ตำนานจอมราชันย์อหังการ - บทที่ 113 ศพสวรรค์หกดาว!
บทที่ 113 ศพสวรรค์หกดาว!
หลี่ว์ซือที่ไม่สามารถเข้าไปได้ จึงทำได้เพียงยืนรออยู่ด้านนอกกลุ่มหมอกนั้น
ส่วนผู้คนที่เฝ้าดูอยู่ต่างก็แปลกใจเช่นกัน พวกเขาฉงนใจว่าจากเสียงตะโกนเมื่อครู่ …แท้จริงแล้วภายในนั้นเกิดอะไรขึ้นกันแน่?
ทางด้านลู่เฉิน เขาได้ไปถึงใต้ต้นไม้ผีนั่นแล้ว และได้เห็นเจี่ยลัวที่ถูกกลุ่มคนขนซากศพล้อมรอบอยู่ ท่ามกลางคนขนซากศพพวกนี้ มีคนหนึ่งจับโซ่สีดำไว้แน่น!
โซ่สีดำนี้พันรอบเจี่ยลัว ทำให้แม้เขาจะดิ้นขันขืนก็ไม่อาจหลุดพ้นได้ ส่วนสาเหตุที่ทำให้เจี่ยลัวร้องอย่างเจ็บปวดก็ไม่ใช่สิ่งอื่นใด มันคือเงาร่างของคนผู้หนึ่งที่ยืนอยู่ท่ามกลางกองซากศพที่อยู่ไกล ๆ นั่นเอง!
เงาผู้นั้นปรากฏอยู่ในหมอกหนา ไม่สามารถมองรูปร่างหน้าตาได้ชัดเจน แต่เพราะเสียงขลุ่ยที่ดังขึ้นมา มันจึงทำให้เจี่ยลัวรู้สึกเจ็บปวดยิ่ง!
เมื่อลู่เฉินเห็นดังนั้นจึงรีบเข้าไปทันที เขาใช้สองมือกดปิดใบหูของเจี่ยลัวไว้ ก่อนจะส่งไอกระแสสีดำผ่านมือเข้าสู่ร่างกายอีกฝ่าย ทำให้เจี่ยลัวได้สติคืนมาในพลัน!
เมื่อลืมตา เจี่ยลัวก็ได้กล่าวด้วยน้ำเสียงระโหยโรยแรงว่า “ผู้อาวุโส!…”
“ไม่เป็นไรแล้ว!” ลู่เฉินเอ่ยปลอบ ซึ่งในฉับพลันนั้น เสียงขลุ่ยก็ได้เปลี่ยนจังหวะ และคล้ายกับว่าคนขนซากศพพวกนั้นจะได้รับผลกระทบจากมัน พวกมันพากันปลดโซ่ที่พันรัดเจี่ยลัวออก และใช้โซ่นั้นโจมตีมาทางลู่เฉินแทน!
ลู่เฉินจึงเปิดใช้งานกลิ่นอายของราชันย์ซากศพ ส่งแรงกดดันไปยังคนขนซากศพวกนั้น ทำให้พวกมันหวาดกลัวจนรีบปลดโซ่และล่าถอยอย่างรวดเร็ว
ภาพที่เกิดขึ้นทำให้คนเป่าขลุ่ยหยุดเป่าไปชั่วครู่ และเมื่อรับรู้ถึงสถานการณ์ที่แปลกไป อีกฝ่ายก็พลันเพิ่มระดับการควบคุมให้มากขึ้น!
ในชั่วพริบตา คนขนซากศพเหล่านั้นพากันชะงักงัน ดวงตาของพวกเขาว่างเปล่าไร้วี่แววของสติ ก่อนที่พวกมันจะพากันพุ่งทะยานเข้ามาหาชายหนุ่มอีกครา!!
ลู่เฉินรู้ดีว่าการทำเช่นนี้ต่อไปไม่ใช่วิธีที่ดีแน่ เพราะแท้จริงแล้วเมื่อคนขนซากศพพวกนี้ถูกควบคุมก็จะไม่รู้สึกตัว ดังนั้นลู่เฉินจึงทำได้เพียงเอาชนะพวกเขา หรือไม่ก็หยุดผู้อยู่เบื้องหลังของเสียงนี้!
ว่าแล้วลู่เฉินก็ไม่รอช้า เขารีบเปลี่ยนพลังภายในกายของตนให้กลายเป็นไอมาร จากนั้นจึงหยิบธนูเงามารออกมา และใช้เคล็ด ‘ศรมารสวรรค์’ อีกครั้ง!
ปราณศรกว่าสิบสายรวมเข้าด้วยกัน จากนั้นก็พุ่งออกไปในชั่วพริบตา
คนที่อยู่เบื้องหลังผู้นั้นคล้ายสัมผัสได้ถึงอันตรายจึงหยุดเป่า ก่อนจะวิ่งหนีหายไปในพลัน ทว่าศรมารสวรรค์หาใช่เพียงปราณศรธรรมดาไม่ …เพราะปราณศรเหล่านี้จะไม่หยุดจนกว่าจะกระทบถูกเป้าหมายของมัน!
ดังนั้นศรนี้จึงติดตามไปไม่ห่าง
เมื่อเป็นเช่นนั้น คนลึกลับผู้นั้นก็ไม่รอช้า จัดแจงโยนขลุ่ยในมือทิ้ง ก่อนที่จะหันไปโจมตีปราณศรพวกนั้นอย่างเต็มกำลัง!
หลังจากปราณศรถูกทำลายหมดสิ้น คนผู้นั้นก็คล้ายจะสงบใจได้ จึงคิดจะกลับไปเป่าขลุ่ย เพื่อควบคุมคนเหล่านั้นต่อ
ทว่ามีหรือที่ลู่เฉินจะยอม? เขาเผยยิ้มเย็นชา ปากก็กล่าวว่า “ข้าจะรอดูว่าเจ้าจะเป่าได้เร็วกว่า หรือว่าศรของข้าจะโจมตีได้เร็วกว่า!”
จากนั้นลู่เฉินก็จับธนูในมือแน่น ก่อนจะปลดปล่อยปราณศรออกไปมากมาย!
ทุก ๆ ชั่วลมหายใจจะมีปราณศรสิบกว่าสายถูกยิงออกมา และเมื่ออีกฝ่ายเผชิญกับการโจมตีอันบ้าคลั่งนี้ คนผู้นั้นก็ไม่มีทางเลือกอื่น ทำได้เพียงถูกบังคับให้ถอยห่างออกไปจากที่แห่งนี้!!!
เมื่อคนลึกลับจากไปแล้ว หลังจากนั้นไม่นาน คนขนซากศพพวกนั้นก็ค่อย ๆ สลายหายไป
เจี่ยลัวที่เห็นดังนั้นจึงถอนหายใจออกมา “ผู้อาวุโส คนผู้นั้นคือใครกัน?”
“หญิงนางหนึ่ง เป็นผู้ฝึกภูตผี และยังใช้เคล็ดวิชาคุมจิตวิญญาณได้บ้าง”
“ผู้ฝึกภูตผี? เคล็ดวิชาคุมจิตวิญญาณ?”
“ใช่ สามารถเดินเหินที่นี่ได้อย่างอิสระ มีเพียงคนสองประเภทเท่านั้น หนึ่งคือซากศพ สองคือผู้ฝึกภูตผี และนางไม่ใช่ซากศพ ดังนั้นนางย่อมเป็นผู้ฝึกภูตผีแน่”
เมื่อฟังถึงตรงนี้ เจี่ยลัวก็พลันแปลกใจ “แล้วเหตุใดนางจึงคิดทำร้ายข้า?!”
ลู่เฉินคิดแล้วจึงเอ่ยว่า “คนขนซากศพพวกนี้น่าจะมีความเกี่ยวข้องกับนาง และแต่ละวันพวกเขาจะนำพาซากศพมาที่นี่ แต่เจ้ากลับดูดซับไอซากศพจากที่แห่งนี้ ดังนั้นนางอาจรู้สึกว่าเจ้ากำลังคิดทำลายที่นี่!”
“ทำลายที่นี่?” เจี่ยลัวเบิกตากว้าง
ลู่เฉินมองไปรอบ ๆ “หรืออาจเป็นเพราะ… ที่นี่มีของที่พวกเขาต้องการ แต่เมื่อเจ้าปรากฏตัวออกมา มันก็ได้ส่งผลร้ายต่อสิ่งที่พวกเขาเฝ้าคอย”
เจี่ยลัวไม่ได้เข้าใจมากนัก ลู่เฉินจึงทำได้เพียงแค่อธิบาย “ดูเหมือนว่าที่นี่ไม่เหมาะกับการอยู่นาน ๆ แล้ว”
“เช่นนั้นพวกเราจะออกไป?”
“ไป? ไม่เลย เมื่อมีคนมาไล่ เหตุใดเราต้องไป?!” จู่ ๆ ลู่เฉินก็มีความคิดหนึ่งขึ้นมา แต่เจี่ยลัวไม่รู้ว่าชายหนุ่มหมายความเช่นไร
ขณะนั้นเอง ลู่เฉินก็เดินมาใต้ต้นไม้ เขาเดินสำรวจมันครู่หนึ่ง ก่อนจะเริ่มสร้างค่ายกลขึ้นมาในบริเวณรอบ ๆ
เจี่ยลัวที่เป็นปรมาจารย์ค่ายกลคนหนึ่งจะไม่รู้ได้เช่นไร? เมื่อเขาเห็นลู่เฉินจัดค่ายกลที่นี่ จึงกล่าวออกมาอย่างแปลกใจ “ผู้อาวุโส ท่านต้องการตั้งค่ายกลที่นี่?”
“อืม ข้าจะตั้งสิ่งที่คล้ายกับค่ายกลรวบรวมพลังปราณ ทว่าสิ่งที่ข้าจะรวบรวมคือไอซากศพ!”
รวบรวมไอซากศพ?
เจี่ยลัวไม่เข้าใจเท่าใดนัก ส่วนหลี่ว์ซือนั้นยังคงรออยู่ด้านนอกอย่างร้อนใจ จนกระทั่งเวลาผ่านไปครึ่งวัน หมอกหนาสีดำที่ปกคลุมอยู่รอบ ๆ ก็ค่อย ๆ จางหายไป
ผู้คนที่อยู่ด้านนอก จึงค่อย ๆ มองเห็นเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นภายในหมอกนี้
พวกเขาจึงได้เห็นซากศพที่กองรวมกันราวกับภูเขา และตรงกลางพื้นที่นั้นก็มีต้นไม้สีดำต้นใหญ่ ที่มีผลไม้สีดำห้อยอยู่หนึ่งลูก
และภายในเขตแดนนี้ ลู่เฉินและเจี่ยลัวก็กำลังก้มหน้าก้มตาทำบางอย่างอยู่ภายในนั้น
หลี่ว์ซือจึงรีบเข้าไปทันที และในขณะที่เตรียมจะเข้าไป ลู่เฉินกลับเอ่ยเตือนขึ้นว่า “ภายในนี้มีแต่ไอซากศพ เจ้าไม่ต้องเข้ามา!”
“แล้วเจ้า… เจ้าไม่เป็นอะไรใช่หรือไม่?” หลี่ว์ซือถามด้วยความเป็นห่วง
ซึ่งลู่เฉินก็ส่ายหัวปฏิเสธ ดังนั้นหลี่ว์ซือจึงพลันถอนหายใจออกมา ทว่าผู้คนที่มองดูอยู่รอบ ๆ เมื่อได้เห็นซากศพมากมายที่นี่ พวกเขาก็พากันตกตะลึง
ไม่เพียงเท่านั้น ผู้คนมากมายยังสัมผัสได้ถึงกลิ่นอายที่แผ่กระจายออกมาทั่วพื้นที่ มันค่อย ๆ ถูกต้นไม้ ณ ใจกลางนั้นดูดซึมเข้าไปอย่างรวดเร็ว!
และทุกคนก็ได้เห็นภาพที่ทำให้ตกตะลึงขึ้นมาอีกครั้ง เพราะบนต้นไม้ผีนั้น จู่ ๆ ก็เกิดผลวิญญาณทมิฬปรากฏออกมานับไม่ถ้วน
“ดูนั่น ผลไม้สีดำ!”
“นี่… นี่มันเยอะมาก!”
เมื่อลู่เฉินเห็นผลไม้พวกนี้ เขาก็ได้แต่พึมพำในใจ “ไม่คิดเลยว่าต้นไม้ผีนี่จะสามารถออกผลวิญญาณทมิฬออกมาได้เยอะแยะขนาดนี้!”
ก่อนหน้านี้ลู่เฉินยังคงสงสัย ดังนั้นจึงไม่คิดที่จะลอง แต่ไหน ๆ ตอนนี้เขาก็จะไปแล้ว จึงคิดจะใช้ไอซากศพรอบ ๆ นี้ให้หมดสิ้นไปเสีย ซึ่งผลพลอยได้ก็คือผลวิญญาณทมิฬที่ปรากฏออกมามากมายพวกนี้!
ผลวิญญาณทมิฬพวกนี้นับว่าอยู่เหนือความคาดหมายของเขานัก!
แต่ทุกคนไม่รู้ และยังคงคิดว่าต้นไม้นี้เดิมทีก็เป็นเช่นนี้ สามารถให้ผลไม้สีดำที่พวกเขาต้องการได้อย่างต่อเนื่อง ดังนั้นจึงพากันตื่นเต้น บางคนก็ตะโกนออกมา “เร็ว เข้าไปเอามันมา!”
จากนั้นหลายคนก็ราวกับกลายเป็นบ้า พากันพุ่งเข้าไปด้านใน ทว่าพวกเขากลับไม่สามารถฝ่าเข้าไปได้!
เมื่อมีบางอย่างขวางกั้น ผนวกกับความต้องการครอบครองผลไม้พวกนี้ บางคนจึงได้เกิดความคิดแปลก ๆ ขึ้นมา
ใครบางคนตะโกนไปหาลู่เฉินว่า “พี่ชายท่านนั้น สามารถขายผลไม้ให้ข้าสักผลได้หรือไม่?”
เมื่อคนอื่นเห็นเช่นนี้ พวกเขาต่างก็ตะโกนขึ้นมาบ้าง และราคาก็ค่อย ๆ สูงขึ้น
ทว่าลู่เฉินกลับส่ายหัวบอกปัดอย่างไม่ไยดี “ไม่ขาย!”
ทุกคนได้ยินแล้วต่างก็ร้อนใจ พากันคิดว่าลู่เฉินคิดจะกลืนกินผลวิญญาณทมิฬนี้ไปทั้งหมด ดังนั้นจึงมีคนเอ่ยถาม “เจ้าคิดจะเก็บไว้กินคนเดียวหรือ?”
“ถ้าไม่ใช่เพราะข้ารวบรวมไอซากศพมาไว้ที่นี่ พวกเจ้าจะมีโอกาสได้เห็นต้นไม้นี้หรือ? จะมีโอกาสได้เห็นผลไม้พวกนี้งั้นหรือ?” ลู่เฉินเอ่ยถามด้วยรอยยิ้ม
ทว่าถึงแม้จะพูดเช่นนี้ แต่ทุกคนก็ไม่คิดยอมรับ พวกเขากลับต้องการให้ลู่เฉินขายผลไม้นี้ให้ ถึงขนาดที่ว่าบางคนกล่าวข่มขู่ว่าหากลู่เฉินไม่ยอมให้ เมื่อออกมาแล้วลู่เฉินอาจจะต้องเจอเรื่องยุ่งยากเป็นแน่!
หลี่ว์ซือซึ่งอยู่ที่นั่นพลันกล่าวด้วยน้ำเสียงเย็นชาว่า “ใครกล้าทำร้ายเขาก็ลองดู!”
คนพวกนี้จึงสงบปากสงบคำลงทันที แต่ก็ยังคงแอบซุบซิบวางแผนกันอยู่
อันที่จริงลู่เฉินไม่ได้สนใจพวกเขาเลย ชายหนุ่มหันไปเด็ดผลไม้เหล่านั้นทีละลูก และให้เจี่ยลัวกลืนกินลงไป
เมื่อทุกคนเห็นว่าลู่เฉินนำผลไม้นี้ให้ซากศพนั่นกิน พวกเขาต่างก่นด่าหาว่าสิ้นเปลือง
ถึงขนาดที่ว่าบางคนเกิดความรู้สึกอิจฉาขึ้นมา
“พ่อหนุ่มผู้นี้ ช่างดีกับซากศพนั่นเกินไปแล้ว!”
“ใช่ ข้าอิจฉายิ่ง!”
ส่วนเจี่ยลัวนั้น เขาก็ได้กลืนกินผลไม้ลงไปด้วยความตื่นเต้น ส่วนลู่เฉินที่คอยช่วยเหลืออยู่ข้าง ๆ ก็ได้ใช้เคล็ดวิชาศพสวรรค์ไปพร้อม ๆ กัน เพื่อดูดซับพลังของผลไม้เหล่านี้เข้าไป
จากนั้นทุกคนก็ได้เห็นภาพที่น่าตกใจอีกครั้ง
เพราะพลังในร่างกายของเจี่ยลัวเกิดการเปลี่ยนแปลง!
เห็นเพียงวงแสงสีดำที่แผ่กระจายออกมา จากหนึ่งวงเป็นสองวง สามวง…
เมื่อวงแสงสีดำปรากฏออกมาถึงหกวงก็หยุดลง ก่อนจะเป็นเจี่ยลัวที่พูดออกมาอย่างตื่นเต้นว่า “ผู้อาวุโส ข้า… ข้ากลายเป็นศพสวรรค์หกดาวแล้ว!”
ศพสวรรค์หกดาว!…
ผู้คนที่ได้ยินเช่นนั้นต่างก็พากันเบิกตากว้าง!