ตำนานจอมราชันย์อหังการ - บทที่ 32 แรงอัดสิบเท่า มือกระบี่ระดับสิบดาว ทุกคนพลันหวาดกลัว
บทที่ 32 แรงอัดสิบเท่า มือกระบี่ระดับสิบดาว ทุกคนพลันหวาดกลัว
ปราณที่ห่อหุ่มร่างของหลู่หยวนถูกทำลายลงในทันที
ไม่เพียงเท่านั้น ยังมีเงาหมัดอีกห้าในสิบหมัดที่ยังคงกระหน่ำเข้ามาทำร้ายร่างกายของหลู่หยวนซ้ำแล้วซ้ำเล่า
ผัวะ! ผัวะ! ผัวะ!
หลู่หยวนถูกแรงอัดกระแทกอย่างแรงจนป้ายตราสัญลักษณ์ตกลงสู่พื้น ริมฝีปากกระอักเลือดออกมากระจายไปทั่วพื้นที่
บรรดาทหารยามต่างก็ตกตะลึง
แต่บรรดาผู้ชมกลับปรบมือและกล่าวชื่นชม
“โดนเข้าแล้วพวกสุนัขรับใช้!”
“สมควรแล้ว!”
แต่ก็มีบางคนที่รู้สึกกังวลแทนลู่เฉิน “ตระกูลลู่จะกลายเป็นเช่นไรต่อไป?”
หลู่หยวนที่หอบหายใจอยู่นั้นค่อย ๆ ยันตัวเองขึ้น แต่ทั้งร่างก็เซไปเซมาไม่มั่นคง และเมื่อสำรวจภายในร่าง เจ้าตัวพลันพบว่ามีกระดูกแตกหักหลายส่วน และเกิดความเจ็บปวดราวกับถูกบางสิ่งกัดขย้ำไปทั่วทั้งร่างกาย!
ความเจ็บปวดนี้ทำให้หลู่หยวนกล่าวออกมาอย่างยากลำบาก “เจ้า!”
แต่ใครจะรู้ว่าในจังหวะนั้นลู่เฉินจะปล่อยพลังหมัดออกไปอีกครั้ง!!!!
ดวงตาทั้งสองข้างของหลู่หยวนเบิกกว้างขึ้น “อย่า อย่า!”
หลู่หยวนยอมแพ้ แม้แต่บรรดาทหารยามก็ทำเป็นหูหนวกตาบอดกันหมด ซึ่งลู่เฉินก็หยุดหมัดแต่โดยดี เขามองไปยังเจี่ยลัวที่กำลังตกตะลึงอยู่ “พาเขาขึ้นมา แล้วก็เก็บป้ายนั่นมาด้วย”
เจี่ยลัวที่ถูกเคล็ดวิชาหมัดมวยของลู่เฉินดึงดูด ครั้นได้ยินเสียงเรียก เจ้าตัวก็คล้ายกับฟื้นคืนสติ ก่อนจะก้าวออกไปด้านหน้า พร้อมกับคว้าคอเสื้อของหลู่หยวนแล้วลากขึ้นมา
ในช่วงเวลานั้น หลู่หยวนถูกควบคุมราวกับสัตว์ป่าตัวจ้อย ทำให้คนผู้นี้รู้สึกอับอายยิ่ง! “ปล่อยข้าเดี๋ยวนี้!”
เจี่ยลัวไม่สนใจต่อเสียงร้องของหลู่หยวน แต่กลับก้มไปเก็บแผ่นป้ายและออกเดินตามลู่เฉินไปยังจวนของเจ้าเมือง
เรื่องนี้แพร่กระจายออกไปอย่างรวดเร็ว ทำให้ผู้คนนับไม่ถ้วนต่างก็จับตามอง ส่วนทางด้านตระกูลหลิวนั้น เพราะเรื่องที่เกิดกับหลิวหยุนซาน ทำให้ตระกูลหลิวตกอยู่ในความโกลาหล จนทำให้ผู้นำตระกูลหลิวโกรธถึงขนาดพาคนไปเยือนจวนเจ้าเมืองด้วยตัวเอง
ในขณะเดียวกัน ภายในจวนเจ้าเมืองนั้น สือเซียวก็อยู่ที่นั่นเช่นกัน และด้านข้างสือเซียวก็มีเจ้าเมืองรูปร่างอ้วนใหญ่นั่งอยู่เคียงข้างกัน
“เจ้าเมืองเถียน คนจากตระกูลลู่ผู้นั้นท่านต้องดูให้ดีเชียวนะ” สือเซียวพูดด้วยน้ำเสียงติดตลก
เถียงเฟิงที่บนใบหน้ามีไฝเม็ดสีดำอยู่ด้านขวาของริมฝีปากก็ฉีกยิ้มและหัวเราะขึ้นมาทันที “ท่านสือ ท่านอย่ากังวลไปเลย ข้าจะคอยจับตาดูคนจากตระกูลลู่อย่างดี”
สือเซียวยิ้มแล้วยิ้มอีก “ดีมาก”
ก่อนเป็นเถียนเฟิงที่เอ่ยถามด้วยน้ำเสียงกังวลเล็กน้อย “คนจากตระกูลลู่ ทั้งหมดนี้…”
“ตระกูลลู่กับข้ามีเรื่องบาดหมางกัน แล้วข้าก็พาผู้ตรวจการมาด้วย ท่านกลัวอะไรกัน?” สือเซียวทำเพียงเหลือบตาไปที่อีกฝ่าย ซึ่งเถียงเฟิงก็ทำเพียงพยักหน้าตอบรับเล็กน้อย “เข้าใจแล้วขอรับ”
ในขณะนั้นเอง ทหารยามคนหนึ่งวิ่งเข้ามาด้วยความตื่นตระหนก “ไม่… ไม่ดีแล้ว!”
เถียนเฟิงจ้องเขม็ง “ไม่ ไม่อะไรกัน อธิบายมาให้ข้าฟังชัด ๆ!”
ทหารยามคนดังกล่าวค่อย ๆ อธิบายเรื่องราวที่เกิดขึ้นทั้งหมด เมื่อเถียนเฟิงฟังความจบแล้ว เจ้าตัวจึงผุดลุกขึ้นพร้อมกับดวงตาที่เบิกกว้าง “อะไร? แม้แต่กับผู้ตรวจการเขายังกล้าลงมืออีกหรือ?”
“ใช่!”
เถียนเฟิงรู้สึกหวาดกลัวขึ้นมา แต่สายตาของสือเซียวกลับส่องประกายอย่างเย็นชา “ไป ไปนำตัวพวกคนใช้ตระกูลลู่มาให้หมด ข้าจะดูว่าเขาบ้าหรือว่าเป็นข้าที่บ้ากว่ากัน!”
“ดี!” เถียนเฟิงรีบสั่งให้คนไปนำตัวคนใช้ตระกูลลู่มาทั้งหมดทันที
จากนั้นสือเซียวก็ออกคำสั่งแก่เถียงเฟิง “ลงมือกับพวกนั้นได้เลย!”
“นี่มัน….” เถียงเฟิงเกิดลังเลขึ้นมา แต่สือเซียวกลับเอ่ยตัดบทขึ้นเสียก่อน “สั่งให้เจ้าลงมือก็ลงมือ!”
เถียนเฟิงทำได้เพียงแค่ให้คนจัดการตามคำสั่ง หลังจากนั้นไม่นานบริเวณภายในสวนก็เต็มไปด้วยเสียงร้องระงมด้วยความเจ็บปวด
เมื่อลู่เฉินและเจี่ยลัวนำตัวหลู่หยวนเข้ามาภายในสวนก็ได้เห็นบรรดาคนใช้ พวกนางนอนร้องโอดครวญเพราะอาการบาดเจ็บสาหัส รวมถึงอวิ๋นซานที่ถูกทุบตีและมัดติดไว้กับเสาไม้
ภาพนี้ทำให้ไฟโทสะในใจของลู่เฉินเกิดลุกโชนขึ้นมาทันที
สือเซียวจึงสั่งให้คนเหล่านั้นหยุดลงมือเสียก่อน และหันไปหัวเราะเยาะใส่ลู่เฉิน “ว่าไงเล่า? ตอนนี้อำนาจอยู่ในมือข้าแล้ว!”
“อำนาจ?” สายตาของลู่เฉินเย็นชาขึ้นมาทันที ขณะที่อวิ๋นซานก็พูดด้วยเรี่ยวแรงที่น้อยลงเต็มที “นาย นายน้อย ท่าน ท่านรีบไปซะ!”
ขณะนั้นเอง พลธนู มือหน้าไม้ รวมถึงผู้ฝึกตนขั้นสร้างรากฐานระดับสูงก็ปรากฏตัวขึ้นบริเวณโดยรอบ
และผู้นำตระกูลหลิวก็ปรากฏตัวขึ้น
ผู้นำตระกูลหลิวกล่าวอย่างโกรธเคืองว่า “ข้าจะฆ่าเจ้า ไอ้สารเลว!”
เมื่อสือเซียวเห็นภาพตรงหน้า เขาก็ยิ่งรู้สึกฮึกเหิมมากขึ้น “เห็นหรือยัง นอกจากเจ้าจะต้องเผชิญหน้ากับบรรดาทหารยามของจวนเจ้าเมืองแล้ว เจ้ายังต้องเผชิญกับตระกูลหลิวอีก!”
ผู้นำตระกูลหลิวเดินเข้ามาราวกับคนบ้า และข้างกายยังตามมาด้วยผู้ฝึกตนขั้นสร้างรากฐานระดับสูงหลายคน และตนเองก็เป็นถึงผู้ฝึกตนขั้นสร้างรากฐานระดับสูงเช่นกัน
เพียงแค่เห็นผู้นำตระกูลหลิวชี้นิ้วมายังลู่เฉินด้วยโทสะที่พลุ่งพล่าน “วันนี้ ใครก็ช่วยเจ้าไม่ได้!”
ผู้คนที่เฝ้าดูจากด้านนอกรอบ ๆ จวนเจ้าเมืองต่างก็ถอนหายใจออกมาทันที
“คุณชายลู่ นี่มันเดินเข้าถ้ำเสือชัด ๆ”
“อาจจะเป็นไปได้ …ผู้คนแข็งแกร่งมากมายขนาดนี้ วันนี้เขาอาจจะจบชีวิตลงก็เป็นได้”
“ช่างน่าสงสารจริงเชียว”
หลู่หยวนที่อยู่ในมือของเจี่ยลัวหัวเราะขึ้นมาเสียงดังก้อง “ลำพังเจ้าที่มีพลังเพียงแค่ขั้นกลั่นลมปราณ จะรับมือกับผู้ฝึกตนขั้นสร้างรากฐานระดับสูงมากมายขนาดนี้ได้อย่างไร?”
ใครจะคาดคิดว่าลู่เฉินกลับเอ่ยด้วยน้ำเสียงเย็นชาขึ้นมา “ถ้าไม่อยากตาย ก็จงไสหัวออกไปตอนนี้!”
หลังได้ยินถ้อยคำนั้น บรรดาทหารยามและคนจากตระกูลหลิวต่างก็มองหน้ากันแล้วก็ค่อย ๆ หัวเราะออกมา พวกเขาต่างก็คิดว่าลู่เฉินไร้สาระเกินไป โดยเฉพาะสือเซียวที่แสยะยิ้มออกมาอย่างเย็นชา “มาถึงขั้นนี้แล้ว ยังคิดทะนงตนอยู่อีกหรือ?”
ผู้นำตระกูลหลิวมองไปยังสือเซียว “คุณชายสือ มอบเขาให้แก่ข้า”
“ได้ เชิญพวกท่านลงมือก่อน” สือเซียวเอ่ยพลางนั่งลงบนเก้าอี้ด้วยรอยยิ้ม
เมื่อได้รับคำอนุญาต ผู้นำตระกูลหลิวมองไปยังลู่เฉินด้วยแววตาดุดันทันที
“ข้าจะทำให้เจ้ารู้เองว่าแรงโทสะของข้านั้นน่ากลัวเพียงใด!” ผู้นำตระกูลหลิวเอ่ยจบ ในมือก็ปรากฏดาบเล่มใหญ่ ก่อนที่เจ้าตัวจะออกกระบวนท่า… และพุ่งตรงมายังลู่เฉิน!
เจี่ยลัวที่เห็นดังนั้นพลันถอนหายใจออก เห็นได้ชัดว่าต้องให้ตนเองลงมือเสียแล้ว!
ทว่าลู่เฉินกลับหันไปพูดกับเขา “ถ้าข้าไม่อนุญาต เจ้าห้ามลงมือ”
เจี่ยลัวที่ได้ยินเช่นนั้นพลันมีท่าทีร้อนใจออกมา
ผู้นำตระกูลหลิวก้าวเข้ามาใกล้ทีละก้าว และในช่วงเวลาเดียวกันนั้นเอง ภายในตึกสูงกลางเมือง ปิงหลิวหลีเองก็กำลังมองเหตุการณ์นี้อยู่เช่นกัน นางอยากจะเข้าไปจัดการคนพวกนี้ให้หมดในทีเดียว ทว่า…
“ชายผู้นี้ เขาไม่อยากให้เจี่ยลัวช่วยจริง ๆ หรือ?” เมื่อเห็นว่าลู่เฉินไม่ต้องการความช่วยเหลือจากเจี่ยลัว ปิงหลิวหลีก็รู้สึกกังวลขึ้นมา
แท้จริงแล้วลู่เฉินก็อยู่เพียงขั้นกลั่นลมปราณเท่านั้น ขณะที่ผู้นำตระกูลหลิวอยู่ถึงขั้นสร้างรากฐานระดับสูง ซึ่งไม่ได้อ่อนแอเหมือนหลู่หยวนผู้นั้นแม้แต่น้อย
แต่ภาพที่เกิดขึ้นต่อจากนี้ กลับทำให้ปิงหลิวหลีตกตะลึงไปชั่วขณะ!
เห็นเพียงลู่เฉินหยิบกระบี่สยบเก้าทิศออกมา และเมื่อวาดกระบี่ออก ฉับพลันนั้นก็ได้ปรากฏเงากระบี่นับพัน!
ปิงหลิวหลีเบิกตากว้างด้วยความตกตะลึง “เขา… เหตุใดเขาจึงสามารถสร้างปราณกระบี่ได้นับพันเล่มในครั้งเดียว!”
ตามความเข้าใจของปิงหลิวหลี ตั้งแต่อดีตกาลจนถึงตอนนี้หากศิษย์สำนักเก้าสุขสงบจะเรียกปราณกระบี่นับพันเช่นนี้ คนผู้นั้นอย่างน้อยก็ต้องอยู่ในขั้นหลอมแก่นแท้!
แต่ลู่เฉินนั้นอยู่เพียงแค่ขั้นกลั่นลมปราณ ทว่าเขากลับสามารถนำพลังนี้ออกมาใช้ได้ง่าย ๆ ภายใต้การใช้เคล็ดวิชากระบี่เก้าสุขสงบแค่ครั้งเดียว!!
นี่จึงทำให้ปิงหลิวหลีรู้สึกไม่เข้าใจขึ้นมา
ไม่ใช่เพียงแค่ปิงหลิวหลีเท่านั้น แต่เหล่าผู้ชมภายในสวนต่างก็แปลกใจว่านี่เป็นเคล็ดวิชาอันใดกันแน่
ทว่าผู้นำตระกูลหลิวกลับไม่สนใจเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น เขายังคงหัวเราะและกล่าวอย่างติดตลก “โอ้อวดนัก!”
ใครจะคาดคิดว่าเมื่อสิ้นเสียงลง ปราณกระบี่นับพันก็ได้ถูกบีบอัดกลายเป็นปราณกระบี่นับร้อย จนกระทั่งกลายเป็นหลักสิบ
ผู้คนโดยรอบต่างก็หวาดกลัวขึ้นมาทันทีเมื่อเห็นภาพนี้ “ส… สะ… สิบ มือกระบี่สิบดาว”
การ ‘บีบอัดสิบเท่า’ มีเพียงมือกระบี่สิบดาวเท่านั้นที่จะมีความสามารถทำได้!
ทุกคนรู้เรื่องนี้ดี แต่เมื่อปิงหลิวหลีเห็นเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น นางกลับรู้สึกคล้ายลำคอมีอะไรติดอยู่ “ครั้งที่แล้วเพียงแค่ระดับห้า แต่ครั้งนี้กลับไปถึงระดับสิบ?”
แม้แต่ผู้นำตระกูลหลิว เมื่อเห็นสิ่งที่เกิดขึ้นก็รู้สึกหวาดกลัวขึ้นมาเช่นกัน เขาอยากจะถอย… ทว่ามันก็สายไปเสียแล้ว!
ปราณกระบี่ที่ถูกอัดเข้าด้วยกัน ผสานเข้ากับพลังของรากวิญญาณ รวมถึงระดับพลังจิตวิญญาณที่แข็งแกร่งของลู่เฉินน และมันก็ทำให้….
ปราณกระบี่เพียงสิบกว่านี้ แข็งแกร่งเท่าการโจมตีของผู้ฝึกตนในขั้นหลอมแก่นแท้ระดับต้นเลยก็ว่าได้!!
ผู้นำตระกูลหลิวรู้สึกหวาดกลัวยิ่งนัก เขารีบร้อนรวบรวมพลังและสร้างม่านปราณสีทองขึ้นมาเพื่อป้องกันการโจมตีของลู่เฉิน ซึ่งสือเซียวเห็นเช่นนั้น เจ้าตัวเองก็พลันกังวลขึ้นมา จึงหันไปตะโกนใส่เถียนเฟิงว่า “มัวอึ้งอะไร โจมตีสิ!”