ตำนานจอมราชันย์อหังการ - บทที่ 111 ความชั่วร้ายของตู๋ซานชิง
บทที่ 111 ความชั่วร้ายของตู๋ซานชิง
ผู้นำแห่งโถงพิสุทธิ์ที่อยู่ภายในโลงศพหินมองไปยังหลี่ว์ซือที่กำลังปกป้องลู่เฉิน จากนั้นก็พูดขึ้นว่า “ไม่หรอก!”
ผู้คนโดยรอบต่างไม่รู้ว่าผู้นำแห่งโถงพิสุทธิ์หมายความเช่นไร
แต่ลู่เฉินกลับหันไปยิ้มให้หลี่ว์ซือ “พอ ไม่ต้องสนใจเขาแล้ว พวกเราไปกันเถอะ”
“ไป? ไปที่ใด?” หลี่ว์ซือตกตะลึง
“ข้าได้ของมาอยู่ในมือแล้ว ดังนั้นไปหลอมยากันเถอะ”
หลี่ว์ซือได้ยินแล้วก็พลันตื่นเต้นขึ้นมา “อันใดนะ?”
ทว่าลู่เฉินไม่ได้ตอบอะไร ชายหนุ่มเพียงเดินออกไปก่อนจะชะงักและหันมองไปยังเฮยฟิงที่หวาดกลัวจนตัวสั่น “ข้าว่า… เจ้าควรทำเรื่องชั่วให้มันน้อย ๆ หน่อย มิเช่นนั้น…”
เฮยเฟิงไม่กล้าแม้แต่จะพูดอะไร เขาทำเพียงพยักหน้าแรง ๆ
ส่วนตู๋ซานชิงและจางเชียนก็ไม่ได้แสงท่าทีใด ๆ พวกเขาทำตัวเงียบขรึม และต่างก็หวังให้ร่างของตนเองกลมกลืนไปกับผู้คนโดยรอบ ทว่ามีหรือที่ลู่เฉินจะไม่เห็น? ชายหนุ่มมองไปที่คนทั้งสองและถามว่า “พวกเจ้าสนุกพอหรือยัง?”
คำพูดนี้ราวกับกุญแจไขลานที่ส่งผลให้เจ้านกไขลานทั้งสองตัวนี้สะดุ้งโหยง ทว่าร่างพวกเขากลับแข็งทื่อ ไม่มีความกล้าแม้แต่จะหลบหนีไป
และในขณะนั้นเอง ผู้นำแห่งโถงพิสุทธิ์พลันควบคุมโลงศพหินมาดักอยู่ตรงหน้าคนทั้งสอง
ก่อนจะเป็นตู๋ซานชิงที่ร้อนใจขึ้นมา “ผู้นำแห่งโถงพิสุทธิ์ ท่าน… ท่านจะทำอะไร?”
“เขาได้ช่วยเหลือข้าครั้งใหญ่ ดังนั้นข้าจึงติดหนี้บุญคุณเขา!”
ตู๋ซานชิงได้ยินเช่นนั้นแล้วก็หวาดกลัวจนถึงขีดสุด ส่วนจางเชียนก็ยิ่งตื่นตระหนกกว่าใครเพื่อน “ท่าน… ท่านคงไม่คิดลงมือกับพวกเราใช่หรือไม่?”
“ใช่!”
จู่ ๆ ภายในโลงศพหินก็เกิดไอมารสีม่วงแผ่กระจายออกมา จากนั้นมันก็รวมตัวกลั่นเป็นหมัดโปร่งใส และพุ่งทะยานไปยังคนทั้งสอง!
ปัง! ปัง! ปัง!
สองคนนี้เดิมทีก็ไม่ใช่คู่ต่อสู้ของผู้นำแห่งโถงพิสุทธิ์อยู่แล้ว ดังนั้นพวกเขาจึงถูกทำร้ายจนพิการในทันที!
นอกจากนี้ ผู้นำแห่งโถงพิสุทธิ์ยังใช้ไอมารมาห่อหุ้มทั้งสองไว้ ก่อนจะหันไปพูดกับลู่เฉินว่า “สหายน้อง ถือซะว่าข้ามอบพวกเขาทั้งสองให้เป็นของขวัญในการพบกันครั้งนี้!”
จากนั้นคนทั้งสองก็ถูกโยนลงตรงหน้าลู่เฉิน ร่างของคนทั้งสองตกลงมากระแทกพื้น ทำให้พวกเขาหวาดกลัวจนหน้าซีดลงทันที โดยเฉพาะจางเชียนที่เวลานี้ไร้มือทั้งสองข้าง เขาก้มหัวลงขอร้องลู่เฉินทันที “ได้โปรด… ได้โปรดปล่อยข้าไปเถิด!”
“พวกเจ้าสร้างปัญหาให้ข้าครั้งแล้วครั้งเล่า คิดว่าข้าข่มเหงรังแกง่ายงั้นหรือ?” ลู่เฉินจ้องมองไปยังทั้งสองพลางถามด้วยน้ำเสียงเย็นชา ก่อนที่จางเชียนจะส่ายหน้าปฏิเสธอย่างรุนแรง “ไม่… ไม่ใช่เช่นนั้น!”
“โอ้?” ลู่เฉินมองจางเชียนด้วยแววตาเย็นชา
ทำให้จางเชียนหวาดกลัวจนตัวสั่นสะท้าน ฟันกระทบกันดังกึกกึกไม่หยุด
ขณะนั้นเอง จู่ ๆ ผิวของจางเชียนก็แดงขึ้นมา จากนั้นร่างกายก็ค่อย ๆ ขยายออก
ลู่เฉินที่เห็นดังนั้นจึงตะโกนออกมาทันที “ถอย!”
เขากระโดดถอยออกมาข้างหลัง ในขณะที่หลี่ว์ซือยังไม่ทันได้ตอบสนองใด ๆ ร่างของจางเชียนก็พลันระเบิด ‘ตู้ม’ ทำให้เกิดเปลวไฟลูกใหญ่แผ่กระจายไปโดยรอบ!!
หลี่ว์ซือที่หลบไม่ทันจึงถูกเปลวไฟลุกท่วมในทันที!
ส่วนตู๋ซานชิง ตอนนี้เขาได้หายไปแล้ว
เฮยเฟิงที่อยู่ไม่ไกลนักเบิกตากว้าง อ้าปากค้าง “นี่… นี่มันเกิดอะไรขึ้น!”
ผู้นำแห่งโถงพิสุทธิ์ที่อยู่ภายในโลงศพหินตะโกนออกมาอย่างตกใจ “หลี่ว์ซือ เจ้าไม่เป็นอันใดใช่หรือไม่?”
ขณะนั้น… หลี่ว์ซือก็ได้เดินออกมาจากกองไฟที่ลุกโชนแล้วเอ่ยว่า “กองไฟเช่นนี้ ไม่สามารถทำอะไรร่างกายของข้าได้หรอก!”
ผู้นำแห่งโถงพิสุทธิ์ที่ได้ยินเช่นนั้นก็ถอนหายใจ “ร่างกายของคนจากสำนักไร้สุญญะนั้นช่างแตกต่างจริง ๆ!”
ลู่เฉินนึกชื่นชมความแข็งแกร่งของเคล็ดเบิกกายา แต่หลี่ว์ซือกลับหมุนตัวมองไปยังกองไฟที่ค่อย ๆ มอดดับ พร้อมกับเอ่ยออกมาด้วยความฉงน “เหตุใดเขาถึงเป็นเช่นนี้?”
ราวกับว่าลู่เฉินมองเห็นทุกอย่าง เขาเอ่ยตอบทันทีว่า “ตู๋ซานชิงใส่แมลงพิษเข้าไปภายในร่างกายจางเชียน จากนั้นจึงสั่งการให้แมลงพิษระเบิดตัว ก่อนจะใช้จังหวะนั้นหลบหนีไป!”
“แมลงพิษ?” หลี่ว์ซือคิดไม่ถึงว่าตู๋ซานชิงจะเจ้าเล่ห์แสนกลเช่นนี้
ส่วนผู้นำแห่งโถงพิสุทธิ์ได้ฟังเช่นนั้นก็ยิ่งเกิดความสงสัย “คิดไม่ถึงเลย… ว่าบนโลกใบนี้จะยังมีแมลงพิษประหลาดเช่นนี้อยู่ด้วย!”
“ไปเถอะ” ลู่เฉินไม่อยากมองดูให้มากความ จึงเดินนำหลี่ว์ซือออกจากที่นี่ไป
ทางด้านผู้นำแห่งโถงพิสุทธิ์ เขาก็ได้จากที่แห่งนี้ไปด้วยความสบายใจเช่นกัน
เหลือเพียงเฮยเฟิงที่ยังตัวสั่นด้วยความหวาดกลัว “ช่างน่ากลัวเสียจริง…” เขาไม่เคยคิดฝันว่าตนจะได้พบเจอคนเช่นนี้ คนที่สามารถทำลายโถงพิสุทธิ์ได้ภายในชั่วพริบตา และแม้แต่ผู้นำแห่งโถงพิสุทธิ์ยังยืนเคียงข้างชายหนุ่มผู้นี้!
เมื่อคิดถึงตรงนี้ เฮยเฟิงก็ได้แต่สาบานในใจว่าจะไม่ไปยุ่งเกี่ยวกับลู่เฉินอีกเด็ดขาด
ครั้นเดินออกมาไกลแล้ว หลี่ว์ซือก็พลันถามลู่เฉินถึงสิ่งที่เกิดขึ้นภายในถ้ำ
ลู่เฉินจึงค่อย ๆ อธิบายให้เขาฟัง
…
ภายในป่าของเขตที่หนึ่ง จู่ ๆ ตู๋ซานชิงก็ปรากฏตัวออกมา ใบหน้าของเขาในขณะนี้เป็นสีขาวซีด และทั่วทั้งร่างกายก็เต็มไปด้วยบาดแผลไฟไหม้
เมื่อเขายื่นมือขวาออกมา บนฝ่ามือนั้นก็ได้มีวิญญาณก่อกำเนิดที่ถูกครอบไว้ด้วยม่านปราณสีแดงเพลิงคลุมอยู่
เมื่อมองกลุ่มก้อนวิญญาณก่อกำเนิดนี้อย่างละเอียดจะพบว่าที่แท้อีกฝ่ายก็คือจางเชียนนั่นเอง!
วิญญาณก่อกำเนิดของจางเชียนโวยวายออกมาลั่น “เจ้า… เจ้าทำอันใดกับร่างกายของข้ากันแน่!”
“ข้าใส่แมลงตัวหนึ่งไว้ในร่างเจ้า หลังจากนั้นก็ใช้พลังปราณในกายเจ้าให้สร้างโอกาสหลบหนีขึ้นมา!!” ตู๋ซานชิงอธิบายออกมาอย่างไม่รู้สึกผิด
ส่วนจางเชียนที่ได้ฟัง มีหรือที่เขาจะไม่โมโห? “เจ้า… เจ้าใช้ร่างกายของข้าเป็นเครื่องมือในการหลบหนี?”
“ถ้าไม่ทำเช่นนี้ พวกเราจะหนีออกมาได้หรือ? หากไม่ทำเช่นนี้ เจ้าคิดว่าวิญญาณก่อกำเนิดของเจ้าจะยังรักษาไว้ได้หรือ?” ตู๋ซานชิงอธิบายด้วยน้ำเสียงราวกับอีกฝ่ายติดหนี้บุญคุณ และตัวเองเป็นคนดีผู้เสียสละ
คำพูดเหล่านี้ไม่สามารถทำให้จางเชียนโต้เถียงออกมาได้ เขาเอ่ยอย่างหดหู่ใจว่า “เมื่อไม่มีร่างกาย ข้าก็ย่อมถูกผู้อื่นกำจัดได้ตลอดเวลา!”
“วางใจเถอะ เจ้ายังมีข้า!” ตู๋ซานชิงเอ่ยปลอบ
“เช่นนั้นเจ้าต้องรักษาความปลอดภัยให้ข้า!” จางเชียนทำได้เพียงฝากความหวังไว้กับตู๋ซานชิงเท่านั้น
ซึ่งตู๋ซานชิงก็ได้จ้องมองไปยังจางเชียนครู่หนึ่ง ก่อนจะเอ่ยออกมาว่า “แน่นอน แต่ข้าพอมีวิธีที่จะทำให้เจ้าสามารถมีร่างกายใหม่ได้ และร่างกายใหม่นี้จะทำให้เจ้าสามารถทำลายเจ้าหนูคนนั้นได้ง่าย ๆ!”
“เจ้า… เจ้ามีวิธี?” จางเชียนถามด้วยน้ำเสียงตื่นเต้น
“ข้ามีแมลงชนิดหนึ่ง สามารถใช้เป็นร่างกายให้เจ้าได้ ทำให้เจ้าและแมลงรวมเป็นร่างเดียวกัน แต่เจ้าจงวางใจ เพียงแค่ทำตามที่ข้าบอก เจ้าก็จะสามารถกลายเป็นมนุษย์ได้ ถึงเวลานั้น รูปร่างภายนอกจะไม่มีความแตกต่างกับมนุษย์สักนิด!” ตู๋ซานชิงกล่าวโน้มน้าว
เมื่อจางเชียนได้ฟังว่าตนต้องหลอมรวมกับแมลง เขาก็พลันรู้สึกเป็นกังวลขึ้นมา “จริงหรือ?”
“นี่เป็นวิธีที่รวดเร็ว และเป็นเพียงวิธีเดียวที่จะทำให้พวกเราสามารถเอาชนะเจ้าหนูนั่นได้!”
ซึ่งคำพูดนี้ก็ได้ดึงดูดความสนใจจางเชียน ทำให้เขาครุ่นคิดอย่างหนัก
ตู๋ซานชิงจึงโน้มน้าวต่อ “เจ้าลองคิดดู ใครกันที่ทำให้เจ้าบาดเจ็บจนเป็นเช่นนี้?”
“ไอ้หนูบัดซบนั่น!”
“เช่นนั้นเจ้าไม่อยากแก้แค้นหรือ?”
“อยาก!”
“งั้นตอนนี้ก็มีโอกาสแล้ว เพียงแค่เจ้าต้องคว้ามันไว้!”
เมื่อได้ยินวาจาโน้มน้าวเช่นนี้ มีหรือที่จางเชียนจะไม่ใจอ่อน? เขาหันไปพูดกับตู๋ซานชิงทันทีว่า “เช่นนั้นก็เอาเลย!”
“ดี!” ตู๋ซานชิงพึงพอใจยิ่งนัก เขาเดินนำจางเชียนไปหาสถานที่สงบ และเริ่มทำให้จิตวิญญาณก่อกำเนิดของจางเชียนและแมลงของเขาตัวหนึ่ง …หลอมรวมร่างเข้าด้วยกัน!
…
ลู่เฉินไม่รู้ว่าตู๋ซานชิงกำลังคิดทำอะไร
เมื่อเขาอธิบายเรื่องทั้งหมดให้หลี่ว์ซือฟัง อีกฝ่ายก็พลันแสดงสีหน้าประหลาดใจ
ขณะที่ลู่เฉินอยู่ภายในป่านั้น เขาก็ได้มองหาสถานที่ซึ่งเหมาะสมได้แห่งหนึ่ง จากนั้นจึงจัดค่ายกลบริเวณรอบ ๆ แล้วหันไปพูดกับหลี่ว์ซือว่า “ข้าจะปรุงยาที่นี่ และเจ้าก็จงคอยมองอยู่ข้าง ๆ อย่ารบกวนข้า”
“ที่นี่… ปรุงยาที่นี่?” หลี่ว์ซือแปลกใจที่เห็นลู่เฉินมีท่าทางสบายใจเช่นนี้
“ใช่! ที่นี่ก็พอแล้ว!”
หลี่ว์ซือจึงทำได้เพียงพยักหน้า “ก็ได้ ข้าจะคอยคุ้มกันให้เจ้า!”
อันที่จริงลู่เฉินไม่จำเป็นต้องให้ใครมาคุ้มกัน แต่เมื่อหลี่ว์ซือพูดเช่นนี้ ชายหนุ่มก็ไม่ได้คัดค้านอะไร เพราะเขามัวแต่ยุ่งอยู่กับสิ่งตรงหน้า
ทางด้านหลี่ว์ซือ ขณะนี้เขาก็กำลังมองไปที่ลู่เฉินด้วยความสงสัย และได้แต่พึมพำในใจว่า ‘เขา… เขาปรุงยาเป็นจริงหรือ?’