ตำนานจอมราชันย์อหังการ - บทที่ 251 บังเอิญพบคนเสียสติที่ใต้กำแพงเมืองแ
บทที่ 251 บังเอิญพบคนเสียสติที่ใต้กำแพงเมือง
เมืองพำนักเซียน
หนึ่งแสนปีก่อน สถานที่แห่งนี้ไม่ได้ถูกเรียกว่าเมืองพำนักเซียน ทว่าแค่มีชีพจรวิญญาณที่ทรงพลังอยู่ที่นี่ ด้วยเหตุนี้ลู่เฉินจึงนำคนมาอาศัยรากฐานของชีพจรวิญญาณนี้ปรับเปลี่ยนค่ายกลต่าง ๆ มากมาย โดยมีเป้าหมายเพื่อจัดการกับเซียนที่บุกเข้ามาโจมตี
เซียนเหล่านี้คือพวกที่เรียกว่า ‘พันธมิตรวิถีแห่งเต๋า’ จากแดนเซียนสามสิบหกชั้น
ทว่าเมื่อคนเหล่านี้มาถึงมหาทวีปจิ่วโหยวก็ถูกลู่เฉินซุ่มโจมตี และเพราะพวกเขาอยู่ที่นี่ ความแข็งแกร่งของพวกเขาจึงถูกจำกัด ทำให้เซียนต้องมาตายตกที่นี่ไม่น้อย ตั้งแต่นั้นมาก็ไม่มีผู้ใดกล้ามาที่มหาทวีปจิ่วโหยวอีก
ภายหลังจึงถูกตั้งชื่อว่าเมืองพำนักเซียน ซึ่งเป็นสถานที่ที่เซียนเสียชีวิตลงนั่นเอง
แต่หนึ่งแสนปีผ่านไป สถานที่แห่งนี้ก็ ‘อ่อนแอ’ ลง และสิ่งที่เรียกว่าค่ายกลก็ทรุดโทรมมากยิ่งขึ้น ทว่าถึงอย่างนั้น สำหรับผู้ที่อยู่ในขั้นก่อกำเนิดหรือแม้กระทั่งขั้นที่อ่อนแอกว่านั้นก็ยังถือเป็น ‘แดนอันน่าสะพรึงกลัว’ อยู่
ด้วยเหตุนี้ คนเหล่านั้นจึงไม่กล้าออกไปเตร็ดเตร่รอบ ๆ ชีพจรวิญญาณภูเขา
“ท่านอาจารย์ ท่านรู้จริงหรือ?” หนานเหยาขัดจังหวะความคิดของลู่เฉิน ทำให้ชายหนุ่มได้สติกลับคืนมา เขาหันมายิ้มให้กับหนานเหยา “แน่นอน”
หนานเหยามองไปที่กำแพงเมืองและเนินเขารอบ ๆ พลางพูดว่า “ว่ากันว่าจอมมารลู่เมื่อหนึ่งแสนปีก่อนได้สังหารผู้บุกรุกจำนวนมากที่นี่!”
ลู่เฉินยิ้มไม่พูดจา แต่เดินต่อไป
ทว่าทันทีที่เขามาถึงประตูเมือง เขาก็พบกลุ่มทหารรักษาการณ์กำลังตะโกนและล้อมรอบคนคนหนึ่งราวกับว่ามีบางอย่างเกิดขึ้น ขณะที่หนานหลิวนั้นตกใจมาก “เลี่ยอิง ไปดูซิ”
เลี่ยอิงรีบพุ่งไปทันที ส่วนผู้เฝ้าประตูเมืองเห็นเลี่ยอิงเข้าก็พูดอย่างร้อนใจว่าว่า “ผู้บัญชาการเลี่ย!”
“เกิดอันใดขึ้น?” เลี่ยอิงถามอย่างสงสัย และทหารรักษาการณ์ก็ชี้ไปยังคนที่อยู่ในตาข่าย
เห็นเพียงว่าคนคนนี้สวมชุดเกราะสีขาว แต่ดวงตาของเขากลายเป็นสีแดงก่ำ และร่างกายของคนผู้นี้ก็แผ่ไอมารสีม่วงอ่อนออกมา เล็บมือทั้งสองข้างยาวคม ในขณะเดียวกันก็มีเลือดไหลทะลักออกมาตามเล็บ ดูแล้วน่ากลัวยิ่งนัก
เลี่ยอิงตกตะลึงและรีบหันไปเอ่ยกับหนานหลิวที่อยู่ไม่ไกล “องค์ชายหก พบคนคุ้มคลั่งพ่ะย่ะค่ะ”
หนานหลิวมองไปยังลู่เฉินทันที ลู่เฉินจึงเอ่ยว่า “ไปดูกัน”
ทุกคนรีบไปดูทันที พวกทหารรักษาการณ์ที่เฝ้าประตูเมืองต่างกล่าวกับหนานหลิวด้วยความเคารพว่า “องค์ชายหก”
“ถอยไปด้านข้าง” หนานหลิวสั่งให้คนเหล่านี้ถอยไปด้านข้าง และทุกคนก็ทยอยกันถอยออกไป ส่วนคนในตาข่ายนั้น เขากำลังคำรามอย่างดุเดือด
หนานเหยาอ้าปากค้างเมื่อเห็นภาพตรงหน้า “น่ากลัวมาก”
หนานหลิวมองไปที่ลู่เฉินทันที “ผู้อาวุโส ลำบากท่านแล้ว”
ผู้ที่ไม่รู้จักลู่เฉินต่างก็สงสัยว่าเหตุใดหนานหลิวถึงได้สุภาพกับผู้ฝึกตนขั้นสร้างรากฐาน ขณะที่เลี่ยอิงพลันมีสีหน้าเคร่งขรึมขึ้นมา “องค์ชายหก เขาเก่งจริงหรือ?”
“หยุดพูดไร้สาระได้แล้ว!” หนานหลิวตวาดเสียงดังจนทหารรักษาการณ์เหล่านั้นต่างตกตะลึง เพราะพวกเขาไม่เคยเห็นองค์ชายหกตำหนิเลี่ยอิงมาก่อน
เลี่ยอิงไม่มีทางเลือกอื่นนอกจากต้องอดทน ทว่าสายตาของเขาที่จับจ้องไปยังลู่เฉิน เห็นได้ชัดว่าอยากเห็นลู่เฉินขายหน้า
ไม่ใช่แค่เลี่ยอิงเท่านั้น ทหารรักษาการณ์ที่กลับมาจากแดนทักษิณาด้วยกันต่างก็กระซิบว่า “คอยดูเด็กคนนี้ว่าจะโม้อย่างไร”
“ใช่ มาดูกันว่าเขายังจะกล้าเรียกตัวเองว่าหมอเทวดาหรือไม่”
ขณะที่คนเหล่านี้กำลังรอดูการแสดงของลู่เฉิน ชายหนุ่มที่ว่าก็เดินมาหยุดอยู่ข้างตาข่าย หลังจากนั้นเขาก็คุกเข่าลง มือหนึ่งคว้าแขนของคนผู้นั้นเอาไว้
หนานหลิวตกตะลึงทันที “ระวัง ตัวเขามีพิษ!”
ทหารรักษาการณ์รู้สึกว่าลู่เฉินบ้าไปแล้ว
แต่ในขณะที่ลู่เฉินสัมผัสชายคนนั้น อสูรมารแมวที่มือขวาของลู่เฉินพลันดูดไอมารทั้งหมดในร่างกายของชายคนนั้นไปทันที
เมื่อไม่มีไอมาร คนผู้นั้นก็หมดสติไปในพริบตา และอาการทั้งหมดในร่างกายของเขาก็หายไปทันที
ไม่เพียงแค่นั้น เมื่อลู่เฉินปลดตาข่ายออก นิ้วของบุคคลนั้นก็กลับมาเป็นปกติ และลมหายใจของเขาก็กลับมาเป็นปกติเช่นกัน ก่อนที่อีกฝ่ายจะลืมตา และเผยให้เห็นแววตาทั้งสองข้างที่สดใสเป็นปรกติ แต่ก็ยังค่อนข้างเหม่อลอยเล็กน้อย
เห็นเพียงใบหน้าติดงุนงงของเขาเท่านั้น “เกิดอันใดขึ้นหรือ?”
ทุกคนตกใจ และบางคนก็พูดติดอ่างว่า “ฟะ ฟื้นแล้ว ฟื้นแล้วจริง ๆ!”
ทหารรักษาการณ์ที่เฝ้าประตูเหล่านั้นต่างกราบไหว้ลู่เฉิน และบางคนถึงกับเอ่ยอย่างประหลาดใจว่า “เป็นหมอเทวดาจริง ๆ ด้วย!”
แม้แต่ทหารรักษาการณ์ที่มาด้วยกันก็เริ่มมองลู่เฉินด้วยความชื่นชม ส่วนเลี่ยอิงนั้นตกใจอย่างยิ่ง “ง่ายดายเช่นนี้เลย?”
หนานหลิวมองไปที่ลู่เฉินอย่างตื่นเต้น “ร้ายกาจเกินไปแล้ว ร้ายกาจเกินไปแล้วจริง ๆ!”
หนานเหยาเองก็พูดอย่างภาคภูมิใจว่า “เห็นแล้วสินะ ข้าบอกแล้วว่าท่านอาจารย์จัดการได้!”
หนานหลิวพยักหน้าเห็นด้วย ทว่าหนานลัวกลับรู้สึกประหลาดใจ เพราะแม้จะรู้ว่าลู่เฉินเก่งเรื่องการแพทย์ แต่เขาไม่คิดว่าอีกฝ่ายจะร้ายกาจปานนี้
ลู่เฉินเพียงจ้องมองไปที่บุคคลนั้นและถามว่า “วันนี้เจ้าเจออันใดมาบ้าง?”
“เจอ?” ชายคนนั้นมีสีหน้าสงสัย
“ก่อนที่เจ้าจะหมดสติไป เจ้ากำลังทำอันใดอยู่?” ยิ่งลู่เฉินถามมากเท่าไหร่ ชายคนนั้นก็ยิ่งดูสับสน ส่วนหนานหลิวกลับออกคำสั่งว่า “รีบพูดมา!”
“องค์ชายหก ขะ ข้า ข้าก็ไม่รู้เหมือนกัน” คนผู้นี้ไม่รู้ว่าเกิดอันใดขึ้น
หนานหลิวไม่มีทางเลือกอื่นนอกจากขอให้ใครสักคนจดบันทึกโดยไม่พลาดแม้แต่รายละเอียดเดียว
ชายหนุ่มมองไปรอบ ๆ ครู่หนึ่งแล้วเอ่ยว่า “พาข้าไปดูผู้ถูกคุมขังคนอื่น ๆ ก่อน”
หนานหลิวรับคำและพาลู่เฉินและคนอื่น ๆ เข้าไปในเมืองทันที ทว่าผู้คนในเมืองต่างก็สงสัยว่าพวกลู่เฉินคือผู้ใด เหตุใดจึงมีท่าทียิ่งใหญ่จนต้องให้คนคุ้มกันพวกเขาจำนวนมาก
อย่างไรก็ตาม เมื่อลู่เฉินเดินไปได้ระยะหนึ่ง เขาก็หยุดกะทันหัน ก่อนจะหันมองไปรอบ ๆ
“ท่านอาจารย์ มีอะไรหรือ?” หนานเหยาถาม
ลู่เฉินขมวดคิ้วเล็กน้อย “ข้าพบคนที่น่าสนใจ”
“ที่ไหนหรือ?”
“หนีไปแล้ว” ชายหนุ่มตอบเพียงแค่นั้น ส่วนหนานเหยาพลันสับสน หนานหลิวจึงถามด้วยความสงสัยว่า “ผู้อาวุโส คนที่ท่านพูดถึงคือตัวก่อปัญหาใช่หรือไม่? หรือว่า…”
“ข้ายังไม่รู้ ไปต่อเถิด” หลังจากเอ่ยจบ ลู่เฉินก็ปล่อยให้พวกเขานำทางต่อไป
…
ประมาณครึ่งชั่วยามต่อมา ทั้งหมดก็มาถึงคุกใต้ดินในเมือง และที่แห่งนี้ก็มีเสียงกรีดร้องแหลมดังออกมาไม่หยุด
ลู่เฉินมองเห็นห้องขังหลายร้อยห้อง และคนเหล่านั้นยังถูกล่ามโซ่เอาไว้
ไม่เพียงแค่นั้น คนเหล่านั้นยังมีรูปร่างแตกต่างกันออกไป บางคนผมยาว บางคนตาแดง บางคนเล็บยาว และแม้กระทั่งร่างกายก็แข็งแรง แต่ไม่ว่าอย่างไร ทุกคนก็สูญเสียความเป็นตัวเองไป และทำได้เพียงร้องคำรามเท่านั้น
ฉากนี้ทำให้หนานเหยาตัวสั่น “ท่านอาจารย์ เกิดอะไรขึ้นกับพวกเขา?”
“ถูกพิษ”
“ถูกพิษ?” หนานเหยางงงวย หนานหลิวเองก็ฉงนใจเช่นกัน “พิษ?”
“แมลงมาร เจ้าเคยได้ยินหรือไม่?” ลู่เฉินมองไปที่พวกเขา ส่วนหนานหลิวก็ถึงกับตกตะลึง “แมลงมาร?”
ชายหนุ่มพยักหน้าและพูดต่อทันทีว่า “แมลงมารมีหลายชนิด ส่วนพวกนี้น่าจะเป็นแมลงมารโลหิต”
หนานหลิวรู้สึกประหลาดใจ “แดนทักษิณามีคนที่เลี้ยงแมลงพิษไม่มากนัก และยังเป็นแมลงมารเสียด้วย ดูเหมือนว่าจะไม่เคยได้ยินเรื่องนี้มาก่อน”
ทว่าหนานลัวกลับขมวดคิ้ว “มันปรากฏตัวขึ้นในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมา”
หนานหลิวและคนอื่น ๆ หันมองไปที่หนานลัวทันที ส่วนหนานเหยาก็ถึงกับฉงนใจยิ่งขึ้น “มันเคยปรากฏตัวด้วยหรือ?”
“ที่ใดกัน? เหตุใดข้าถึงไม่เคยได้ยินมาก่อน” หนานหลิวเอ่ยถามด้วยสีหน้างุนงง