ตำนานจอมราชันย์อหังการ - บทที่ 289 ผลัดกัน แต่ไม่มีผู้ใดสามารถสู้ได้!
บทที่ 289 ผลัดกัน แต่ไม่มีผู้ใดสามารถสู้ได้!
ลู่เฉินยิ้มพลางมองไปยังองค์ชายรอง “มาเถิด อย่ามัวแต่พูดไร้สาระ”
องค์ชายรองยิ้มเย็นชาก่อนจะให้บุคคนไร้หน้าทั้งสามปรากฏตัวออกมา จากนั้นจึงเอ่ยแนะนำ “รู้หรือไม่ว่าพวกเขาทั้งสามคือใคร?”
ลู่เฉินไม่สนใจ แต่หนานลัวมองแล้วจึงเอ่ยถามด้วยความสงสัย “คนของพระราชวังไร้หน้า?”
“ใช่ พระราชวังไร้หน้า คิดว่าท่านเจ้ากรมน่าจะรู้ถึงความเก่งกาจของสามคนนี้ดี?” องค์ชายรองเผยรอยยิ้มชั่วร้ายออกมา
“ปรมาจารย์ค่ายกลขั้นก่อกำเนิด อันดับที่สองแห่งหอคอยหนานโหย่วหลง”
องค์ชายรองยิ้มอย่างพึงพอใจและกล่าวชมหนานลัว “ไม่เลว!”
หนานเหยาจึงเอ่ยถามหนานลัวด้วยความสงสัย “พระราชวังไร้หน้านี้มีที่มาที่ไปอย่างไรหรือ?”
“ว่ากันว่า ภายในนั้นมีปรมาจารย์ค่ายกลที่ลึกลับมากมาย แต่พระราชวังไร้หน้านี้ โดยปกติจะไม่เข้าร่วมการช่วงชิงใด ๆ ดังนั้นพวกเขาจึงนับว่าเป็นสำนักที่สันโดษ มีคนจำนวนน้อยที่รู้จักพวกเขา จนกระทั่งช่วงนี้ ที่ทั้งสามคนได้ปรากฏตัวที่หอคอยหนานโหย่วหลง” หนานลัวค่อย ๆ อธิบายออกมา
เมื่อหนานเหยาได้ยินก็รู้สึกพอใจขึ้นมา “ปรมาจารย์ค่ายกลหรือ? เช่นนั้นก็มิเท่ากับรังแกผู้อื่นหรอกหรือ?”
รังแก?
ใบหน้าของทั้งสามสั่นสะท้านขึ้นมาเล็กน้อย ดูผิวเผินภายนอกอาจมองไม่เห็นอันใด แต่เห็นได้ชัดว่าทั้งสามคนมีท่าทางไม่ค่อยพอใจนัก
องค์ชายรองยิ้มเย็นชาออกมา “เจ้าเด็กน้อย อีกไม่นานเจ้าจะได้รับรู้ถึงความน่าหวาดกลัวของคนทั้งสามนี้”
“เช่นนั้นก็มาเลย ให้พวกเขาสร้างค่ายกลขึ้นมาให้ชื่นชมเสียหน่อย จะดูเสียหน่อยว่าเก่งกาจเพียงใดเชียว” หนานเหยาไม่เพียงแต่จะไม่หวาดกลัวเท่านั้น แต่กลับตั้งใจพูดจาเสียดสี
เมื่อองค์ชายรองเห็นท่าทีของหนานเหยาจึงรู้สึกไม่พอใจ เขามองไปยังคนทั้งสามแล้วสั่งว่า “สั่งสอนเจ้าเด็กคนนี้เสีย!”
ฝ่ามือของทั้งสามปรากฏธง จากนั้นจึงสะบัดโบกไปมา ธงทั้งสามผืนแผ่กระจายแสงสีทองออกมาปกคลุมไปทั่วร่างกายของหนานเหยา ทำให้รอบตัวนางราวกับถูกล้อมไว้
ไม่เพียงเท่านั้น หนานเหยายังไม่สามารถแสดงพลังปราณของตนออกมาได้
ภาพดังกล่าวทำให้องค์ชายรองรู้สึกพึงพอใจ “เห็นหรือไม่ นี่คือความเก่งกาจของทั้งสามคนนี้!”
แต่หนานเหยาไม่ได้รู้สึกหวาดกลัว “เท่านี้หรือ? ยังคิดจะจัดการข้า?”
“อย่างไรหรือ? เจ้าคิดว่าจะสามารถหลุดพ้นไปได้อย่างนั้นหรือ?” องค์ชายรองหัวเราะ หนานเหยาจึงตอบกลับไปด้วยความมั่นใจ “มีอาจารย์อยู่ทั้งคน ไม่ว่าอันใดข้าก็ไม่กลัว!”
“ช่างน่าตลกนัก ลำพังอาจารย์เจ้าก็แทบจะเอาตัวเองไม่รอดเสียแล้ว เจ้ายังกล้าฝากความหวังไว้ที่เขาอีกหรือ?” องค์ชายรองเผยรอยยิ้มเย็นชา
“อาจารย์ของข้า พวกเจ้าไม่มีความสามารถที่จะจัดการเขาได้” หนานเหยายังคงไม่รู้สึกหวาดกลัวแม้แต่น้อย
องค์ชายรองได้ยินเช่นนั้นจึงรีบหันไปพูดกับทั้งสามคนทันที “ลงมือ!”
ทั้งสามเตรียมพร้อมที่จะลงมือ แต่ธงในฝ่ามือนั้น จู่ ๆ กลับตกลงบนฝ่ามือของลู่เฉิน และ ‘ค่ายกล’ ที่ล้อมหนานเหยาอยู่นั้นก็ค่อย ๆ สลายหายไป
ทั้งสามพลันตกตะลึงขึ้นมา องค์ชายรองเองก็รู้สึกชะงักพลางเอ่ยออกมาว่า “เกิดอันใดขึ้น?”
ทั้งสามต่างพูดถึงเรื่องที่เสียการควบคุมธงไปเสียแล้ว
นี่จึงทำให้องค์ชายรองกังวลใจ ส่วนหานลั่วสุ่ยที่อยู่อีกด้านมีสีหน้าไม่ดีนัก “เจ้าหนุ่มผู้นี้ สามารถควบคุมสมบัติวิญญาณของผู้อื่นได้!”
“ว่าอย่างไรนะ? ควบคุมสมบัติวิญญาณของผู้อื่น?” องค์ชายรองไม่เชื่อ ในขณะที่หานลั่วสุ่ยถามด้วยน้ำเสียงเคร่งขรึมว่า “ไม่มีวิธีอื่นแล้วหรือ?”
องค์ชายรองยังคงคิดจะพึ่งพิงทั้งสามคนนี้เพื่อเอาชนะลู่เฉิน แต่ไม่คาดคิดว่าเพียงแค่เริ่มลงมือเท่านั้น แต่ผลกลับออกมาเป็นเช่นนี้ องค์ชายรองจึงหันไปมองโหย่วหลงและถามว่า “เจ้ามีวิธีใดหรือไม่?”
โหย่วหลงจึงตอบกลับไปว่า “ข้าจัดการเอง”
องค์ชายรองจึงถอยออกมาอยู่อีกด้านหนึ่ง แต่เขายังก็ยังไม่ลืมที่จะพูดจาข่มขู่ลู่เฉิน “เจ้าหนุ่ม อีกไม่นานเจ้าจบเห่แน่!”
“พ่ายแพ้ไปเสียแล้ว เจ้ายังคิดฝากความหวังไว้ที่เขาหรือ?” ลู่เฉินพูดเพียงสั้น ๆ แต่กลับทำให้โหย่วหลงตอบกลับด้วยน้ำเสียงเยือกเย็น “เจ้าหนุ่ม ครั้งที่แล้ว นับว่าข้าปล่อยโอกาสให้เจ้ามากเกินไป แต่ครั้งนี้ ข้าจะไม่เป็นเหมือนครั้งนั้นแน่!”
“โอ้? เจ้าคิดว่าเจ้ายังจะสามารถเปลี่ยนอันใดได้หรือ?” ลู่เฉินหัวเราะ แววตาของโหย่วหลงจึงฉายความเย็นชาออกมา “ข้าจะทำให้เจ้าดูเอง”
เพียงไม่นาน ร่างของโหย่วหลงก็ค่อย ๆ จางหายไป จนสุดท้ายกลายเป็นเพียงกระแสอากาศ จากนั้นจึงหายไปจนไม่เหลือแม้แต่เงา
“คนล่ะ?” หนานลัวตกใจขึ้นมา แต่หนานเหยากลับถามขึ้นมาด้วยความสงสัย “เคล็ดวิชาพรางกาย?”
องค์ชายรองและคนอื่น ๆ รู้สึกพึงพอใจขึ้นมา โดยเฉพาะองค์ชายรองที่ยังกล่าวเย้ยหยันออกมาว่า “แม้แต่เขาอยู่ที่ใด พวกเจ้ายังไม่รู้ แล้วยังคิดจะต่อต้านข้าอย่างนั้นหรือ?”
แต่ลู่เฉินกลับพูดเพียงสั้น ๆ ว่า “เคล็ดวิชาเหมันต์อำพรางของวังเหมันต์สงัด เป็นหนึ่งในความลึกลับของศาสตร์พรางกาย แต่ไม่ได้หมายความว่าจะไม่สามารถมองเห็นได้”
เมื่อหนานเหยาได้ฟังจึงรู้สึกมีความหวังขึ้นมาทันที “อาจารย์ เขาอยู่ที่ใด?”
“มองเห็นแล้ว!” เมื่อลู่เฉินพูดจบก็นำธนูเงามารออกมา ก่อนจะโจมตีไปยังอีกด้านหนึ่ง ธนูนั้นสามารถตามไล่ล่าได้ ทำให้เพียงไม่นานโหย่วหลงก็ถูกโจมตี แต่เมื่อครู่ลู่เฉินเพียงแค่ยิงธนูออกไปอย่างไม่ตั้งใจนัก ดังนั้นจึงทำให้ไม่ส่งผลอันใดมาก
ทว่าเมื่อเคล็ดวิชาเหมันต์อำพรางถูกเปิดเผย โหย่วหลงก็พลันรู้สึกกระวนกระวายขึ้นมา แต่หนานเหยากลับพึงพอใจ “เห็นหรือยัง? เมื่ออยู่ต่อหน้าอาจารย์ของข้า ไม่ว่าทักษะใดนั้นก็ไร้ประโยชน์!”
โหย่วหลงมองไปยังลู่เฉินด้วยความตกใจ “เป็นไปไม่ได้ เจ้าไม่มีทางทำลายการพรางกายของข้าได้!”
องค์ชายรองกังวลใจและมองไปยังโหย่วหลง “เจ้าไหวหรือไม่?”
“เมื่อครู่เพียงแค่บังเอิญเท่านั้น!”
พูดจบ โหย่วหลงจึงพรางกายหายไปอีกครั้ง และครั้งนี้โหย่วหลงคิดวางแผนจะโจมตีอย่างรวดเร็ว
ดังนั้นหลังจากโหย่วหลงพรางกายไปแล้ว จึงพุ่งตัวไปตรงหน้าลู่เฉิน หมายจะฟาดสายฟ้าโจมตีลู่เฉิน แต่ลู่เฉินได้เปิด ‘กำแพงพันชั้น’ เพื่อป้องกันการโจมตีของอีกฝ่าย
จากนั้น ลู่เฉินได้ใช้ธนูเพื่อโจมตี
โหย่วหลงจึงปรากฏตัวอีกครั้ง
“เจ้า!” โหย่วหลงตกตะลึงกับสิ่งที่เกิดขึ้น
ลู่เฉินยังยืนอยู่ที่เดิม เขายิ้มพลางมองไปยังโหย่วหลง “ยังมีวิธีอื่นอีกหรือไม่?”
โหย่วหลงคิดไม่ถึงว่าทำเช่นนี้แล้วแต่กลับไม่สามารถทำอันใดลู่เฉินได้แม้แต่น้อย จึงเริ่มถอยไปยังองค์ชายรองที่ยืนอยู่อีกด้านหนึ่ง “ปรมาจารย์ค่ายกลยังมีวิธีอื่นอีกหรือไม่?”
องค์ชายรองมองไปยังบุคคลไร้หน้าทั้งสาม ทั้งสามจึงตอบเป็นเสียงเดียวกันว่า “พวกข้าจัดการเอง!”
เพียงไม่นาน ทั้งสามก็ขึ้นไปยืนอยู่บนหลังคา พวกเขายืนกันเป็นรูปแบบของสามเหลี่ยม จากนั้นทั้งสามคนก็ทำมือและท่าทางแปลกประหลาด
จากนั้น พลังของทั้งสามคนก็เชื่อมต่อเข้าด้วยกัน ก่อให้เกิดเขตแดนสีน้ำตาลสว่างขึ้นมาล้อมรอบลู่เฉินไว้
องค์ชายรองเห็นดังนั้นจึงรู้สึกดีใจยิ่งนัก และรีบมองไปยังลู่เฉิน “เป็นเช่นไร!? ยังไหวงั้นหรือ!”
เมื่อเหล่าคนรับใช้และบรรดาอารักขาเห็นดังนั้นต่างก็คิดว่าลู่เฉินคงไม่สามารถต้านทานต่อไปได้ แต่ใครจะคิดว่าลู่เฉินกลับเผยรอยยิ้มออกมา “พลังเพียงแค่นี้อย่างนั้นหรือ?”
“พลังเพียงเล็กน้อยนี้ก็เพียงพอที่จะจับเจ้าได้” องค์ชายรองยิ้มอย่างพึงพอใจ
“โอ้ อย่างนั้นหรือ?”
จากนั้น ฉากที่ทำให้ทุกคนต้องตกตะลึงก็บังเกิดขึ้น เพราะลู่เฉินสามารถทำลายพลังของคนเหล่านี้ได้อย่างง่ายดายโดยที่ตัวเองไม่ได้รับบาดเจ็บใด ๆ
เมื่อเห็นเช่นนั้น องค์ชายรองจึงรู้สึกสับสับขึ้นมา ส่วนโหย่วหลงมีสีหน้าไม่ค่อยดีนัก “เจ้าหนุ่มผู้นี้ แท้จริงแล้วคือผู้ใดกัน!”
หนานเหยาหัวเราะลั่น “มา ๆ มีอีกหรือไม่?”
องค์ชายรองจึงหันไปถามคนทั้งสาม “เป็นเช่นไร?”
ทั้งสามคนคิดอยากจะลองอีกครั้ง แต่ผลยังคงเป็นเช่นเดิม ไม่ว่าทั้งสามจะลองเช่นไรก็ไม่สามารถจับลู่เฉินได้ ทำให้ทั้งสามมีสีหน้าลำบากใจ ลู่เฉินจึงยิ้มพลางมองไปยังคงเหล่านั้น “ถ้าหากไม่มีวิธี เช่นนั้นก็คงเป็นตาของข้าบ้างเสียแล้ว!”
“ตาของเจ้า?” องค์ชายรองไม่รู้ว่าลู่เฉินหมายความเช่นไร
แต่ลู่เฉินยังยิ้มประหลาดออกมา “นับเป็นการแลกเปลี่ยนกัน!”
คนเหล่านั้นต่างก็ไม่รู้ว่าลู่เฉินพูดถึงสิ่งใด ทว่าเพียงไม่นาน ทุกคนก็พลันตกตะลึงขึ้นมา