ตำนานจอมราชันย์อหังการ - บทที่ 29 ลงมืออย่างโหดเหี้ยมและชัดเจน!
บทที่ 29 ลงมืออย่างโหดเหี้ยมและชัดเจน!
ลู่เฉินหยิบกระบี่สยบเก้าทิศออกมา… ก่อนจะขว้างมันออกไป!
การเหวี่ยงขว้างนี้ทำให้ตัวกระบี่เกิดความเปลี่ยนแปลง ก่อเกิดปราณกระบี่บ้าคลั่งแผ่พุ่ง และมุ่งตรงไปยังตัวของลู่เฉินเอง!
ม่านกั้นโปร่งแสงของลู่เฉินดูดซับปราณกระบี่เหล่านั้น
แต่ในสายตาของโจวอวี๋ ลู่เฉินนั้นบ้าไปแล้ว และแม้แต่ปิงหลิวหลีก็ยังสงสัยว่า “เหตุใดเขาถึงต้องใช้กระบี่โจมตีตัวเอง?”
แท้จริงแล้วนี่คือการสอดคล้องกับศาสตราวุธ
และเป็นพลังกลุ่มที่สี่ซึ่งสอดคล้องกับลู่เฉิน
ดังนั้นภายใต้การโจมตีอย่างบ้าคลั่งของกระบี่เล่มนี้ ระลอกคลื่นน้ำวนโปร่งแสงกลุ่มที่สี่ก็ปรากฏขึ้น
“สี่กลุ่มแล้ว!” ลู่เฉินสูดหายใจเข้าลึกไปเฮือกหนึ่ง
ไม่เพียงเท่านั้น ลู่เฉินยังพบว่ากลุ่มที่สี่ซึ่งก่อตัวขึ้นใหม่ สามารถหลอมรวมเข้าด้วยกันได้ตามต้องการ ยิ่งไปกว่านั้น หลังจากหลอมรวมกันแล้ว พลังในร่างของตนก็เพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว
เมื่อเห็นสิ่งนี้ ลู่เฉินก็บ่นกับตัวเองว่า “ยามนี้หากให้ข้าสั่งสอนยอดฝีมือขั้นสร้างรากฐานสักคนก็ไม่เป็นปัญหาแล้ว!!”
แต่สิ่งเดียวที่น่าเสียดายก็คือ… รากวิญญาณสวรรค์ผกผันยังไม่เข้าสู่ขั้นที่สอง
“ดูเหมือนว่ารากวิญญาณสวรรค์ผกผันนี้จะเปลี่ยนไปหลังบ่มเพาะถึงขั้นสร้างรากฐาน!” ลู่เฉินพึมพำกับตัวเองหลังจากมองดูรากวิญญาณสวรรค์ผกผันในร่าง
“ตัวประหลาดเฒ่า เจ้าเป็นอันใดหรือไม่?” ปิงหลิวหลีรู้สึกกลัวลู่เฉินเล็กน้อย ส่วนชายหนุ่มที่ได้สติกลับมาก็เก็บกระบี่ จากนั้นพลันฉีกยิ้มและเอ่ยว่า “ไม่เป็นไร!”
ปิงหลิวหลีถอนหายใจด้วยความโล่งอก ส่วนลู่เฉินก็มองไปยังหมาป่ายมโลกเก้าหาง “ข้าควรไปได้แล้ว”
“ข้าจะออกไปกับท่าน” หมาป่ายมโลกเก้าหางเริ่มวิตกกังวลในทันที แต่ลู่เฉินกลับส่ายหัวแล้วกล่าวว่า “อาการบาดเจ็บของเจ้าร้ายแรงมาก ถ้าตามข้าออกไป อาจตกอยู่ในอันตรายได้ตลอดเวลา!”
”แต่!”
“ไม่ต้องห่วง รอให้อาการบาดเจ็บของเจ้าหายดีแล้ว ข้าจะพาเจ้าออกไปแน่นอน!”
หมาป่ายมโลกเก้าหางพยักหน้า แต่พวกโจวอวี๋กลับกำลังสงสัยว่าเหตุใดหมาป่ายมโลกเก้าหางจึงเชื่อฟังคำพูดของลู่เฉินนัก
ลู่เฉินมองไปที่โจวอวี๋และกล่าวว่า “ยังมีเวลาอีกครึ่งปี เจ้าฝึกฝนที่นี่ต่อได้ รอให้ถึงยามงานประลองสิบสำนัก ข้าจะมารับเจ้าอีกครั้ง!”
เมื่อโจวอวี๋ได้ยินสิ่งนี้ เขาก็สับสนทันที “เจ้าจะทิ้งข้าไว้ที่นี่หรือ?”
“เจ้าไม่คิดว่าฝึกฝนที่นี่ดีกว่าที่อื่น ๆ หรือ?” ลู่เฉินมองเขายิ้ม ๆ ซึ่งโจวอวี๋ก็รู้สึกว่าที่นี่เป็นสถานที่ที่ไม่เลว เพราะถึงอย่างไรเสียที่นี่ก็มีพลังปราณเข้มข้นกว่าปกติถึงห้าสิบเท่า!
ดังนั้นเมื่อโจวอวี๋ครุ่นคิดแล้วจึงเอ่ยว่า “ก็ได้ ครึ่งปีก็ครึ่งปี!”
หลังจากที่เห็นโจวอวี๋เตรียมการอย่างเหมาะสมแล้ว ลู่เฉินก็มองไปที่ปิงหลิวหลีอีกครั้ง “แล้วเจ้าล่ะ?”
“ข้าต้องกลับไป ยังมีอีกหลายเรื่องให้ข้าจัดการที่สำนัก!” ปิงหลิวหลีอธิบาย และหลังจากที่ลู่เฉินเข้าใจแล้ว เขาก็มองไปที่เจี่ยลัวเป็นคนถัดไป
ก่อนที่ลู่เฉินจะเอ่ยปาก เจี่ยลัวคนนี้ก็สื่อสารกับเขาว่า “ข้าต้องการติดตามเจ้า!”
ลู่เฉินรู้ดีว่าพิษศพอาจถูกกระตุ้นได้ตลอดเวลา ซึ่งนั่นจะทำให้อีกฝ่ายกลายเป็นซากแห้งอีกครั้ง “ก็ได้ เจ้าติดตามข้าไป”
หลังจากนั้นลู่เฉินและคนอื่น ๆ จึงพากันติดตามหมาป่ายมโลกเก้าหางที่คอยคุ้มกัน ซึ่งนำขบวนเดินทางมาจนพ้นเขตที่เก้า
ปิงหลิวหลีไม่มีผู้ใดให้คุยด้วย ด้วยความเหงาปาก นางจึงเข้าไปวุ่นวายกับลู่เฉิน “หมาป่ายมโลกเก้าหางตัวนี้ดูเหมือนจะชอบเจ้านะ”
“ข้ารักษามันจนหาย มันย่อมชอบข้า มีปัญหาอะไรหรือ?” ลู่เฉินพูดอย่างสบาย ๆ แต่ปิงหลิวหลีกลับรู้สึกว่ามันไม่ได้ง่ายดายอย่างนั้น
ดังนั้นนางจึงซักถามลู่เฉินต่อว่าเคยมาที่นี่หรือไม่ ทว่าลู่เฉินไม่ได้อธิบายสิ่งใด เพียงเดินไปตามทางอย่างเงียบงัน
…
เมื่อพวกเขาเดินออกจากหุบเขาอสูรเมฆามาได้ไม่ไกลนัก ก็เห็นคนกลุ่มหนึ่งปรากฏขึ้น เห็นได้ชัดว่าคนเหล่านี้คือคนจากสำนักเก้าสุขสงบ และผู้นำกลุ่มขบวนก็คือหยานเยว่!
หยานเยว่เป็นคนเคร่งขรึมและเย็นชา ยิ่งไปกว่านั้นเรือนกายยังแผ่ไอเย็นประหลาดออกมาอย่างต่อเนื่องด้วย!
“ข้าต้องการประลองกับเจ้า!” หยานเยว่พูดอย่างเคร่งขรึม
ปิงหลิวหลีรู้ว่าคนเหล่านี้มาจากสำนักเก้าสุขสงบ ดังนั้นในขณะที่กำลังจะเปิดปากพูด ลู่เฉินกลับกล่าวขึ้นมาเสียก่อนว่า “เจ้าดื้อรั้นขนาดนี้เชียวหรือ?”
“ไร้สาระ!” หยานเยว่จ้องเขม็งขณะเอ่ย
“เจ้าไม่ใช่คู่ต่อสู้ของข้า!” คำพูดของลู่เฉินทำให้ดวงตาของหยานเยว่เปลี่ยนเป็นแปลกประหลาด น้ำเสียงกลายเป็นเย็นชาขึ้นทันที “เจ้าพูดอันใดนะ?”
ไม่เพียงแต่หยานเยว่ คนอื่น ๆ ต่างก็จ้องเขม็งที่ลู่เฉินราวกับว่าพวกเขาสูญเสียจิตวิญญาณไป
บางคนถึงขนาดฉีกยิ้มชั่วร้าย บางคนปั้นหน้าบึ้งตึง
ในยามที่ปิงหลิวหลีกำลังจะสั่งสอนบทเรียนให้พวกเขา พลังปราณของลู่เฉินก็แผ่ออก แสดงให้เห็นถึงพลังขั้นกลั่นลมปราณระดับสิบ ซึ่งแข็งแกร่งกว่าพวกเขาทุกคน!
ทว่าคนเหล่านี้คล้ายจะสัมผัสมันไม่ได้จึงยังคงยืนอยู่ตรงนั้นอย่างไม่เกรงกลัว ก่อนจะเป็นหยานเยว่ที่ชักกระบี่ออกมาแล้วชี้ไปยังลู่เฉิน
“บังอาจ!” ปิงหลิวหลีทนไม่ไหวอีกต่อไป ชั่วครู่ปราณกระบี่จำนวนนับไม่ถ้วนก็ซัดออกมา แรงปะทะส่งร่างของพวกเขากระเด็นไป ทำให้หยานเยว่กรีดร้องแล้วชักกระตุก ก่อนร่างจะแน่นิ่งไป
คนอื่นก็เช่นกัน
ปิงหลิวหลีตกตะลึง “เหตุใดถึงตายกันหมด?”
หลู่เฉินเอ่ยปากตอบ “พวกมันตายมาตั้งนานแล้ว”
“อะไรนะ ตายตั้งนานแล้ว?” ปิงหลิวหลีตกตะลึง ขณะที่ลู่เฉินเดินมาหยุดอยู่ที่หยานเยว่ วางมือข้างหนึ่งไว้บนหัวของอีกฝ่าย แล้วดึงเข็มสีดำออกมา
เมื่อเข็มถูกดึงออก ทั้งตัวของหยานเยว่ก็กลายเป็นสีขาวซีด จากนั้นก็มีกลิ่นเหม็นโชยออกมาจากร่าง ราวกับซากศพเน่าที่ตายมาหลายวันแล้ว
ปิงหลิวหลีไม่อาจทนได้อีกต่อไป นางอาเจียนออกมาทันที
หลังจากที่นางสงบลง เจ้าสำนักสาวก็ถามอย่างกังวลว่า “นี่ มันเรื่องอันใด?”
ลู่เฉินมองที่เข็มแล้วเอ่ยว่า “มันคือเข็มหุ่นเชิด!”
“เข็มหุ่นเชิด?” ปิงหลิวหลีเผยท่าทางตกตะลึงระคนหวาดกลัว ส่วนลู่เฉินก็หยิบสิ่งที่คล้ายกันนี้ออกจากร่างคนเหล่านั้น ทำให้พวกเขากลายเป็นซากร่างที่ตายตกไปทีละคน
ผลลัพธ์นี้ทำให้ใบหน้าของปิงหลิวหลีถึงกับย่ำแย่ “มันเกิดขึ้นได้อย่างไร!”
“มีใครบางคนหมายหัวข้าอยู่!” ลู่เฉินนึกถึงภาพการท้าทายก่อนหน้านี้
“มุ่งเป้าไปยังเจ้า? หรือว่าเป็นสำนักฟ้าศักดิ์สิทธิ์?
“มันก็ไม่แน่!” ลู่เฉินส่ายหัว ขณะที่ปิงหลิวหลีหน้าเปลี่ยนสีในพลัน “พวกมันหมายจะเล่นงานสำนักเก้าสุขสงบ?”
“คนเหล่านี้เป็นศิษย์ของสำนักเก้าสุขสงบ หากคนที่อยู่เบื้องหลังเรื่องนี้เป็นคนของสำนักฟ้าศักดิ์สิทธิ์จริง เช่นนั้นก็เพียงให้คนมาจัดการ ไม่ใช่ใช้หุ่นเชิดศพเช่นนี้! เพราะการฝังเข็มชนิดนี้ลงไป มันจำเป็นต้องทำตอนที่เป้าหมายหลับไม่ได้สติจึงจะสำเร็จ!” ลู่เฉินอธิบาย
ปิงหลิวหลีหน้าปลี่ยนสีอีกครา “เช่นนั้นก็มีคนในสำนักเก้าสุขสงบที่ต้องการชีวิตเจ้า เป็นเหตุให้เมื่อคนเหล่านี้หลับสนิท อีกฝ่ายก็จัดการใช้เข็มพวกนี้ทันที?”
“อืม!”
“จะเป็นผู้ใดกัน?” ปิงหลิวหลีกังวลใจ ขณะที่ลู่เฉินฉีกยิ้ม “มีโอกาสที่จะเป็นผู้อาวุโสรองมากที่สุด แต่นี่เป็นเพียงการคาดเดา หากจะให้แน่ใจก็ต้องสืบสาวราวเรื่องเสียก่อน!”
ปิงหลิวหลีโกรธจนควันแทบออกหู “เจ้าผู้อาวุโสรองบัดซบนั่น!”
“อย่าร้อนใจไป รอกลับไปที่สำนักเก้าสุขสงบแล้วค่อยว่ากัน!”
“ไป!” ปิงหลิวหลีโกรธจัด หยิบผ้าขึ้นมาห่อศพเหล่านั้น จากนั้นก็นำศพกลับไปที่สำนักเก้าสุขสงบ
…
เมื่อลู่เฉินและพวกมาถึงตีนเขาเก้าสุขสงบก็ได้พบกับผู้อาวุโสเฮยพร้อมกับศิษย์จำนวนมาก และแม้แต่ผู้เฒ่าอ้วนที่มีหน้าท้องใหญ่โตก็อยู่ที่นี่ด้วย
ทว่าปิงหลิวหลีที่สวมหน้ากากอยู่และแต่งกายด้วยชุดที่เป็นเอกลักษณ์ จึงเป็นผลให้คนเหล่านี้จำนางไม่ได้ พวกเขาคิดเพียงว่านางคือสตรีคนหนึ่งที่ลู่เฉินพากลับมา
และทันทีที่ผู้อาวุโสเฮยเห็นห่อผ้าปูดพอง เขาก็โกรธขึ้นมาทันที “ทุกท่าน เห็นแล้วสินะ ข้าบอกแล้วว่าเขาคิดร้ายกับคนของสำนักเก้าสุขสงบ!”
ศิษย์เหล่านั้นหลายคนเป็นคนของผู้อาวุโสเฮย ด้วยเหตุนี้ศิษย์จำนวนไม่น้อยจึงร้องคำราม “มารร้ายสังหารผู้คน!”
“ตามกฎสำนักเก้าสุขสงบ สมควรประหารชีวิต!”
ผู้เฒ่าอ้วนพลันร้อนใจ “ทุกท่าน ใจเย็น ๆ ก่อน!”
อาวุโสเฮยตอบกลับทันที “ใจเย็น ๆ รึ จะให้ใจเย็นได้อย่างไร?”
“เจ้าไม่ได้เห็นเสียหน่อยว่าเขาเป็นคนฆ่า!” ผู้เฒ่าท้องใหญ่แก้ต่างแทนลู่เฉิน แต่อาวุโสเฮยกลับกล่าวอย่างหนักแน่นว่า “เมื่อครู่ข้าได้รับจดหมายจากหยานเยว่ บอกว่าเขาและศิษย์เหล่านี้ถูกบุตรศักดิ์สิทธิ์จับเอาไว้ไม่ไกลนัก!”
“จริงหรือ?” ผู้เฒ่าอ้วนจึงเริ่มวิตกขึ้นมา
“ไร้สาระ!” อาวุโสเฮยตวาดด้วยดวงตาแดงก่ำ
ผู้เฒ่าอ้วนยังคงกังวลใจ และมองดูลู่เฉินพลางถามว่า “เจ้าฆ่าพวกเขาจริงหรือ?”
ส่วนศิษย์คนอื่น ๆ ทยอยกันตะโกนว่า “ประหารชีวิต!”
อาวุโสเฮยถลึงตาใส่ลู่เฉิน “เจ้าหนู เจ้าจะจัดการตัวเองหรือว่าให้ข้าลงมือ?”
“เจ้าอยากให้ข้าฆ่าตัวตายหรือ?” ลู่เฉินยิ้มให้ผู้อาวุโสเฮย ส่วนอาวุโสเฮยก็แค่นเสียงหึ “ตามกฎสำนักเก้าสุขสงบ ตราบใดที่มีใครกล้าลงมือสังหารศิษย์ในสำนักเดียวกัน นั่นคือการทำลายกฎของสำนัก ไม่ต้องพูดถึงว่าเจ้าฆ่าพวกเขาไปตั้งมากมาย!”
“หากข้าบอกว่าข้าไม่ได้ฆ่าพวกเขาเล่า?” ลู่เฉินอมยิ้ม
อาวุโสเฮยถลึงตาพลางเอ่ยว่า “ถ้าเจ้าบอกว่าไม่ ก็ไม่ใช่งั้นหรือ?”
“พวกเขาเป็นพยานได้!” ลู่เฉินชี้ไปที่เจี่ยลัวและปิงหลิวหลี ทว่าผู้อาวุโสเฮยกลับชี้ไปที่พวกเขาสองคนและกล่าวว่า “พวกเขาก็เป็นผู้สมรู้ร่วมคิด!”
ปิงหลิวหลีโกรธจัดจนอยากเปิดเผยสถานะตัวเองในทันที แต่ลู่เฉินกลับฉีกยิ้มประหลาด “เจ้าคิดจะใส่ร้ายพวกเราเช่นนี้หรือ?”