ตำนานจอมราชันย์อหังการ - บทที่ 118 แม้ว่าทวนจะดี แต่ชั่วครู่ก็ถูกปลดอาวุธ!
บทที่ 118 แม้ว่าทวนจะดี แต่ชั่วครู่ก็ถูกปลดอาวุธ!
ที่จุดตันเถียนของเขามี ‘ลูกแก้ว’ โปร่งใสล้อมรอบ และมีแสงสีขาวอยู่หกสิบชั้นแล้ว
ไม่เพียงแค่นั้น ความเข้มข้นของปราณในร่างกายของลู่เฉินก็ถึงแปดสิบเท่าแล้ว
ยามนี้หากจะให้ลู่เฉินจัดการกับผู้ที่อยู่ในขั้นหลอมแก่นแท้ เขาก็ย่อมจัดการได้อย่างง่ายดาย
”เจ้ามันคนบ้า!” ยามที่ลู่เฉินรู้สึกภูมิใจ จู่ ๆ ก็มีกลุ่มคนเดินออกมาจากป่า และผู้นำของพวกเขาก็คือชายที่ถือทวนสีทอง
ชายผู้นี้สวมชุดเกราะอ่อนและหมวกเกราะสีทองไว้บนศีรษะ
โจวกังแนะนำให้ลู่เฉินรู้จักทันที “รากวิญญาณธาตุทองคำแปดดาว! จินอวิ๋นซาน!”
ลู่เฉินจำรายชื่อที่โจวกังมอบให้เขาได้ และจินอวิ๋นซานก็เป็นผู้ที่มีรากวิญญาณแปดดาว กล่าวได้ว่า ‘แข็งแกร่ง’ เป็นอย่างมาก
ทว่าชายหนุ่มก็แอบนึกฉงนในบางสิ่ง เขาจึงจ้องมองและถามว่า “มีอะไรหรือ?”
จินอวิ๋นซานหยิบแผ่นป้ายออกมา บนแผ่นป้ายนี้สลักไว้ว่า ‘หอสวรรค์คู่ จินอวิ๋นซาน!’
ทุกวันนี้ลู่เฉินย่อมเคยได้ยินชื่อหอสวรรค์คู่มาไม่น้อย เพราะมันคือนามของกลุ่มกองกำลังในเขตที่สอง
ในกลุ่มกองกำลังนี้มีคนที่เป็นเป้าหมายของลู่เฉินอยู่ไม่น้อย ดังนั้นพวกเขาจึงถูกลู่เฉินสั่งสอน และยามนี้ก็มีมาอีกคน ดังนั้นชายหนุ่มจึงถามอย่างอยากรู้อยากเห็นว่า “ดูเหมือนว่าเจ้าจะอยากทดสอบพลังของข้าสินะ?”
จินอวิ๋นซานที่ได้ยินพลันเอ่ยอย่างดูถูกว่า “ข้าจะบอกเจ้าให้นะ ข้าเอาชนะเจ้าได้ง่ายมาก! แต่ผู้นำของข้าสั่งให้ข้าจับเจ้ากลับไป!”
“จับข้างั้นรึ อาศัยแค่ตัวเจ้า?” ลู่เฉินเอ่ยเย้า
จินอวิ๋นซานตอบอย่างมั่นใจว่า “แน่นอน!”
”เจ้าแน่ใจหรือว่าจะไม่ไตร่ตรองดูสักหน่อย?” ลู่เฉินถามกลับ แต่จินอวิ๋นซานพลันตะโกนผ่านความมืดว่า “ตาข่าย!”
ครู่ต่อมา ตาข่ายสีทองขนาดใหญ่ก็พันรัดหลี่ว์ซือไว้
และแม้หลี่ว์ซือจะพยายามทุบตาข่ายให้แหลก แต่เขาก็พบว่าตาข่ายนี้เหนียวยิ่งนัก ไม่อาจฉีกมันออกได้ ส่วนจินอวิ๋นซานที่เห็นสิ่งนี้ก็พูดอย่างภาคภูมิใจว่า “ว่าอย่างไร? หากไม่มีเขา เจ้าคิดว่าเจ้าจะยังกล้าบ้าบิ่นอยู่หรือไม่?”
คนของหอสวรรค์คู่พลันหัวเราะดังยิ่งขึ้น และบางคนยังคงชี้มือชี้ไม้มาด้วย
“ถ้าไม่มียอดฝีมือผู้ฝึกกายเนื้อ เจ้าหนุ่มนี่ก็ไม่สามารถบ้าคลั่งได้แล้ว!”
“ไร้สาระ ก่อนหน้านี้ถ้าไม่ใช่เพราะคนตัวใหญ่นั่น เขาจะเอาชนะคนจำนวนมากได้อย่างไร?”
หลี่ว์ซือคิดไม่ถึงว่าคนเหล่านี้จะคิดว่าเขาช่วยให้ลู่เฉินเอาชนะผู้อื่น ดังนั้นจึงอดไม่ได้ที่จะเอ่ยว่า “ความแข็งแกร่งของเขา ไม่จำเป็นต้องให้ข้าช่วยเหลือ!”
แต่ทุกคนไม่เชื่อ ยังคงคิดว่าหลี่ว์ซือคือคนที่ช่วยลู่เฉิน
แม้แต่จินอวิ๋นซานยังล้อหลี่ว์ซือว่า “เจ้าคิดว่าพูดเช่นนี้แล้วข้าจะไม่กล้าโจมตีเขาหรือ?”
หลี่ว์ซืออยากพูดอะไรบางอย่าง แต่ลู่เฉินกลับบอกเขาว่า “ช้าก่อน ข้าจะจัดการพวกเขาสักหน่อย”
หลี่ว์ซือจึงได้แต่พยักหน้าอย่างเข้าใจ
ว่าแล้วลู่เฉินก็มองไปที่จินอวิ๋นซาน “มาเลย!”
”เจ้าหนุ่ม เจ้าแน่ใจหรือว่าถ้าไม่มีเขา เจ้ายังกล้ามายืนคุยกับข้าที่นี่?” จินอวิ๋นซานหัวเราะเย้ยหยัน
ลู่เฉินคลี่ยิ้มเล็กน้อยและไม่พูดอันใด แต่ทุกคนคิดว่าลู่เฉินกำลังคิดเล่นเล่ห์กลให้ผู้คนสับสน
จินอวิ๋นซานที่เห็นว่าลู่เฉินดื้อรั้นไม่พูดจาจึงกล่าวว่า “เจ้าหนุ่ม ให้ข้าแสดงให้เจ้าเห็นถึงความร้ายกาจของรากวิญญาณธาตุทองคำแปดดาวของข้าเสียหน่อย!”
จากนั้นรากวิญญาณบนของแขนขวาของจินอวิ๋นซานก็เปล่งแสงสีทอง ก่อนที่ทวนในมือจะร่ายรำสะบัดซ้ายขวา
ในฉับพลันนั้น เงาทวนยาวพลันพุ่งเข้าหาลู่เฉินเป็นสาย ๆ
เงาทวนเหล่านี้เปรียบเสมือนดั่งศรแหลมคมที่พยายามเจาะทะลุลู่เฉิน
ทว่าลู่เฉินก็ได้ใช้ออกด้วยเคล็ด ‘กำแพงพันชั้น’ จึงเห็นเพียงว่ารอบกายชายหนุ่มเกิดกำแพงปราณหนาแปดสิบชั้นขึ้นมา!
กำแพงแปดสิบชั้นนั้นเบาบางจนดูเหมือนกระดาษซ้อนกันเป็นชั้น ๆ
แต่ทวนเงาของอีกฝ่ายกลับทะลุผ่านไปได้เพียงยี่สิบชั้นก็ไม่อาจทะลวงต่อไปได้อีก
นี่จึงทำให้ทุกคนสงสัยว่าลู่เฉินมีเคล็ดวิชาป้องกันอันใด เหตุใดจึงทรงพลังเพียงนี้!
ลู่เฉินยิ้ม เขามองไปที่จินอวิ๋นซานที่ตกตะลึงจนอ้าปากค้าง ก่อนจะเอ่ยว่า “มาเลย ต่อไป มาดูกันว่าอัจฉริยะขั้นสร้างรากฐานอย่างเจ้าจะระเบิดพลังได้มากขนาดไหน!”
จินอวิ๋นซานนับเป็นอัจฉริยะของหอสวรรค์คู่ ปกติแล้วเขานั้นหยิ่งยโสอย่างมาก แต่วันนี้เขากลับไม่สามารถทำร้ายลู่เฉินได้ ดังนั้นจินอวิ๋นซานมีหรือที่จะยอม? เจ้าตัวพลันควงทวนอย่างดุเดือดทันที
“ทิ่มแทงทะลวงสุญญะ!”
”ขว้างตัดสุญญะ!”
“กวาดทลายสุญญะ!”
…..
ไม่ว่าจินอวิ๋นซานจะสำแดงมันออกมาอย่างไร สุดท้ายก็ไม่อาจทำอันใดลู่เฉินได้เลย
ลู่เฉินยิ้มให้อีกฝ่ายและกล่าวด้วยน้ำเสียงเชิงหยอกล้อ “เหนื่อยหรือไม่?”
การแสดงออกของลู่เฉินทำให้ผู้คนของสำนักสวรรค์คู่ทั้งโมโหและหวาดกลัว
โดยเฉพาะอย่างยิ่งจินอวิ๋นซานที่กำลังถือทวน เขาตื่นมีท่าทีตระหนกเล็กน้อย “เจ้ามันขี้โกง เคล็ดวิชาการป้องกันของเจ้ามันขี้โกง!”
“การป้องกันของข้าขี้โกงงั้นหรือ? ข้าว่าเป็นเจ้ามากกว่าที่อ่อนแอเกินไป!”
อ่อนแอ? ข้าน่ะรึอ่อนแอเกินไป?
จินอวิ๋นซานครุ่นคิด ก่อนจะหยิบเม็ดยาออกมาหนึ่งเม็ด “ข้า… ข้าจะให้เจ้าได้ลิ้มลองความแข็งแกร่งที่แท้จริงของข้า!”
หลังจากที่ทุกคนเห็นว่าจินอวิ๋นซานกินยาเข้าไป พวกเขาก็ร้องตะโกนขู่ลู่เฉิน
“เจ้าหนุ่ม เจ้าจบเห่แล้ว!”
“ถูกต้อง เม็ดยาไร้เทียมทานของศิษย์พี่จิน เมื่อใช้ไปแล้วพลังจะเพิ่มขึ้นอย่างน้อยสิบเท่า!”
”ใช่!”
เม็ดยาไร้เทียมทาน…
ดวงตาของลู่เฉินฉายแววประหลาดใจ เนื่องจากเม็ดยานี้ตนเป็นผู้คิดค้นขึ้นมาเอง และต่อมาได้ถ่ายทอดให้กับศิษย์รุ่นเยาว์ในมหาทวีปจิ่วโหยว ทำให้ศิษย์ผู้นี้เติบใหญ่กลายเป็นปรมาจารย์ปรุงยาอันดับหนึ่งในมหาทวีปจิ่วโหยว ซึ่งเป็นที่รู้จักในฐานะปรมาจารย์แห่งการปรุงยา
และเนื่องจากเม็ดยาชนิดนี้ปรุงยากเป็นพิเศษ ศิษย์ทั่วไปของเขาจึงมักไม่รู้วิธีการปรุง แล้วนับประสาอะไรกับการถ่ายทอดให้ผู้อื่น? ดังนั้นลู่เฉินจึงมองไปที่จินอวิ๋นซานด้วยความสงสัย
ทว่าก็เห็นเพียงว่าบนร่างของจินอวิ๋นซานระเบิดพลังปราณสีทองออกมา
จากนั้นจินอวิ๋นซานก็ประกาศกร้าวออกมาว่า “เจ้าหนุ่ม จงไปลงนรกเสียเถิด!”
ขณะที่จินอวิ๋นซานกำลังจะลงมือ ลู่เฉินก็พลันใช้เคล็ดวิชาคุมจิตวิญญาณ ทำให้ยามที่จินอวิ๋นซานโบกทวนของเขาเข้ามา ตัวทวนก็พลันสั่นไหว จนเจ้าตัวเสียจังหวะและไม่สามารถโจมตีได้เต็มกำลัง!
”นี่… นี่มันเกิดอะไรขึ้น?” ดวงตาของจินอวิ๋นซานเบิกกว้าง
ลู่เฉินจึงบอกไปว่า “เจ้ามีเพียงพลังแค่ขั้นสร้างรากฐาน ดังนั้นความสามารถในการควบคุมศาสตราวุธวิญญาณจึงอ่อนแอมาก!”
”แต่ข้าได้ขัดเกลามันแล้ว!” จินอวิ๋นซานกล่าวอย่างโกรธเคือง
”ขัดเกลาแล้ว? แต่การควบคุมศาสตราจะแข็งแกร่งหรืออ่อนแอ มันก็ย่อมส่งผลต่อการควบคุมศาสตราวุธวิญญาณของตัวเจ้าเช่นกัน!”
ทว่าจินอวิ๋นซานไม่เชื่อ เขายังคงตะโกนด้วยใบหน้าแดงก่ำ
อย่างไรก็ตาม จินอวิ๋นซานอยู่แค่ขั้นสร้างรากฐานเท่านั้น และพลังการควบคุมของมันนั้นอ่อนแอกว่าขั้นหลอมแก่นแท้หรือขั้นก่อกำเนิดมาก ดังนั้นแม้ว่าเขาจะขัดเกลาศาสตราวุธวิญญาณนี้แล้ว แต่เมื่ออยู่ต่อหน้าลู่เฉิน เขาก็จำต้องตกอยู่ในสภาพดั่ง ‘ถูกปลดอาวุธ’ เท่านั้น!
ทว่าจินอวิ๋นซานยังคงดิ้นรนอยู่ตรงนั้น พยายามเขย่าทวนยาว แต่หลังจากหอบหายใจไปร้อยครั้ง ผลของยาก็อ่อนแอลงเรื่อย ๆ และในที่สุดจินอวิ๋นซานก็เหงื่อแตกพลั่ก ร่างกายไร้เรี่ยวแรง
เป็นผลให้เขาไม่สามารถแม้แต่จะกุมทวนไว้ได้อีก
เคร้ง!
ทวนตกลงสู่พื้น และทุกคนที่อยู่ตรงนั้นต่างก็ตกใจกลัวจนทยอยหนีไป
สิ่งนี้ทำให้ดวงตาของจินอวิ๋นซานเบิกกว้าง “ข้า… ข้าเป็นอะไรไป!”
ลู่เฉินจึงจ้องไปที่เขาและกล่าวว่า “เม็ดยาไร้เทียมทานทำให้เจ้าแข็งแกร่งขึ้นสิบเท่าในพริบตาได้ แต่หลังจากผ่านไปอย่างน้อยครึ่งชั่วยาม ร่างกายของเจ้าจะไร้เรี่ยวแรง ดังนั้นยาเม็ดนี้จึงเป็นสิ่งที่ดี แต่ก็เป็นพิษร้ายแรงเช่นกัน!”
”เจ้า เจ้ารู้ได้อย่างไร!” จินอวิ๋นซานพลันร้อนใจและคิดจะวิ่งหนี แต่ผลคือร่างกายของเขาไร้เรี่ยวแรง จนทำให้สะดุดล้มทันทีที่ออกเดิน
ทว่าลู่เฉินไม่สนใจอีกฝ่าย แต่มองไปที่หลี่ว์ซือซึ่งหนีออกมาจากตาข่ายทองคำได้แล้ว และกล่าวเพียงว่า “จับตาดูเขาไว้!”
”อืม!” หลี่ว์ซือส่งเสียงตอบรับแล้วกระโดดข้ามไป จากนั้นเขาก็คว้าจินอวิ๋นซานไว้ จับตัวคนผู้นั้นมาอยู่ตรงหน้าลู่เฉินอย่างง่ายดายเหมือนลูกไก่ในกำมือ