ซะ!”
ทว่าหญิงสาวเหล่านี้ดื้อรั้นยิ่ง เพียงเพราะต้องการจะปกป้องฮวาหลิงมู่ให้ได้ ทำให้ชายที่เป็นหัวหน้ากลุ่มรู้สึกรำคาญ “เมื่อดื้อดึงอยากตายกันนัก เช่นนั้นข้าก็จะทำให้พวกเจ้าสมหวังเอง!”