ตำนานจอมราชันย์อหังการ - บทที่ 37 ถูกสตรีกลุ่มหนึ่งขวางไว้
บทที่ 37 ถูกสตรีกลุ่มหนึ่งขวางไว้
ท่านปู่ลู่ไม่รอช้า เริ่มอธิบายทุกอย่างให้ลู่เฉินฟังทีละเรื่อง
แท้จริงแล้วศิลาผนึกปีศาจนี้ก็มาจากสุสานปีศาจของมหาทวีปจิ่วโหยว ว่ากันว่าที่นั่นมีแต่ซากศพไร้ชีวิตของปีศาจ และยังมีไอปีศาจที่แข็งแกร่งมาก ผู้ฝึกตนทั้งหลายจึงไม่คิดจะไปที่นั่น
ทว่าเหตุผลที่ศิลาปีศาจนี้ปรากฏในตระกูลลู่เป็นเพราะบรรพชนคนหนึ่งของตระกูลลู่ได้รับมันมาในยามที่เขานำกองทัพไปล้อมและเข้าปราบปรามรังปีศาจให้ราชวงศ์หนานโยวเมื่อหลายพันปีก่อน
อย่างไรก็ตาม เนื่องจากศิลาปีศาจนี้มีพลังอันแปลกประหลาด ทำให้หลังจากที่บรรพชนตระกูลลู่ได้รับมาก็เหมือนโดยผีร้ายครอบงำ พวกเขาจึงจึงซ่อนมันและนำมันกลับมายังตระกูลลู่ ก่อนจะปิดผนึกมันไว้หลายชั่วอายุคน
เมื่อได้ยินเช่นนี้ ปิงหลิวหลีก็พลันสูดลมหายใจเข้าไปเฮือกใหญ่ “เอามาจากสุสานปีศาจ?”
“ใช่ บรรพชนของเราอีกท่านหนึ่งผนึกศิลาปีศาจนี้ไว้หลังจากที่บรรพชนผู้นั้นล่วงลับไปแล้ว” ท่านปู่ลู่ทอดถอนใจ
ลู่เฉินพลันคิดไตร่ตรองอย่างหนักก่อนจะเอ่ยว่า “ปกติแล้วศิลาผนึกปีศาจจะใช้เพื่อผนึกปีศาจ หากมีคนโดยรอบได้รับผลกระทบก็มีความเป็นไปได้เพียงอย่างเดียว… นั่นคือในนั้นมีปีศาจที่ทรงพลังถูกผนึกอยู่!”
ท่านปู่ลู่พยักหน้าและกล่าวว่า “ถูกต้องแล้ว ภายในนั้นมีหนึ่งในหกจักรพรรดิปีศาจถูกผนึกไว้!”
เมื่อปิงหลิวหลีได้ยินสิ่งนี้ นางก็ตกใจทันที “หนึ่งในหกจักรพรรดิปีศาจงั้นหรือ?”
“ใช่แล้ว จักรพรรดิปีศาจจินเผิง!”
ทันทีที่เปล่งคำพูดเหล่านี้ออกมา ปิงหลิวหลีก็ตกใจจนหน้าถอดสี “อะไรนะ จักรพรรดิปีศาจจินเผิง? ตัวตนอหังการเมื่อแปดหมื่นปีที่แล้ว?”
“ใช่!” ท่านปู่ลู่เอ่ยอย่างเคร่งขรึม ขณะที่ลู่เฉินพลันรู้สึกสงสัยขึ้นมา “แปดหมื่นปีก่อน? จักรพรรดิปีศาจจินเผิง?”
เห็นได้ชัดว่าลู่เฉินไม่เข้าใจหลายสิ่งหลายอย่างที่เกิดขึ้นเมื่อหลายหมื่นปีก่อน เพราะอย่างไรเสีย เขาก็ไม่ได้กลับมาที่มหาทวีปจิ่วโหยวมาหนึ่งแสนปีแล้ว
หลังจากที่ปิงหลิวหลีเห็นว่าลู่เฉินไม่เข้าใจ นางก็เล่าว่า “เมื่อแปดหมื่นปีที่แล้ว มีปีศาจที่ทรงพลังปรากฏตัวขึ้นในสุสานปีศาจ และยังค่อย ๆ แผ่ขยายอำนาจออกไป ยามที่มันกำลังจะได้ปกครองทั้งมหาทวีปนี้ สำนักเซียนต่าง ๆ ก็ได้ร่วมมือกันโจมตี สุดท้ายพวกเราก็สูญเสียไปไม่น้อยทีเดียวก่อนจะสามารถผนึกจักรพรรดิปีศาจจินเผิงไว้ได้!”
ท่านปู่ลู่กล่าวเสริมว่า “จักรพรรดิปีศาจจินเผิงร้ายกาจเกินไป ไม่อาจสังหารได้ จึงทำได้เพียงผนึกไว้ในสุสานปีศาจ แต่เพื่อไม่ให้มันฟื้นคืนชีพได้โดยง่าย ดังนั้นยอดฝีมือเมื่อแปดหมื่นปีก่อนจึงร่วมมือกันผนึกวิญญาณของมันไว้ในศิลาผนึกปีศาจหกก้อนด้วยกัน!
“เช่นนั้นหากศิลาผนึกปีศาจทั้งหกรวมตัวกัน ก็อาจจะทำให้จักรพรรดิปีศาจจินเผิงฟื้นคืนชีพ?” ลู่เฉินหัวเราะราวกับว่าได้เข้าใจอะไรบางอย่างแล้ว
ท่านปู่ลู่พยักหน้า “ใช่ เป็นเช่นนั้นแหละ”
“ตระกูลลู่ของพวกเจ้ากุมความลับที่ยิ่งใหญ่ไว้จริง ๆ!” ปิงหลิวหลีถอนหายใจ ในขณะที่ลู่เฉินหันมาถามชายชรา “แล้วยามนี้ศิลาผนึกปีศาจอยู่ที่ใด?”
ท่านปู่ลู่ถอนหายใจ “เมื่อสิบปีที่แล้ว พ่อของเจ้าไปพบมันเข้า จากนั้นพ่อของเจ้าก็พกมันติดกายแล้วหายตัวไป”
“ไม่ใช่ว่าเขาตายเพราะถูกสัตว์อสูรฆ่าระหว่างการออกหาประสบการณ์หรอกหรือ?” ลู่เฉินเผยสีหน้าเจ้าเล่ห์ออกมา ส่วนท่านปู่ลู่… เมื่อเรื่องมาถึงขั้นนี้แล้ว ชายชราก็ไม่อาจปกปิดสิ่งใดได้อีก เขาจึงยอมเอ่ยอย่างช่วยไม่ได้ “นั่นคือสิ่งที่ข้าประกาศให้โลกภายนอกทราบ เพราะไม่อยากให้ผู้คนรับรู้ว่าพวกเราครอบครองศิลาผนึกปีศาจ!”
ชายชราคิดว่าลู่เฉินคงจะตื่นเต้นมาก เพราะถึงอย่างไรก่อนหน้านี้ลู่เฉินก็อยากรู้อยู่เสมอว่าพ่อของเขาเสียชีวิตอย่างไร ทว่ากลับไม่เป็นไปอย่างที่คิดแม้แต่น้อย เพราะลู่เฉินในยามนี้กลับดูสงบยิ่ง!
“เจ้าไม่ตื่นเต้นหน่อยหรือ?”
”ตื่นเต้น?”
“ก็พ่อของเจ้า อาจจะยังไม่ตายเชียวนะ!” ชายชรากล่าว ส่วนลู่เฉินก็เอ่ยอย่างชาญฉลาดว่า “สิบปีแล้ว ถ้าเขาไม่ตาย เขาควรจะกลับมา เว้นแต่…”
“เว้นแต่อันใด?”
“เขาได้รับผลกระทบจากจักรพรรดิปีศาจในศิลาผนึกปีศาจนั่น จนทำให้เขาสูญเสียความเป็นตัวเอง และกลายเป็นอีกตัวตนหนึ่งแทน” คำพูดของลู่เฉินทำให้ดวงตาของท่านปู่ลู่เปลี่ยนเป็นสีแดงก่ำในทันใด ราวกับว่าเขากำลังจะร้องไห้
ทว่าลู่เฉินไม่อยากให้ชายชราร้องไห้ เขาจึงหันไปพูดกับปิงหลิวหลีว่า “ท่านปู่ลู่และคนรับใช้เหล่านั้นจะพักอยู่ที่ภูเขาเก้าสุขสงบของเจ้า”
“อะไรนะ?” ปิงหลิวหลีตกตะลึง
ลู่เฉินตระหนักดีว่าหากมีปีศาจตนหนึ่งรู้แล้วว่าศิลาผนึกปีศาจอยู่ที่ตระกูลลู่ เช่นนั้นก็ต้องมีปีศาจตนอื่น ๆ ตามมาอีกแน่ ดังนั้นเขาจึงวางแผนที่จะย้ายคนเหล่านี้ไปที่สำนักเก้าสุขสงบซึ่งเป็นสถานที่ที่ค่อนข้างปลอดภัยกว่า
แต่ปิงหลิวหลีไม่รู้ นางจึงเผยสีหน้าประหลาดใจออกมา
ทว่าลู่เฉินไม่ได้อธิบายอะไรมากนัก เพียงแค่เอ่ยสองสามคำว่า “นี่คือคำสั่ง!”
เมื่อได้ยินเช่นนั้น ปิงหลิวหลีก็ไม่อาจกล่าวอันใดได้อีก นางรีบจัดการให้คนพาผู้คนของตระกูลลู่ไปที่ภูเขาเก้าสุขสงบทันที
ส่วนชายชราก็พลันถามลู่เฉินอย่างร้อนใจว่า “เจ้า แล้วเจ้าไม่ไปที่ภูเขาเก้าสุขสงบด้วยกันหรือ?”
“ข้ายังมีเรื่องต้องทำ” ลู่เฉินยิ้มให้เขา
ท่านปู่ลู่ได้ยินแล้วก็เริ่มบ่นจู้จี้ทันที ส่วนเนื้อหานั้นแน่นอนว่าย่อมเป็นเรื่องที่ให้ลู่เฉินระวังความปลอดภัยของตนเองให้มากเข้าไว้
ลู่เฉินยอมพยักหน้า จนกระทั่งชายชราจากไปแล้วชายหนุ่มจึงได้ถอนหายใจด้วยความโล่งอก
ปิงหลิวหลีถามขึ้นว่า “จากนี้เจ้าจะทำอันใดต่อไป?”
“เจ้าควรอยู่ที่ภูเขาเก้าสุขสงบไม่ใช่หรือ? เหตุใดจึงมาอยู่ที่นี่ได้?” ลู่เฉินจ้องเขม็งไปยังปิงหลิวหลี ซึ่งนางก็เอ่ยอย่างลังเลว่า “ข้ากลัวว่าจะเกิดอะไรขึ้นกับเจ้า ข้าก็เลยตามมา”
“ข้าว่าเจ้าควรรีบกลับไปที่ภูเขาเก้าสุขสงบดีกว่า”
”เพราะเหตุใด?”
“เจ้าจะอยู่เป็นสาวใช้ข้าหรือ?” คำพูดของลู่เฉินทำให้ปิงหลิวหลีโกรธเคืองเล็กน้อย “ข้าจะไปไหนมันก็เรื่องของข้า ไม่ใช่สิ่งที่เจ้าจะมาออกคำสั่งข้าได้!”
“เจ้าคิดจะตามข้าไปตลอดหรือ?”
“ใช่ ทำไมเล่า?” ปิงหลิวหลีกล่าวอย่างมีน้ำโห ขณะที่ลู่เฉินยิ้ม “บอกไว้ก่อนเลยว่าข้าสามารถสลัดเจ้าทิ้งได้อย่างง่ายดาย!”
“ฝันไปเถิด!” ปิงหลิวหลีไม่เชื่อว่าลู่เฉินมีความสามารถเช่นนั้น ทว่าเมื่อสิ้นคำ… ลู่เฉินก็พลันคว้าเจี่ยลัวและยิ้ม “ไปกันเถอะ!”
เจี่ยลัวตกตะลึงไปครู่หนึ่งและยังไม่ทันได้มีปฏิกิริยาใดตอบสนอง ครั้นลู่เฉินเอ่ยว่า ‘เคล็ดวิชาลี้ธรณี’ ชั่วพริบตานั้นเอง ร่างทั้งร่างก็หายตัวไปจากที่เดิม
ปิงหลิวหลีตกตะลึง “ชายผู้นี้รู้เคล็ดวิชามากมายเพียงใดกันนะ? ”
…
บนเนินเขาใกล้เมืองเฟิงเฉิง ลู่เฉินและเจี่ยลัวปรากฏตัวขึ้น โดยที่ท่าทีของเจี่ยลัวในขณะนี้คือเอาแต่จ้องมองลู่เฉินราวกับกำลังมองสัตว์ประหลาดอย่างไรอย่างนั้น!
“แค่เคล็ดวิชาลี้ธรณีง่าย ๆ เท่านั้น” ลู่เฉินเอ่ยเสียงเรียบ
“เคล็ดวิชาลี้ธรณีนี้ หากใช้โดยผู้ฝึกตนขั้นกลั่นลมปราณ มากสุดก็สามารย่นระยะทางได้เพียงยี่สิบสามสิบก้าว แต่เจ้า…” เจี่ยลัวพูดด้วยภาษาศพ ส่วนลู่เฉินพลันฉีกยิ้มกว้างก่อนจะเอ่ยว่า “เพราะเคล็ดวิชาลี้ธรณีของข้าไม่ธรรมดาไง!”
”หืม?”
“เจ้าเคยได้ยินเคล็ดหลบหนีหมื่นลี้หรือไม่?”
คำพูดของลู่เฉินทำให้เจี่ยลัวถึงกับเบิกตากว้าง “สุดยอดเคล็ดวิชาหลบหนีของมหาทวีปจิ่วโหยว ‘เคล็ดหลบหนีหมื่นลี้’ ว่ากันว่าเป็นเคล็ดวิชาระดับสุดยอด เจ้า …”
ลู่เฉินอมยิ้ม “ยังมีอีกหลายสิ่งที่ข้ารู้!”
จากนั้นลู่เฉินก็ไม่ได้เอ่ยสิ่งใดต่อ เขาพาเจี่ยลัวออกเดินทางไปยังทิศทางหนึ่ง
สีหน้าของเจี่ยลัวเต็มไปด้วยความประหลาดใจ ส่วนลู่เฉินนั้น เมื่อเขาสำรวจมองภายในร่างกายตนเอง ชายหนุ่มก็ได้แต่ถอนหายใจ “ขั้นพลังข้ายังอ่อนแอเกินไป ทำให้ต้องใช้เคล็ดวิชามากมายมาสนับสนุน และแม้ว่าจะจำวิธีใช้ได้ แต่กลับดึงพลังของมันออกมาได้ไม่ถึงหนึ่งในหมื่นส่วนด้วยซ้ำ!”
ดังนั้นตอนนี้จึงควรรีบรวบรวมพลังทั้งเก้าและเข้าสู่ขั้นสร้างรากฐานไว ๆ เช่นนั้นอานุภาพของเคล็ดวิชาจึงจะเพิ่มขึ้นไปอีกขั้น!
ทว่าเจี่ยลัวกลับไม่รู้ความคิดนี้ และยังคงติดตามเขาไปอย่างโง่งม
…
สองสามวันต่อมา ลู่เฉินมาถึงตีนเขาที่รกร้างแห่งหนึ่ง และบริเวณตีนเขาแห่งนี้ก็เต็มไปด้วยโครงกระดูกมากมาย!
เจี่ยลัวตกตะลึงกับภาพตรงหน้า ส่วนลู่เฉินมองไปที่ยอดเขาอันรกร้างและพึมพำกับตัวเองว่า “น่าจะเป็นที่นี่!”
ทว่าในขณะที่ลู่เฉินเดินไปได้เพียงไม่กี่ก้าว สตรีสองสามคนก็พลันปรากฏตัวขึ้นที่ตีนเขา พวกนางเข้าขวางทางลู่เฉินและเจี่ยลัวเอาไว้
สตรีเหล่านี้แต่งกายงดงาม ดูแล้วเย้ายวนใจยิ่งนัก ราวกับหญิงสาวในหอหมื่นบุปผาอย่างไรอย่างนั้น
นอกจากนี้ สมบัติล้ำค่าในมือคนเหล่านี้ยังเป็นพัดรูปทรงต่าง ๆ!
“ที่นี่ ห้ามขึ้นไป!” เด็กสาวตัวเล็ก ๆ ก้าวออกมาจากคนกลุ่มนั้น อีกฝ่ายดูเหมือนอายุประมาณสิบขวบปี แต่น้ำเสียงกลับดุดัน แววตาคมกริบ อีกทั้งยังจ้องเขม็งมาที่ลู่เฉิน!