ตำนานจอมราชันย์อหังการ - บทที่ 2 มาประชดประชัน?
บทที่ 2 มาประชดประชัน?
ลู่เฉินใช้แก่นแห่งไม้ของต้นไม้อายุนับพันปีเพื่อรักษาตัวเองจนหายเป็นปกติแล้ว
อย่างไรก็ตาม การรักษาเช่นนี้ก็ฟื้นฟูได้เพียงอาการบาดเจ็บทางร่างกายและกระดูกเท่านั้น …แต่รากวิญญาณของเขาถูกดึงออกไปแล้ว! และนั่นก็หมายความว่าการฝึกตนจะได้รับผลกระทบ!
ดังนั้น สิ่งสำคัญที่สุดในตอนนี้คือการปลูกรากวิญญาณขึ้นมาใหม่อีกครั้ง
หากจะให้จำกัดความก็คงกล่าวได้ว่า การครอบครองรากวิญญาณนั้นมีอยู่สองประเภทด้วยกัน หนึ่งคือ มีมาตั้งแต่กำเกิด และสองคือ ‘เพาะปลูก’ มันขึ้นมา
การ ‘เพาะปลูก’ นั้น สามารถทำได้ทั้งบนร่างกายของผู้อื่นแล้วขโมยมา หรือปลูกไว้บนร่างกายของตนเองก็ได้ ซึ่งการ ‘เพาะปลูก’ เช่นนี้ รากวิญญาณจะเติบโตมาเป็นเช่นไรก็ขึ้นอยู่กับวิธีการปลูก รวมถึงวัตถุดิบที่ใช้หล่อเลี้ยง!
โชคดีที่ในอดีตชาติก่อนหน้านี้ ลู่เฉินได้เคยศึกษาและทดลองปลูกรากวิญญาณมาไม่น้อย แม้กระทั่งอัจฉริยะหลายคนก็ยังถูก ‘เพาะปลูก’ ด้วยฝีมือเขา!
“เฮ้อ ข้าไม่เคยคิดเลยว่าตนเองจะต้องเผชิญกับสถานการณ์เช่นนี้…” ลู่เฉินคิดในใจ
ขณะเดียวกัน หมอฉินหลินซึ่งอยู่ด้านข้างได้ปล่อยมือชายหนุ่ม ก่อนจะถามออกมาด้วยแววตาที่ฉายประกายแห่งความหวัง “เจ้าเป็นอย่างไรบ้าง?”
แม้ลู่เฉินไม่ต้องการที่จะพูดอะไรมาก แต่อีกฝ่ายนับว่าได้ช่วยเขาเอาไว้ไม่น้อย และยังมีสัมพันธ์อันดีกับตระกูลลู่ เขาจึงยอมตอบกลับไปว่า “ข้าพอรู้วิชาแพทย์เล็กน้อย จึงได้รักษาด้วยตนเอง”
“วิชาแพทย์หรือ? วิชารักษาอันใดกัน?” แววตาฉินหลินเป็นประกายราวกับเพิ่งได้ยินเรื่องที่น่าตื่นเต้น
เมื่อเห็นว่าเป็นเช่นนี้ ลู่เฉินก็มีความคิดหนึ่งขึ้นมา “ท่านต้องการเรียนรู้มันหรือไม่?”
“เรียนสิ ข้าอยากเรียน!” ฉินหลินเป็นผู้ที่สนใจด้านการแพทย์ เขาจึงตอบรับทันทีโดยแทบไม่ต้องคิด
หลังจากที่ได้ยินคำตอบ ลู่เฉินจึงกล่าวต่อไปว่า “ข้าต้องการอุปกรณ์การสอนบางอย่าง ท่านจงเตรียมมันมาให้ข้า แล้วข้าจะสอนท่าน”
ฉินหลินได้ยินดังนั้นก็ตอบรับด้วยความยินดี “บอกมาเลย!”
“หญ้าเลือดมังกรพันปี กระดูกราชสีห์ขนเพลิงที่โตเต็มวัย หญ้าวิญญาณหิมะอายุสามพันปี…”
ครั้นลู่เฉินร่ายนามของวัตถุดิบกว่าสิบชื่อภายในลมหายใจเดียว ความตื่นเต้นของฉินหลินก็ค่อย ๆ จางลง เขาพูดอย่างประหม่าว่า “หกจากสิบของสิ่งที่เจ้าพูดมานับว่าจัดการได้ไม่ยาก แต่อีกสี่อย่างที่เหลือนั้น มีสามอย่างที่ล้ำค่ายิ่ง จึงอยู่ภายใต้การควบคุมของผู้อาวุโสแห่งสำนักเก้าสุขสงบ ส่วนอีกอย่างหนึ่ง… กระดูกราชสีห์ขนเพลิงนั้น ข้าเกรงคงยากจะได้มา!”
สำหรับกระดูกราชสีห์ขนเพลิงนั้น ลู่เฉินสามารถรอได้ ดังนั้นเขาจึงหันไปถามฉินหลิน “เช่นนั้น อีกเก้าอย่างที่เหลือคือหามาได้ใช่หรือไม่?”
ฉินหลินตอบด้วยความไม่มั่นใจเล็กน้อย “วัตถุดิบอันล้ำค่าเหล่านี้ มีแต่บุตรศักดิ์สิทธิ์ของสำนักเก้าสุขสงบเท่านั้นจึงจะมีสิทธิ์เบิกใช้พวกมันได้ ดังนั้น…”
“บุตรศักดิ์สิทธิ์?” ลู่เฉินสงสัย
หลังจากฟังคำอธิบายจากฉินหลินแล้ว ลู่เฉินพลันตระหนักได้ถึงสาเหตุของมัน สำนักเก้าสุขสงบกำลังอยู่ในช่วงถดถอย ดังนั้นเพื่อสร้างความหวังใหม่ขึ้น พวกเขาจึงคิดที่จะใช้ทรัพยากรล้ำค่าทุกอย่างเพื่อบ่มเพาะบุตรศักดิ์สิทธิ์ของสำนัก
และบุตรศักดิ์สิทธิ์ผู้นี้เองที่จะขึ้นเป็นผู้นำสำนักคนต่อไป
ทว่าบุตรศักดิ์สิทธิ์คนก่อนได้ขึ้นเป็นผู้นำสำนักเมื่อหลายพันปีก่อนแล้ว ทิ้งให้ตำแหน่งบุตรศักดิ์สิทธิ์ว่างเปล่าไร้ผู้ใดครอบครอง และสาเหตุที่เป็นเช่นนี้ก็เพราะไม่มีใครผ่านการทดสอบไปได้เลย!
ลู่เฉินครุ่นคิดเล็กน้อย ก่อนจะพูดว่า “ถ้าอย่างนั้นท่านพาข้าไปที่นั่นที”
“อะไรนะ?” ฉินหลินตกตะลึง
“ข้าจะเข้ารับการทดสอบ” ลู่เฉินตอบกลับราวกับว่าเป็นเรื่องธรรมดา
“ย่อมได้ แต่ตอนนี้เจ้าไม่มีรากวิญญาณ และปราณของเจ้าก็อยู่เพียงขั้นกลั่นลมปราณระดับห้าเท่านั้น ข้าเกรงว่าหากไปทดสอบ เจ้าก็คงแข็งแกร่งได้ไม่ถึงหนึ่งในสิบจากเมื่อก่อน!” ฉินหลินออกความเห็น
ทว่าลู่เฉินย่อมมีวิธีของตนเอง และเชื่อมั่นในวิธีการนั้น จึงเอ่ยว่า “ไม่ต้องกังวล ท่านจะไม่เสียใจเลยหากพาข้าไปที่นั่น!”
ฉินหลินรู้สึกอึดอัดเล็กน้อย
เมื่อเห็นท่าทีดังกล่าว ลู่เฉินจึงพูดกระตุ้นเสริมอีกว่า “ตราบใดที่ท่านพาข้าไปยังสำนักเก้าสุขสงบ ข้าจะสอนวิชาแพทย์นั้นให้กับท่าน!”
เมื่อฉินหลินได้ยินเรื่องนี้ เขาก็รู้สึกกระตือรือร้นขึ้นมาทันที “ถ้าอย่างนั้นกลับไปคุยกับปู่ของเจ้าก่อนเถอะ!”
ท่านปู่หรือ?
ชายชราผมขาวผู้นั้น…
แม้ว่าลู่เฉินและท่านปู่จะไม่ได้สนิทสนมกันนัก แต่ร่างกายของชาติที่เก้านี้ก็สืบสายเลือดมาจากชายชราผมขาวนั่น และเขาคนนั้นก็ดีกับชายหนุ่มไม่น้อย
ลู่เฉินจึงพยักหน้าและเดินตามฉินหลินไป
…
ทว่าเมื่อมาถึงลานด้านหน้าจวนตระกูลลู่ พวกเขาพลันเห็นผู้คนในตระกูลกำลังจับกลุ่มพูดคุยบางอย่าง
“นี่มันหมายความว่าอย่างไร?”
”ใครจะไปรู้!”
“คุณหนูใหญ่ตระกูลเถียนเพิ่งหนีไปกับคนอื่น แต่คุณหนูรองกลับนำสินสอดมาที่นี่… นี่คนตระกูลเถียนต้องการเยาะเย้ยนายน้อยของเราหรือไร?”
”ดูเหมือนจะเป็นเช่นนั้น!”
“เกิดอะไรขึ้น?” ลู่เฉินถามด้วยความสับสน ขณะมองดูผู้คนที่กำลังพูดคุยกัน
และเมื่อพวกเขาหันมามองตามเสียงก็เห็นว่าเป็นลู่เฉิน จึงพากันกล่าวด้วยความเคารพ “นายน้อย!”
อวิ๋นซานได้ก้าวออกจากฝูงชนเหล่านี้ และกล่าวอย่างประหม่าว่า “นายน้อย ท่านประมุขให้ท่านไปที่สวนหลังจวนเจ้าค่ะ!”
”เกิดอะไรขึ้น?”
นางกล่าวอย่างกังวลว่า “ไปก่อนแล้วคุยกันดีกว่าเจ้าค่ะ”
ลู่เฉินไม่มีทางเลือกอื่นนอกจากต้องตามไป และระหว่างเดินไปนั้น อวิ๋นซานก็ได้เริ่มอธิบายต้นสายปลายเหตุทั้งหมดให้เขาฟัง
ปรากฏว่าคุณหนูใหญ่ตระกูลเถียนเคยทำสัญญาหมั้นหมายกันไว้ แต่เมื่ออีกฝ่ายได้ยินข่าวเรื่องลู่เฉินขโมยคัมภีร์ และยังถูกสำนักฟ้าศักดิ์สิทธิ์ขับไล่ นางจึงหนีไปกับชายอื่น
ส่วนคุณหนูรอง เมื่อนางพบว่าผู้เป็นพี่ทำเช่นนั้น นางจึงเสนอตัวเป็นคนสานต่อสัญญาหมั้นหมายนั้นเสียเอง
เมื่อได้ยินเช่นนี้ ความคิดแรกของลู่เฉินก็เหมือนกับคนอื่น ๆ ..นั่นคืออีกฝ่ายมาที่นี่เพื่อเยาะเย้ยเขา!
แม้แต่ฉินหลินที่เดินอยู่ด้านข้างก็ยังรู้สึกประหลาดใจ “คุณหนูรองบ้านตระกูลเถียนงั้นหรือ? ผู้คนต่างบอกว่านางนิสัยดีและจิตใจงดงามยิ่ง แล้วคนแบบนี้จะทำเรื่องเจ้าเล่ห์แสนกลเช่นนี้ได้อย่างไร?”
“จิตใจงดงาม? สำหรับคนกลับกลอกบางคน บางครั้งการแสดงถึงจิตใจอันงดงามที่ว่าก็อาจเป็นเพียงเปลือกนอกที่พวกเขาแสดงให้เห็น เพื่อให้เราไม่รู้ว่าโดยเนื้อแท้แล้ว… พวกเขาเลวร้ายเพียงใด!!” ลู่เฉินเคยเห็นผู้คนมามากมาย จึงเคยพบเจอผู้คนที่กลับกลอกเช่นนี้มาไม่มากก็น้อย
นอกจากนี้ ทำไมเขาต้องแต่งงานกับนางด้วย? ใครอยากได้เจ้าเป็นภรรยาไม่ทราบ?!
ลู่เฉินจึงเร่งฝีเท้า โดยมีอวิ๋นซานและฉินหลินตามมาอย่างรวดเร็ว
ภายในสวนหลังจวน ท่านประมุขลู่นั่งอยู่และกำลังชงชาให้สตรีนางหนึ่ง นางสวมผ้าคลุมสีม่วง และกล่าวอย่างสุภาพว่า “ท่านผู้เฒ่า ท่านไม่จำเป็นต้องทำเช่นนี้เลย!”
ลู่เฉินผู้ซึ่งต้องการจะว่ากล่าวในทีแรก ครั้นเห็นท่าทีเช่นนั้นของอีกฝ่าย เขาก็พลันชะลอฝีเท้าลง และขณะเดียวกัน โทสะในใจพลันมอดลงไปด้วย
อวิ๋นซานตะโกนขึ้นว่า “ท่านผู้เฒ่า นายน้อยมาแล้วเจ้าค่ะ!”
เมื่อท่านประมุขลู่หันมาเห็น เขาก็กล่าวอย่างตื่นเต้นว่า “มาแล้วหรือ!”
ลู่เฉินเดินเข้าไปใกล้คนทั้งสอง ทำให้เขาค้นพบบางอย่างที่น่าสนใจเกี่ยวกับสตรีผู้นี้ นั่นก็คือรอบกายนางแผ่รัศมีแห่งธาตุไม้ออกมามากล้น ถึงขนาดที่ว่าหากจับจ้องดี ๆ ก็อาจเห็นแสงสีเขียวจาง ๆ ที่ปกคลุมอยู่บริเวณหน้าผาก!!
แสงสีเขียวนี้แผ่รัศมีออกมาเก้าวงด้วยกัน
“รากวิญญาณธาตุไม้เก้าดาว?” ลู่เฉินประหลาดใจเล็กน้อย เนื่องจากในสถานที่เช่นนี้ ยากนักที่จะมีรากวิญญาณเช่นนี้ได้!
“มาเถอะ ข้าจะแนะนำเจ้าให้รู้จักกับนาง” ประมุขลู่ผู้นี้อยากแนะนำให้ลู่เฉินรู้จักคู่สนทนา แต่สตรีนางนั้นกลับชิงพูดอย่างสุภาพก่อนว่า
“นายน้อยลู่ ข้าคือคุณหนูรองตระกูลเถียน นามว่าเถียนซินเมิ่ง พวกเราเคยได้พบกันเมื่อปีที่แล้ว!”
ลู่เฉินครุ่นคิดย้อนกลับไป ก่อนจะพบว่าเมื่อปีที่แล้ว ตนเคยพบกับอีกฝ่ายระหว่างการคัดเลือกรับศิษย์ของสำนัก ซึ่งในงานครั้งนั้นก็มีหลายตระกูลที่เข้ามาประจบประแจงเขา ซึ่งรวมถึงคุณหนูทั้งสองจากตระกูลเถียนด้วย
ในเวลานั้น คุณหนูใหญ่กับเถียนซินเมิ่งถูกนำตัวมาที่จวนตระกูลลู่ และบอกลู่เฉินว่าให้เลือกคู่หมั้น
แต่ในครานั้น ลู่เฉินคิดว่าเถียนซินเมิ่งเป็นแค่สาวใช้ เขาจึงไม่ได้สนใจนางมากนัก นอกจากนี้คุณหนูใหญ่ตระกูลเถียนก็นับว่า ‘ใกล้ชิด’ กับตระกูลเขาไม่น้อย จึงลงเอยเป็นว่าลู่เฉินได้หมั้นหมายกับคุณหนูใหญ่
แต่ตอนนี้… เถียนซินเมิ่งกลับมาหาถึงประตูจวนเสียอย่างนั้น ทำให้ลู่เฉินอดไม่ได้ที่จะสงสัยว่า “เจ้ามาที่นี่ เพื่อล้างแค้นข้าที่ไม่ได้เลือกเจ้าหรือ?”
“ไม่ใช่… อย่าเข้าใจข้าผิด ข้าแค่อยากจะทำตามสัญญาหมั้นหมาย ทำให้การแต่งงานระหว่างสองตระกูลสมบูรณ์ลุล่วงไปด้วยดี เพราะบิดาข้าต้องการให้ท่านเป็นลูกเขยของเขา!” เถียนซินเมิ่งพูดอย่างลังเล
ทำให้การแต่งงานสมบูรณ์?
สิ่งนี้ทำให้ลู่เฉินเข้าใจความหมายได้ในทันที เขายิ้มแล้วกล่าวว่า “พ่อของเจ้าไม่อยากเสียหน้า และอยากให้ข้าเป็นลูกเขยของเขางั้นหรือ?”
เถียนซินเมิ่งกลัวว่าลู่เฉินจะเข้าใจผิดจึงรีบอธิบาย “ต..ตะ แต่ตัวข้าสามารถแต่งงานกับท่านได้!”
นางประสงค์สิ่งใดกันแน่?
สิ่งนี้ทำให้ความโกรธของลู่เฉินพุ่งสูงขึ้น จากนั้นก็มองเถียนซินเมิ่งด้วยสายตาแปลกประหลาดและพูดว่า “คุณหนูเถียน เจ้านี่ช่างคิดทีเดียว!”
“ข้า…” เถียนซินเมิ่งรู้สึกขุ่นเคืองทันใด
ในขณะที่ประมุขลู่รู้สึกกังวล “ลู่เฉิน เจ้าจะกล่าวเช่นนั้นกับสตรีไม่ได้นะ!”
ลู่เฉินรู้ดีว่าหากอธิบายไปก็คงเปล่าประโยชน์ เขาจึงไม่มีทางเลือกอื่นนอกจากตอบปฏิเสธโดยตรง “ข้าจะถอนตัวจากสัญญาการแต่งงาน แล้วไปบอกคนในตระกูลเถียนว่า อย่าได้มาเหยียบจวนตระกูลลู่อีก!”
ลู่เฉินพูดจบก็ขอให้อวิ๋นซานเตรียมกระดาษและพู่กัน
คราแรกประมุขลู่ทำท่าจะพูดบางอย่างกับลู่เฉิน แต่เขาทราบดีว่าชายหนุ่มเป็นคนเช่นไร ดังนั้นจึงทำได้เพียงมองเถียนซินเมิ่งอย่างช่วยไม่ได้ แล้วกล่าวว่า “คุณหนูเถียน เจ้าอย่าใส่ใจเรื่องนี้เลย เขาไร้พ่อแม่ตั้งแต่ยังเด็ก อีกทั้งเมื่อไม่นานมานี้ยังถูกคนทำร้ายและใส่ความ จึง…”
“ข้าเข้าใจ!” เถียนซินเมิ่งตอบ พลางมองไปที่กระดาษแผ่นนั้น
หลังจากเขียนเสร็จแล้ว ลู่เฉินก็โยนจดหมายลงบนโต๊ะหินต่อหน้าเถียนซินเมิ่ง แต่นางไม่ได้โกรธ เพียงนิ่งเฉยและพูดว่า “ข้าจะไม่ยอมแพ้ที่จะแต่งงานกับท่าน!”
นี่เจ้าหล่อนยังสติดีอยู่หรือไม่?
เขาไม่มีรากวิญญาณ แล้วนางต้องการอะไรจากเขากัน?
ลู่เฉินไม่เข้าใจว่าผู้หญิงคนนี้คิดอะไรอยู่!!