ตำนานจอมราชันย์อหังการ - บทที่ 279 ด้วยความสามารถเท่านี้ ยังคิดจะไว้ชีวิตข้า?
บทที่ 279 ด้วยความสามารถเท่านี้ ยังคิดจะไว้ชีวิตข้า?
คำพูดเหล่านี้ทำให้เจ้าสำนักมีท่าทีเย็นชาขึ้นมา “วาจาบ้าบิ่นยิ่งนัก!”
ในขณะที่คนของสำนักภูเขาภูตคนอื่น ๆ ต่างพากันหัวเราะเยาะ และบางคนถึงกับเอ่ยว่า “เจ้าหนุ่ม เจ้ารู้หรือไม่ว่าสำนักภูเขาภูตของพวกเราแข็งแกร่งแค่ไหน?”
“ก็ค่อนข้างแข็งแกร่ง แต่ก็ยังลำบากสักหน่อยหากจะทำให้ข้าล้มลง” ลู่เฉินพูดอย่างเฉยเมย
เจ้าสำนักได้ยินเช่นนั้นจึงตะโกนสั่งว่า “ตั้งค่ายกล!”
คนเหล่านั้นพลันทะยานลงมาจากท้องฟ้าทีละคน พวกเขาเข้าล้อมรอบลู่เฉิน ในขณะที่ชิงเฟิงหมิงตื่นตระหนก และพึมพำว่า “เจ้าสำนักก้าวข้ามขั้นก่อกำเนิดไปแล้ว”
กุ๋ยเจี่ยจื่อรู้ว่าเจ้าสำนักน่ากลัวเพียงใด ดังนั้นจึงกังวลอยู่เช่นกัน
แต่ลู่เฉินไม่ได้ใส่ใจเลยแม้แต่น้อย
เวลานี้เจ้าสำนักยังคงนั่งอยู่บนหลังม้า จากนั้นก็จ้องมองไปที่ปรมาจารย์ขั้นก่อกำเนิดที่ยืนอยู่รอบ ๆ และเอ่ยว่า “เจ้าก็ได้เห็นแล้วว่าคนเหล่านี้แข็งแกร่งมากเพียงใด!”
สิ้นเสียงนั้น พวกเขาก็นั่งขัดสมาธิ ก่อนจะสร้างมนตร์ดำเพื่อล้อมรอบลู่เฉิน ไม่ให้ลู่เฉินมีโอกาส ‘หลบหนี’
ทว่าลู่เฉินไม่ได้ใส่ใจ เขายิ้มเล็กน้อยแล้วถามว่า “คนเหล่านี้น่ะหรือ?”
“เจ้าหนุ่ม ค่ายกลที่คนเหล่านี้กำลังจะตั้งขึ้นในตอนนี้เรียกว่า ค่ายกลกักขังกายาญาณ”
“เหตุใดชื่อนี้จึงฟังดูแปลกยิ่งนัก?” ลู่เฉินไม่รู้จะพูดอย่างไร และเจ้าสำนักก็เอ่ยเย้ยหยันว่า “ก็คือการดักขังวิญญาณและร่างกาย ดังนั้นไม่ว่าเจ้าจะทำอะไร เจ้าก็ไม่อาจหนีจากที่แห่งนี้ไปได้”
ลู่เฉินกจึงล่าวว่า “ฟังดูน่ากลัวยิ่ง แต่ก็ไร้ประโยชน์”
“ไร้ประโยชน์หรือ? เจ้าไร้เดียงสา? หรือเจ้าคิดว่าตัวเองแข็งแกร่งเกินไป?” เจ้าสำนักถามกลับ ส่วนลู่เฉินก็มองเจ้าสำนักด้วยรอยยิ้ม “จากที่ข้าคิด ค่ายกลขนาดใหญ่รอบ ๆ นั้นน่าสนใจยิ่งกว่า!”
“ค่ายกลขนาดใหญ่?” เจ้าสำนักไม่รู้ว่าลู่เฉินหมายถึงอะไร แต่อึดใจต่อมาทุกคนก็ได้เห็นฉากที่น่าตกใจ
พวกเขาเห็นว่าชายหนุ่มเปิดใช้งานค่ายกลขนาดใหญ่ที่ขอบหน้าหน้าผาภูต ทำให้บริเวณโดยรอบปรากฏหมอกหนาทึบในพริบตา
ผู้คนจากสำนักภูเขาภูตต่างตกตะลึง
บางคนถึงกับตะโกนว่า “เกิดอะไรขึ้นกับค่ายกลนี้?”
และมีคนตะโกนขึ้นว่า “แย่แล้ว ไอภูตผีเข้มข้นมาก!”
เมื่อเห็นว่าหมอกโดยรอบเปลี่ยนเป็นสีดำ และเมื่อยื่นมือออกไปก็มองไม่เห็นนิ้วทั้งห้า แม้แต่ความเข้มข้นของไอภูตผีก็ถึงระดับที่สูงมาก
สิ่งนี้พลันทำให้ทุกคนตกใจ ก่อนจะรีบเปิดเกราะเพื่อป้องกันตัวเอง ไม่กล้าปล่อยให้ร่างกายสัมผัสกับไอภูตผีมากจนเกินไป ในขณะที่เจ้าสำนักตวาดด้วยความโกรธ “เจ้าหนู ออกมาให้เห็นเดี๋ยวนี้!”
เสียงของลู่เฉินดังก้องไปรอบ ๆ “เจ้าไม่รู้ด้วยซ้ำว่าข้าอยู่ที่ไหน ยังต้องการจัดการกับข้าอยู่อีกหรือ?”
“หึ เจ้ากล้าออกมาหรือไม่?” อำนาจของเจ้าสำนักแผ่กระจายออกมา ความแข็งแกร่งของเขาดั่งเทพเจ้า เรียกได้ว่าทรงพลังยิ่งนัก แต่ด้วยหมอกของค่ายกลนี้ เจ้าสำนักจึงไม่มีวิธีที่จะรู้ว่าลู่เฉินอยู่ที่ใด เขาจึงได้แต่ตะโกนอยู่เช่นนั้น
ไม่มีใครคาดคิดว่าลู่เฉินแอบออกมาจากหน้าผาภูตแล้ว และเขายังคงควบคุมโลงศพอยู่ โดยยืนอยู่บนขอบสะพาน จ้องมองไปยังหมอกดำมืดของหน้าผาภูตแล้วยิ้มออกมา “ค่อย ๆ เรียกนะ”
ชิงเฟิงหมิงตกใจ “นายท่าน พวกเขา?”
“ค่ายกลของหน้าผาภูตนั้นไม่เลว ดังนั้นพวกเขาจึงถูกขังอยู่ในนั้น” ลู่เฉินยิ้ม แต่ชิงเฟิงหมิงถึงกับตกตะลึง “ท่านขังพวกเขาด้วยค่ายกลของหน้าผาภูต!?”
“ใช่ มีปัญหาหรือ?” ลู่เฉินถามกลับ
ชิงเฟิงหมิงรู้สึกประหลาดใจ “แต่เจ้าสำนักผู้นี้อยู่ในขั้นแปลงเซียนแล้ว ดังนั้นค่ายกลนั่นจะขังเขาได้หรือ?”
ชายหนุ่มยิ้ม “ไม่ต้องพูดถึงว่าค่ายกลนี้จะขังคนขั้นแปลงเซียนได้หรือไม่ เพราะนั่นไม่ใช่ปัญหา แต่มันยากไปสักหน่อยที่จะฆ่าเขา”
ชิงเฟิงหมิงคิดว่ามันดูน่าเหลือเชื่อ ส่วนลู่เฉินนั้นมีท่าทีสงบลง ก่อนที่เขาจะเอ่ยขึ้นว่า “ไม่ต้องสนใจพวกเขา เรามุ่งไปยังพื้นที่ต้องห้ามกันเถอะ!”
หลังจากกล่าวจบ ลู่เฉินก็เดินไปที่สะพาน และมุ่งหน้าไปยังภูเขาฝั่งตรงข้าม
ณ หน้าผาภูต ยามนี้เจ้าสำนักและกลุ่มคนยังคงตะโกนกันไม่หยุด แต่ไม่ว่าพวกเขาจะตะโกนมากเพียงใด พวกเขาก็ไม่สามารถออกมาได้ ดังนั้นพวกเขาจึงทำได้เพียงโจมตีค่ายกลอย่างช้า ๆ และมองหาหนทางออกไป
…
หลังจากใช้เวลาไปเล็กน้อย ลู่เฉินก็มาถึงภูเขาฝั่งตรงข้าม ซึ่งบนภูเขานั้นมีพระราชวังสีดำปรากฏให้เห็น
อีกทั้งยังมีโครงกระดูกสัตว์และโครงกระดูกมนุษย์อยู่ทั่วไปนอกพระราชวัง ซึ่งดูแล้วแปลกประหลาดยิ่งนัก
เมื่อเห็นฉากนี้ ชิงเฟิงก็ถึงกับตื่นตระหนก “นายท่าน ท่านต้องการเข้าไปข้างในจริงหรือ?”
“มีอันใดเกี่ยวกับสถานที่ต้องห้ามนี้หรือไม่?”
“ข้าได้ยินมาว่าหากผู้ที่ไม่ได้รับการยอมรับจากกระดูกศักดิ์สิทธิ์บุกรุกเข้าไปในพื้นที่ต้องห้ามนี้ คนผู้นั้นก็จะกลายเป็นโครงกระดูกเช่นเดียวกับที่อยู่ข้างนอกนั่น” ชิงเฟิงหมิงพูดอย่างประหม่า แต่ลู่เฉินกลับเอ่ยว่า “ข้าต้องการเห็นมัน!”
หลังจากพูดจบ ลู่เฉินก็เดินเข้าไปในพระราชวังพร้อมกับนำโลงศพมาด้วย
เขาเห็นโครงกระดูกสีขาวปรากฏอยู่ทั่วทุกที่ในพระราชวังแห่งนี้
ไม่เพียงแค่นั้น ชายหนุ่มยังเห็นโครงกระดูกสัตว์จำนวนมากกำลังเดินอยู่ตรงนั้นเช่นเดียวกับม้า ราวกับว่าพวกมันมีสติสัมปชัญญะอย่างไรอย่างนั้น ทว่าพวกมันกลับไม่กล้าเข้าใกล้เขา ราวกับว่าพวกมันได้เห็นคนที่น่าหวาดกลัว
เช่นเดียวกับชิงเฟิงหมิงที่เวลานี้รู้สึกหวาดกลัวเป็นอย่างยิ่ง “นะ นี่… ถึงกับมีตัวน่ากลัวมากมายถึงเพียงนี้!”
“มีอะไรให้น่ากลัวถึงปานนั้น?”
“การหลอมรวมกันของวิญญาณและกระดูกสัตว์นั้นไม่น่ากลัวหรือ?” ชิงเฟิงหมิงไม่รู้ว่าเหตุใดอีกฝ่ายจึงไม่กลัว
ลู่เฉินถามกลับไปด้วยรอยยิ้มว่า “มันทำร้ายคนไม่ได้ แล้วเจ้าจะกลัวอะไร?”
“ว่ากันว่าวิญญาณอสูรชนิดนี้ หลังจากมีการหลอมรวมกับกระดูกสัตว์ มันก็จะมีการโจมตีที่ทรงพลังมาก เช่นเดียวกับม้ากระดูกผีของเจ้าสำนัก มันสามารถกระแทกผู้ฝึกตนขั้นก่อกำเนิดให้ปลิวไปในอากาศได้ในพริบตา!” ชิงเฟิงหมิงอธิบาย
ลู่เฉินยิ้ม “นั่นเป็นเพราะเจ้าอ่อนแอเกินไป!”
เมื่อได้ยินเช่นนี้ ชิงเฟิงหมิงก็พูดไม่ออก ในขณะที่ชายหนุ่มยังคงเดินหน้าต่อไป เพื่อมองหาร่องรอยของอู่เหยียน
ทว่าพระราชวังใหญ่ปานนี้ มันไม่ง่ายเลยที่จะหาอู่เหยียนพบ ดังนั้นลู่เฉินจึงจ้องไปที่โครงกระดูกสัตว์เดินได้เหล่านั้น “จงมานี่ทั้งหมดถ้าไม่อยากตาย!”
ตอนแรกชิงเฟิงหมิงคิดว่าลู่เฉินบ้าไปแล้ว แต่โครงกระดูกสัตว์เหล่านั้นกลับเดินไปยืนอยู่ด้านข้างลู่เฉินทีละตัว ราวกับว่าเขาเคยฝึกฝนพวกมันจนเชื่องอย่างไรอย่างนั้น
สิ่งนี้ทำให้ชิงเฟิงหมิงตกตะลึง “ท่านควบคุมมันได้อย่างไร?”
“เด็กเหล่านี้เป็นอสูรชนิดหนึ่ง” หลังจากที่ลู่เฉินพูดจบ เขาก็ไม่ได้อธิบายอะไรมากนัก ทำให้ชิงเฟิงหมิงรู้สึกสับสนขึ้นมา “อสูร? มีอะไรพิเศษงั้นหรือ?”
แน่นอนว่าลู่เฉินใช้ประโยชน์จากกลิ่นอายของราชันย์อสูร และวิญญาณอสูรเหล่านี้ก็สัมผัสได้โดยธรรมชาติ ดังนั้นพวกมันจึงกลัวเขาและไม่กล้าล่วงเกิน
“มี มีอะไรหรือขอรับ?” โครงกระดูกนกที่บินอยู่ในอากาศถามขึ้น ดวงตาของมันเป็นสีแดงฉาน
“ข้าต้องการหาคน” หลังจากที่ลู่เฉินพูดจบ เขาก็แสดงรูปเหมือนของอู่เหยียน ซึ่งโครงกระดูกสัตว์เหล่านั้นก็นึกออกทันที และพูดพร้อมกันว่า “วิหารกระดูกอสูร!”
“วิหารกระดูกอสูร?” ลู่เฉินสงสัยว่าสถานที่แห่งนี้คืออะไร
หลังจากที่กระดูกสัตว์เหล่านั้นบอกตำแหน่งเฉพาะของวิหารกระดูกอสูรแล้ว ชายหนุ่มก็นำโลงศพมุ่งหน้าไปยังวิหารกระดูกอสูร ขณะที่ชิงเฟิงหมิงไม่เข้าใจสักอย่าง เพราะจู่ ๆ โครงกระดูกสัตว์เหล่านี้ก็ดูหวาดกลัวลู่เฉินเป็นอย่างยิ่ง
โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อลู่เฉินเดินไปจนสุดทาง โครงกระดูกอสูรที่อยู่ตามเส้นทางจะยืนเรียงกันตามมุมราวกับว่าพวกมันเห็นสิ่งที่น่าหวาดกลัว ไม่กล้าเข้าใกล้เพราะกลัวว่าเขาจะจัดการพวกมันก็ไม่ปาน
ฉากนี้ทำให้ชิงเฟิงหมิงถอนหายใจ “แปลกเสียจริง”
ลู่เฉินไม่สนใจความตกใจของชิงเฟิงหมิง แต่หลังจากเดินไปได้ระยะหนึ่ง เขาก็มองเห็นประตูห้องโถงด้านข้าง ทว่าประตูนี้ปิดอยู่ และในขณะเดียวกันก็มีแสงสีดำจาง ๆ ส่องลอดออกมากจากประตู