ตำนานจอมราชันย์อหังการ - บทที่ 256 ลาก่อนความเกลียดชัง ยังนำมาซึ่งการสนับสนุนที่ยิ่งใหญ่เสียด้วย!
- Home
- ตำนานจอมราชันย์อหังการ
- บทที่ 256 ลาก่อนความเกลียดชัง ยังนำมาซึ่งการสนับสนุนที่ยิ่งใหญ่เสียด้วย!
บทที่ 256 ลาก่อนความเกลียดชัง ยังนำมาซึ่งการสนับสนุนที่ยิ่งใหญ่เสียด้วย!
เมื่อหนานเหยาได้ยินคำถามดังกล่าว จึงรีบตอบออกไปทันที “ข้ารู้!”
“พูดมา”
“ในปีนั้น จอมมารลู่และพี่น้องคนอื่น ๆ อีกเก้าคนได้ก่อตั้งสำนักปราบเซียนขึ้นมาเพื่อจัดการกับวังเหมันต์สงัดโดยเฉพาะ เพราะวังเหมันต์สงัดแห่งนี้ มักมีส่วนพัวพันกับกลุ่มคนที่มักจะต่อต้านผู้ฝึกตนทั่วหล้า ทำให้สำนักปราบเซียนนี้เปรียบเสมือนฝันร้ายของผู้ฝึกตนชั่วร้ายนับไม่ถ้วน!”
“เข้าประเด็น!” ลู่เฉินตอบกลับเพียงสั้น ๆ หนานเหยาจึงรีบอธิบายต่อทันที “สำนักปราบเซียนมีมารสิบตน โดยมีจอมมารลู่เป็นจอมมารสูงสุด และอีกเก้ามารผู้ยิ่งใหญ่เป็นผู้อารักขา จากนั้นก็จะเป็นบรรดาศิษย์ แต่มีสิ่งลี้ลับบางอย่างที่มีเพียงจอมมารลู่เท่านั้นที่ล่วงรู้ พลังลี้ลับนี้เกิดจากการรวมตัวการของคนสามสิบหกคน จึงเรียกมันว่าสามสิบหกศิษย์มาร!”
“เช่นนั้น สามสิบหกศิษย์มารนี้?” ลู่เฉินอยากรู้สิ่งที่เกิดขึ้นหลังจากนั้น เพราะหลังจากที่ตนได้ออกไปจากที่นี่ เขาก็ได้ปล่อยให้สามสิบหกศิษย์มารนั้นเป็นอิสระ
หนานเหยารีบตอบกลับทันทีว่า “หลังจากที่จอมมารลู่ได้ฆ่าล้างผู้ฝึกตนไปมากมาย เขาก็ขึ้นไปยังแดนเซียนสามสิบหกชั้น ส่วนสามสิบหกศิษย์มารของเขานั้น ว่ากันว่าหายตัวไป และไม่มีผู้ใดรู้ว่าพวกเขาอยู่ที่ใดกัน แม้กระทั่งเก้ามารผู้ยิ่งใหญ่ที่เหลือนั้น ต่างก็ไม่เคยเห็นใบหน้าของสามสิบหกศิษย์มารนี้ ดังนั้นสามสิบหกศิษย์เหล่านี้จึงถูกเรียกว่า สามสิบหกมารไร้นาม”
ลู่เฉินเอ่ยถามด้วยความสงสัย “เช่นนั้น หลังจากนั้นมีร่องรอยของพวกเขาบ้างหรือไม่?”
หนานเหยาส่ายหัวปฏิเสธ “ทั้งสามสิบหกศิษย์มาร แม้แต่เก้ามารผู้ยิ่งใหญ่ก็ยังไม่รู้สถานะของพวกเขา ยิ่งไม่มีผู้ใดรู้ถึงนามของพวกเขา จะมีข่าวคราวของพวกเขาได้อย่างไร!”
ชายหนุ่มได้ฟังจึงพยักหน้า “ก็ถูกของเจ้า ถึงแม้พวกเขาจะมายืนอยู่ตรงหน้า แต่ก็ไม่มีผู้ใดรู้ว่าเขาคือสามสิบหกศิษย์มาร”
“อาจารย์ เหตุใดจู่ ๆ ท่านจึงถามถึงเรื่องนี้ขึ้นมา?” หนานเหยารู้สึกสงสัย เมื่อลู่เฉินได้สติกลับมาจึงตอบเพียงสั้น ๆ “ไม่มีอะไร”
ทว่าหนานเหยากลับรู้สึกถึงความไม่ชอบมาพากล ส่วนหนานลัวพูดกับลู่เฉินว่า “เมื่อครู่มีข่าวมายังจักรพรรดิ ว่ากันว่าในวันพรุ่งนี้ที่ตำหนักจะมีการเรียกคนเหล่านั้นเข้ามา ดังนั้นจึงให้พวกเราเตรียมตัวเข้าวังในวันพรุ่งนี้”
“อืม ข้าเข้าใจแล้ว” ลู่เฉินรับคำแล้วก็หมุนตัวคิดจะออกไปจากจวนนี้ ทว่าหนานเหยากลับเอ่ยถามขึ้นด้วยความสงสัย “อาจารย์ ท่านจะไปที่ใดหรือ?”
“เข้าเมืองไปซื้ออะไรบางอย่าง”
เมื่อหนานเหยาได้ยินว่าจะเข้าไปเดินเล่นก็รีบตะโกนขึ้นมา “ข้าไปด้วย!”
พูดจบ นางก็รีบเดินตามลู่เฉินเดินออกไปจากจวน
เมื่อหนานเหยาได้ออกมาภายนอก ก็เหมือนกับนกน้อยที่ถูกปล่อยออกจากกรงทองอย่างไรอย่างนั้น “ในที่สุดข้าก็ได้ออกมาเดินซื้อของแล้ว!”
“ช่วงสองสามวันนี้ เจ้าไม่ได้ออกมาภายนอกเลยหรือ?” ลู่เฉินมองหนานเหยาด้วยความแปลกใจ ส่วนหนานเหยาก็ตอบกลับด้วยน้ำเสียงหดหู่ “วันนั้นหลังจากเข้ามายังแดนทักษิณา ถ้าไม่อยู่ในวังก็อยู่ในจวนของพี่ชาย หรือไม่ก็ไปหาองค์ชายหก”
ลู่เฉินได้ฟังจึงยิ้มออกมา “ดูยุ่งจริงเชียว”
เมื่อหนานเหยาเห็นลู่เฉินมีท่าทีเช่นนี้ จึงเอ่ยถามด้วยความสงสัย “อาจารย์ ท่านอยากซื้อสิ่งใดหรือ?”
“ซื้ออะไรก็ได้” ชายหนุ่มตอบอย่างคลุมเครือและเพียงเดินเตร็ดเตร่ไปเรื่อย ๆ ขณะที่หนานเหยานั้นเหมือนได้ปล่อยวางอย่างอิสระเดินมองซ้ายมองขวาไปเรื่อย
ทว่าเมื่อเวลาผ่านไปประมาณครึ่งชั่วยาม หลังจากลู่เฉินได้ซื้อของในร้านค้าจำนวนหนึ่ง พลันมีเสียงหนึ่งตะโกนขึ้นมา “อย่าขายให้เขา” น้ำเสียงเช่นนี้ช่างคุ้นเคยยิ่งนัก
ชายหนุ่มหมุนตัวไปตามเสียงนั้นก็พบใครบางคนที่ไม่ใช่ใครอื่น นั่นคือจางเชียน ผู้ที่ถูกตนจัดการที่หอสมบัติสวรรค์ในเมืองจวนสวรรค์ รวมทั้งตู๋ซานชิงที่ยืนอยู่ด้านข้าง
ก่อนหน้านี้จางเชียนได้ถูกตู๋ซานชิงใช้แมลงพิษระเบิดกายเนื้อ จากนั้นตู๋ซานชิงจึงทำให้ร่างก่อกำเนิดของจางเชียนและแมลงรวมเป็นหนึ่งเดียว ทำให้เขาในตอนนี้ดูจากภายนอกแล้วไม่แตกต่างกับคนทั่วไปมากนัก
“พ่อหนุ่ม ไม่เจอกันเสียนาน!” จางเชียนแข็งแกร่งขึ้นกว่าเมื่อก่อนไม่น้อย ขั้นพลังถึงขั้นก่อกำเนิดระดับสมบูรณ์พร้อม ส่วนตู๋ซานชิงที่อยู่อีกด้านนั้นยิ้มเย้ยหยันพลางจ้องมายังลู่เฉิน
เมื่อตอนที่หนานเหยายังเป็นภูตผีนั้น นางจดจำพวกเขาทั้งสองได้ ดังนั้นจึงยิ้มพลางมองไปยังทั้งคู่ “ข้าก็นึกว่าผู้ใด ที่แท้ก็คือท่านทั้งสองที่ถูกอาจารย์ข้าตามไล่ล่าจนหนีกระเจิงนี่เอง!”
“นางตัวเหม็น หุบปากไปเสีย!” อารมณ์ของจางเชียนดูรุนแรงขึ้นกว่าเมื่อก่อนไม่น้อย
หนานเหยาเพียงยิ้มพลางเอ่ยว่า “ข้าจะพูด มีอันใดหรือไม่?”
จางเชียนตะคอกเสียงดังพร้อมชี้นิ้วทันที “ที่นี่เป็นสถานที่ของหอสมบัติสวรรค์ของข้า!”
หนานเหยาคิดไม่ถึงว่าที่นี่จะเป็นที่ของหอสมบัติสวรรค์ ตู๋ซานชิงกลับยิ้มประหลาดพลางมองไปยังลู่เฉิน “พ่อหนุ่ม เอาของวางลงดี ๆ เถิด ที่นี่ไม่ขายของให้เจ้าหรอก”
ของที่ลู่เฉินเลือกนั้นจะวางคืนไปง่าย ๆ ได้เช่นไร ดังนั้นเขาจึงเผยรอยยิ้มออกมา “ข้าเพิ่งจ่ายเงิน ก็คิดจะนำคืนไปแล้ว? เจ้าคิดว่าเป็นไปได้หรือ?”
“เพียงไม่เดินออกไปจากร้านนี้ ของทุกสิ่งนับเป็นของหอสมบัติสวรรค์ของข้า!” จางเชียนกล่าวขึ้นมาด้วยความเย่อหยิ่ง ทว่าลู่เฉินกลับแสยะยิ้มออกมา “ดูเหมือนว่าบทเรียนก่อนหน้านี้จะยังไม่เพียงพอ!”
เมื่อจางเชียนได้ยินเช่นนั้นก็เกิดความโมโหขึ้นมา เพราะลู่เฉินคือผู้ที่ทำร้ายตนจนเป็นเช่นตอนนี้ มนุษย์ก็ไม่ใช่ ตัวอะไรก็ไม่เชิง ดังนั้นเขาจริงเกลียดลู่เฉินมาก “พ่อหนุ่ม เจ้าคิดจะลงมือหรือ!?”
“ที่นี่สามารถลงมือได้หรือ?” หนานเหยาย้อนถามกลับไป
“ที่นี่นับเป็นสถานที่ส่วนตัวของพวกเรา จะทำอะไรก็ได้!” เมื่อจางเชียนพูดจบก็ส่งสัญญาณไปยังเสี่ยวเอ้อร์ที่อยู่รอบ ๆ เสี่ยวเอ้อร์เหล่านั้นจึงรีบเชิญแขกอีกกลุ่มออกไปทันที
หนานเหยาเอ่ยขัดขึ้นมา “เชื่อหรือไม่ว่าพวกเราสามารถเรียกกลุ่มทหารรักษาการณ์เข้ามาได้?”
“กลุ่มทหารรักษาการณ์? คงไม่มีเวลามาดูแลที่นี่หรอก!” ขณะนั้นเองก็มีเสียงหนึ่งดังเข้ามาจากด้านนอก คนผู้นี้เป็นชายหนุ่มรูปงามอยู่ในชุดสีขาวดูสะอาดตาและในมือถือพัดสีขาวไว้
ด้านหลังทั้งสองฝั่งมีชายฝาแฝดคู่หนึ่งยืนอยู่ สีหน้าของชายทั้งสองคนนี้ดูเย็นชาแต่ไม่อ่อนแอ ท่าทางดูแข็งแกร่งอย่างมาก
จนกระทั่งจางเชียนมองเห็นชายผู้นั้น จึงรีบกล่าวแสดงความเคารพขึ้นมาทันที “องค์ชายเจ็ด!”
เมื่อได้ยินว่าเป็นองค์ชายเจ็ด หนานเหยาจึงรีบหันไปพูดกับลู่เฉินทันที “องค์ชายเจ็ด มีนามว่าหนานเย่ เป็นบุตรชายคนสุดท้องของสนมอวู๋ โดยปกติมักจะชอบอาศัยพระสนมเพื่อให้ตนเป็นที่โปรดปรานภายในวัง และยังมีความสัมพันธ์กับพวกขุนนางค่อนข้างดี ทว่านิสัยค่อนข้างหยิ่งยโส”
ลู่เฉินส่งเสียงขานรับราวกับไม่สนใจอะไรนัก ส่วนตู๋ซานชิงเองก็หันไปกล่าวทักทายองค์ชายเจ็ดด้วยความเคารพ “องค์ชายเจ็ด!”
“อาจารยห้า ผู้นี้คือคนที่ท่านบอกว่าจัดการได้ยากหรือ?” องค์ชายเจ็ดหันไปพูดติดตลกกับตู๋ซานชิง ตู๋ซานชิงจึงขานรับ “ขอรับ เมื่อครู่ก่อนหน้านี้ก็ตกหลุมพรางของเขา”
องค์ชายเจ็ดเผยรอยยิ้มออกมา “เช่นนั้น วันนี้ศิษย์ผู้นี้จะช่วยท่านมอบบทเรียนให้เขา!”
ผู้คนที่อยู่รอบ ๆ และคอยมองอยู่นั้นกลับดูสนใจขึ้นมา “ตู๋ซานชิงผู้นี้ แท้จริงแล้วก็คืออาจารย์ห้าขององค์ชายเจ็ด!”
“ยิ่งไปกว่านั้น ยังมีคนอีกจากหลายสำนัก เป็นอาจารย์ขององค์ชายเจ็ดผู้นี้!”
“ภาพลักษณ์ของพระสนมอวู๋นั้น ช่างดูยิ่งใหญ่เสียจริง!”
“ไม่ใช่พระสนมอวู๋ แต่เป็นแดนศักดิ์สิทธิ์เมฆาสงัดที่อยู่เบื้องหลังพระสนมอวู๋!”
ทุกคนต่างรู้ดี ส่วนองค์ชายเจ็ดนั้นมองไปยังลู่เฉิน เขายิ้มพลางเอ่ยถามขึ้นมาว่า “เจ้ารู้หรือไม่ว่าหอสมบัติสวรรค์เป็นสมบัติของผู้ใด?”
“สมบัติของผู้ใดนั้น สำคัญด้วยหรือ?”
“ข้ามีอาจารย์ท่านหนึ่งเป็นเจ้าของหอสมบัติสวรรค์นี้ เจ้าคิดเช่นไร?” องค์ชายเจ็ดยิ้มพลางมองลู่เฉินอย่างมีเลศนัย ราวกับว่าลู่เฉินนั้นเป็นเป้าหมายที่แน่นอน
ทว่า ‘เป้าหมายที่แน่นอน’ นี้เองที่เผยยิ้มออกมา และไม่เอื้อนเอ่ยใด ๆ จนกระทั่งหนานเหยายังอดพูดออกมาไม่ได้ “เช่นนั้นแล้วอย่างไร?”
องค์ชายเจ็ดใช้พัดชี้มายังลู่เฉิน “ข้าได้ยินมาว่า ตอนที่เขาอยู่ในเมืองจวนสวรรค์ ได้ทำลายสมุนไพรในหอสมบัติสวรรค์ไปเป็นจำนวนมาก และอาจารย์ของข้าก็เป็นเจ้าของหอสมบัติสวรรค์แห่งนี้ ข้าผู้นี้เป็นศิษย์ จะไม่ยื่นมือเข้ามาจัดการได้เช่นไร จริงหรือไม่?”
“เช่นนั้นหมายความว่า เจ้าจะออกตัวแทนหอสมบัติสวรรค์และตู๋ซานชิง?”
จากนั้นหนานเหยาก็ได้รับเสียงตอบรับจากอีกฝ่ายกลับมาทันที
“ใช่! เพราะองค์ชายเจ็ดเช่นข้าจะยินยอมให้เกิดเรื่องอยุติธรรมในแดนทักษิณาได้อย่างไร?” องค์ชายเจ็ดผู้นี้เผยรอยยิ้มชั่วร้ายออกมา