ตำนานจอมราชันย์อหังการ - บทที่ 254 อยากตาย? เคยถามข้าหรือไม่?
บทที่ 254 อยากตาย? เคยถามข้าหรือไม่?
ครู่ต่อมา ลำแสงสีทองจำนวนนับไม่ถ้วนที่วาดเป็นกระบี่ก็โจมตีไปที่ ‘กำแพงพันชั้น’ ของลู่เฉิน ส่วนเลี่ยอิงที่เดิมทีคิดว่าลู่เฉินจะต่อต้าน ถึงอย่างไรปราณมีดเหล่านี้ก็แข็งแกร่งเกินไป แม้แต่เลี่ยอิงเองก็ไม่แน่ใจว่าตนจะต้านทานมันได้หมดหรือไม่
แต่สิ่งที่แปลกก็คือลู่เฉินต้านทานปราณเหล่านี้ได้
สิ่งนี้ทำให้เลี่ยอิงตกตะลึง ไม่อยากจะเชื่อสิ่งที่เกิดขึ้นต่อหน้าเขา
ส่วนชายสวมงอบนั้น แววตาของเขาตื่นตระหนก จากนั้นก็หันกายคิดจะหนีไปจากที่นี่ แต่ลู่เฉินพลันเอ่ยขึ้นว่า “ข้าปรับเปลี่ยนค่ายกลรอบ ๆ แล้ว เจ้าหนีไปไหนไม่ได้หรอก”
เปลี่ยน? ชายสวมงอบรู้สึกสับสน แต่เขาก็ยังไม่เต็มใจและต้องการที่จะพุ่งออกไป ทว่าสุดท้ายเขาก็ถูกค่ายกลทำให้ได้รับบาดเจ็บ
‘ตู้ม!’ ลูกบอลไฟขนาดใหญ่พุ่งเข้าใส่ชายสวมงอบ และชายสวมงอบก็กระเด็นออกไป
เลี่ยอิงตกตะลึงจนถึงกับเอ่ยออกมาโดยไม่รู้ตัว “นี่…”
ชายสวมงอบพยายามลุกขึ้น เขาจ้องเขม็งไปยังลู่เฉิน “เจ้าเป็นใคร! เหตุใดเจ้าถึงปรับเปลี่ยนค่ายกลนี้ได้!”
“การเปลี่ยนค่ายกลสำหรับข้ามันง่ายเหมือนการดื่มน้ำ” ประโยคนี้ของชายหนุ่มเกือบจะทำให้ชายสวมงอบโมโหจนขาดใจตาย อีกฝ่ายโกรธเกรี้ยวจนสบถออกมา “สมควรตาย!”
ลู่เฉินหันมองไปยังเลี่ยอิงพลางเอ่ยว่า “ข้าปล่อยให้เจ้าสอบปากคำ”
เลี่ยอิงส่งเสียงรับคำ แล้วรีบดึงสติกลับมาอย่างรวดเร็ว จากนั้นเขาก็จ้องไปที่ชายสวมงอบ “เจ้าเป็นใคร! เหตุใดถึงมุ่งเป้าหมายไปที่ทหารรักษาการณ์ของเรา!”
“ข้าไม่บอกเจ้าหรอก!” ชายสวมงอบกัดฟันอย่างโกรธจัด แต่เลี่ยอิงตวัดกระบี่ออกไป เปลวไฟจากปราณกระบี่ก็พุ่งเข้าใส่ชายสวมงอบ ทำให้ชายสวมงอบได้รับบาดเจ็บสาหัสทันที
“จะพูดหรือไม่พูด?!” เลี่ยอิงถาม
“ถึงตายข้าก็ไม่บอกพวกเจ้า!”
ทันใดนั้น แมลงจำนวนนับไม่ถ้วนก็ปรากฏขึ้นจากกระบอกไม้ไผ่บนร่างกายของเขา แล้วพุ่งเข้าใส่ร่างของชายสวมงอบ ทำให้ชายสวมงอบดิ้นรนด้วยความเจ็บปวดแล้วจึงสลบไป
เลี่ยอิงตกใจ “อันใดนะ?”
ลู่เฉินเพียงเดินไปคว้าชายสวมงอบแล้วแผ่กลิ่นอายของราชาแมลงออกมา แมลงในร่างของชายสวมงอบหายไปทีละตัว จากนั้นชายสวมงอบก็ตื่นขึ้นมาด้วยความงุนงง “ข้าตายแล้วหรือ?”
“เจ้าคิดว่าข้าจะปล่อยให้เจ้าตายง่าย ๆ อย่างนั้นหรือ?” ชายหนุ่มหัวเราะ และเมื่อชายสวมงอบเห็นลู่เฉินอีกครั้ง ดวงตาของเขาก็เบิกกว้าง “เจ้า!”
เลี่ยอิงก็ตกใจเช่นกัน เขาไม่คาดคิดว่าคนตรงหน้าจะสามารถ ‘คืนชีพผู้คนจากความตายได้’
“บอกมาเถิด เจ้าเป็นใครกัน? และเหตุใดถึงต้องมุ่งเป้าไปที่พวกเขา?” ลู่เฉินมองชายสวมงอบด้วยรอยยิ้ม ทว่าชายสวมหมวกงอบกลับตะคอกเสียงแข็งว่า “ข้าไม่บอกพวกเจ้า!”
ทว่าผู้ใดจะรู้ว่าลู่เฉินจะยัดยาเข้าไปในปากของชายสวมงอบ ทำให้เขาหลับใหลไปทันที
เลี่ยอิงพลันตกใจ “เกิดอันใดขึ้น?”
“แค่ยาห้วงนิทรา” ลู่เฉินตอบ
เลี่ยอิงกลับสงสัยว่ายาห้วงนิทราคืออะไร แต่ในครู่ต่อมาเขาก็ตะลึงเพราะไม่ว่าลู่เฉินจะถามสิ่งใด ชายสวมงอบก็ตอบออกมาหมด
ประโยคแรกของลู่เฉินถามว่า “พูดชื่อของเจ้ามา”
“ข้าชื่อซูหนาน” ชายคนนั้นพูดอย่างสะลืมสะลือ ส่วนลู่เฉินก็ถามต่อไปว่า “แล้วเหตุใดเจ้าถึงมุ่งเป้าหมายไปที่ทหารรักษาการณ์ที่นี่?”
“ข้าจะทำให้ทหารรักษาการณ์ที่นี่ตื่นตระหนก จนกว่าทหารรักษาการณ์จะหนีไปจากเมืองนี้ และผู้คนที่นี่ก็จะจากไป”
“บีบให้ออกไป?”
“ใช่!”
“เจ้าจะบีบบังคับพวกเขาเพื่ออันใด?” ลู่เฉินถามต่อ ซูหนานจึงตอบว่า “ต้อนรับผู้อาวุโสของสำนักข้า”
ลู่เฉินรู้สึกงงงวย “สำนักของเจ้า?”
“สำนักแมลงมาร”
เมื่อได้ยินชื่อสำนักแมลงมาร เลี่ยอิงพลันตกตะลึง “เหตุใดสำนักที่หายไปนานปานนั้นถึงได้ปรากฏขึ้นอีกครั้ง”
“หายไปนาน?” ชายหนุ่มมองไปที่เลี่ยอิงอย่างสงสัย และเลี่ยอิงก็พูดอย่างใจดีว่า “เมื่อหมื่นปีก่อน สำนักนี้ได้รับความนิยมอย่างมาก แต่แล้วก็หายไปอีกครั้ง คิดไม่ถึงว่าจะปรากฏตัวอีกครั้ง”
ลู่เฉินไม่รู้อะไรมากนักเกี่ยวกับสำนักแมลงมาร ทว่าหลังจากที่เลี่ยอิงแนะนำให้รู้จัก เขาจึงถามซูหนานผู้นี้ว่า “สำนักของพวกเจ้าวางแผนจะทำอะไร?”
“เพาะเลี้ยงแมลงจำนวนมาก” ซูหนานตอบ
หลังจากที่เข้าใจแล้ว เขาก็มองไปที่เลี่ยอิงพลางเอ่ยว่า “ข้าจะมอบให้เจ้าจัดการต่อ”
เลี่ยอิงรับคำแล้วจึงคว้าตัวซูหนานที่ไม่ได้สติมา ส่วนลู่เฉินก็โบกมือไปที่ไหนสักแห่ง ก่อนที่เงาจะพลันมาถึงมือของชายหนุ่มและหายไป
เลี่ยอิงมองเห็นอะไรไม่ชัดเจน ดังนั้นเขาจึงมองไปที่อีกฝ่ายด้วยท่าทางแปลก ๆ
ลู่เฉินเดินนำทางลงจากเขา ในขณะที่เลี่ยอิงก็รีบตามติดไป เวลาเดียวกันก็พูดอย่างเขินอายเล็กน้อยจากด้านหลังว่า “เรื่องนั้น… ผู้อาวุโส ข้าเคยเข้าใจท่านผิด ข้าขออภัยจริง ๆ!”
“เข้าใจผิด?”
“ข้า… ข้าไม่ควรดูแคลนท่าน” เลี่ยอิงประทับใจในความแข็งแกร่งที่มีมากมายของลู่เฉินแล้ว และเขาก็เข้าใจดีว่าหากตนต่อสู้กับอีกฝ่ายจริง ๆ เขาย่อมไม่สามารถทำอะไรลู่เฉินได้เลย
นั่นเป็นเหตุผลที่เลี่ยอิง ‘ประนีประนอม’ และแม้กระทั่งขอโทษด้วยซ้ำ
ลู่เฉินเพียงยิ้มและไม่พูดอะไร แต่เลี่ยอิงก็อดไม่ได้ที่จะถามว่า “ผู้อาวุโส เหตุใดการป้องกันของท่านถึงแข็งแกร่งมากเช่นนี้ ท่านเป็นแค่ผู้ฝึกตนขั้นสร้างรากฐานเท่านั้น อีกทั้งท่านยังสามารถปรับเปลี่ยนค่ายกลได้จริง ๆ หรือ?”
ลู่เฉินกล่าวไปด้วยเดินไปด้วย “ค่ายกลเป็นเพียงความสามารถของข้า ส่วนการป้องกันที่แข็งแกร่งนั่นคือฝีมือของข้า”
เลี่ยอิงไม่เข้าใจมากนัก แต่เขายังคงพูดด้วยความชื่นชม “ถึงอย่างไรท่านก็ยังทรงพลังมาก”
ชายหนุ่มยิ้มออกมาเล็กน้อย
ทั้งสองเดินไปพร้อมกัน ด้านหน้าหนึ่งคน ด้านหลังหนึ่งคน เลี่ยอิงไม่มีท่าทีดูถูกลู่เฉินอีกต่อไป ในทางกลับกัน เขายังมีท่าทางเคารพและให้เกียรติตลอดทาง เพราะกลัวว่าลู่เฉินจะไม่พอใจ
หลังจากนั้นไม่นาน พวกเขาก็กลับมาถึงจวนท่านเจ้าเมือง
ภายในจวนของท่านเจ้าเมือง องค์ชายหก หนานลัว และพรรคพวกกำลังรออยู่ที่นั่น
จนกระทั่งทหารรักษาการณ์ตะโกนว่า “พวกเขากลับมาแล้ว!”
องค์ชายหกและคนอื่น ๆ ปรี่ออกมาจากห้องโถงมุ่งตรงมาที่ลานหน้าบ้าน เมื่อพวกเขาเห็นชายแปลกหน้าในมือของเลี่ยอิง ทุกคนต่างมองหน้ากันด้วยความตกตะลึง
โดยเฉพาะหนานเหยาที่ถามด้วยความสงสัยว่า “ท่านอาจารย์ เกิดอันใดขึ้นหรือ?”
“ให้เขาอธิบายให้เจ้าฟัง” ลู่เฉินชี้ไปที่เลี่ยอิง จากนั้นชายหนุ่มก็ไปพักผ่อนด้านข้าง ส่วนเลี่ยอิงก็อธิบายทุกอย่างด้วยความตื่นเต้น
เหล่าทหารรักษาการณ์ที่อยู่ด้านข้างและองค์ชายหกตกตะลึงเมื่อได้ยินเรื่องนี้
หนานเหยารู้ว่าลู่เฉินรู้วิธีใช้ค่ายกล ดังนั้นนางจึงไม่แปลกใจ ตรงกันข้ามกับทุกคนที่หลังจากได้ยินดังนั้นต่างก็อ้าปากค้าง โดยเฉพาะยิ่งเลี่ยอิงที่ได้เล่าความร้ายกาจของลู่เฉินออกมาเป็นฉาก ๆ
แม้แต่เจ้าของชื่อที่นั่งอยู่ก็ไม่สามารถทนฟังต่อไปได้อีก ชายหนุ่มรีบพูดตัดบททันที “รีบเข้าประเด็นเสีย!”
เลี่ยอิงรู้สึกเขินอาย จากนั้นจึงอธิบายเรื่องของซูหนาน ขณะที่องค์ชายหกได้ยินแล้วก็ถึงกับตกใจ “สำนักแมลงมาร!”
หนานลัวรู้สึกประหลาดใจมากยิ่งขึ้น “เป็นไปได้หรือไม่ว่าสำนักแมลงมารอยู่ในป่าแมลงพิษมาตลอด?”
คำพูดเหล่านี้ทำให้ทุกคนตกใจและรู้สึกเหลือเชื่อ
องค์ชายหกกระวนกระวาย “แล้วพวกเขาจะส่งใครมาอีกหรือไม่?”
ขณะนี้ซูหนานรู้สึกตัวแล้ว แต่เขายังคงแสร้งทำเป็นไม่รู้อะไรเลย องค์ชายหกไม่มีทางเลือกอื่นนอกจากหันไปหาลู่เฉิน “ผู้อาวุโส ท่านช่วยถามเขาอีกครั้งได้หรือไม่?”
ลู่เฉินไม่มีทางเลือกอื่นนอกจากสะบัดมือข้างหนึ่ง และยาเม็ดหนึ่งก็เข้าสู่ร่างกายของซูหนาน ฉับพลันนั้นก็ทำให้เขาตกอยู่ในอาการสะลืมสะลืออีกครั้ง
องค์ชายหกและคนอื่น ๆ จึงรีบถาม
แต่ผลที่ได้คือหากผู้คนในเมืองนี้ไม่ออกไปภายในหนึ่งเดือน ป่าแมลงมารจะส่งคนมาที่นี่
เรื่องนี้ทำให้องค์ชายหกตื่นตระหนก “หนึ่งเดือน…”
หนานเหยาชี้ไปที่ลู่เฉินแล้วยิ้มออกมา “มีท่านอาจารย์ของข้าอยู่ที่นี่ ย่อมแก้ปัญหานี้ได้อย่างแน่นอน!”
องค์ชายหกหันมองลู่เฉินทันที
ทว่าจู่ ๆ ซูหนานก็เหมือนกับคุ้มคลั่งขึ้นมา ทุกคนจึงสงสัยว่าเกิดอะไรขึ้น