ตำนานจอมราชันย์อหังการ - บทที่ 109 ยกหินทุบเท้าตัวเอง!
บทที่ 109 ยกหินทุบเท้าตัวเอง!
”งั้นหรือ?” คำพูดของลู่เฉิน ทำให้ทหารม้าทมิฬลังเลเล็กน้อย ก่อนจะตั้งมั่นและตรึงม่านปราณไว้สุดกำลัง!
ทว่าผลลัพธ์กลับทำให้ทุกคนต้องตะลึงจนตาค้าง!!
โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อปราณกระบี่ทั้งห้าของลู่เฉินโจมตีออกไปอย่างต่อเนื่อง ปราณกระบี่สองสามสายแรกทำให้ม่านปราณแตกเป็นเสี่ยง ๆ ส่วนปราณกระบี่สายสุดท้ายก็โดนแขนขวาของคู่ต่อสู้ จนทำให้แขนขวาของอีกฝ่ายแทบจะระเบิดในทันที
จากนั้นทุกคนก็ได้ยินเสียงร้องแหลมสูง “อ๊าก!…”
”นี่…” เฮยเฟิงและตู๋ซานชิงต่างตกใจ ส่วนผู้นำโถงพิสุทธิ์ที่อยู่ในโลงศพพลันพูดอย่างโกรธเกรี้ยวว่า “การเล่นสกปรกเช่นนี้ มันจะมีค่าอันใด?”
”โอ้? เล่นสกปรกงั้นหรือ? เช่นนั้นเจ้าก็เข้ามาสิ ข้าจะให้เจ้าโจมตี ให้เจ้าใช้โอกาสบ้าง!” ลู่เฉินเอ่ยพลางเก็บกระบี่ของเขาและมองไปที่โลงศพหินด้วยรอยยิ้ม
บ้า! ไอ้หนูนี่มันบ้าเกินไปแล้ว!
ทว่าผู้นำโถงพิสุทธิ์ในโลงศพหินก็ใช่ว่าจะถูกหลอกได้โดยง่าย เขาตะคอกกลับว่า “จะจัดการเจ้า นั้นไม่จำเป็นต้องให้ข้าลงมือเองหรอก!”
หลังพูดจบ ผู้นำโถงพิสุทธิ์ก็หันไปสั่งผู้ฝึกตนขั้นหลอมแก่นแท้ที่อยู่รอบ ๆ ตัวว่า “มัวตะลึงอันใด? เข้าไปสิ กำจัดเขาให้ข้า!”
ทุกคนไม่กล้าขัดคำสั่งของผู้นำแห่งโถงพิสุทธิ์ พวกเขาจึงเตรียมพร้อมที่จะลงมือ!
เมื่อเห็นเช่นนี้หลี่ว์ซือก็พลันเคลื่อนไหวอย่างรวดเร็ว
บูม! บูม! บูม!…
คนเหล่านั้นถูกเงากำปั้นโจมตีจนกระเด็นลอยไปทีละคน
และหลังจากที่ลู่เฉินเห็นเช่นนั้นแล้ว เขาก็ถอนหายใจเงียบ ๆ “ไม่เลวเลย!”
คนอื่น ๆ ที่เห็นต่างพากันตกใจกลัวและทยอยซ่อนตัวอยู่ไกล ๆ แม้แต่ทหารม้าทมิฬที่บาดเจ็บสาหัสก็ยังวิ่งไปรักษาอาการบาดเจ็บที่หลังเสา ส่วนผู้นำแห่งโถงพิสุทธิ์ซึ่งอยู่ในโลงศพหินบนหลังคาพลันกล่าวว่า “หลี่ว์ซือ ที่ทำเช่นนี้เจ้าหมายความว่าอย่างไร?”
“ตอนนี้เขาเป็นสหายของข้าแล้ว และหากเจ้าทำร้ายเขา นั่นก็เท่ากับเป็นปฏิปักษ์กับข้าเช่นกัน!!”
“หลี่ว์ซือ เจ้ากับข้าร่วมมือกันมาหลายปี แต่คาดไม่ถึงว่าเจ้าจะเป็นปฏิปักษ์กับโถงพิสุทธิ์ของข้า เพียงเพราะคนนอกคนหนึ่ง?!”
“เรื่องของเจ้ากับข้ามันคนละเรื่อง ส่วนคนเหล่านี้ก็ยิ่งไม่มีส่วนเกี่ยวข้องอันใดกับข้าเข้าไปใหญ่!” คำพูดของหลี่ว์ซือทำให้ผู้นำแห่งโถงพิสุทธิ์แทบกระอักเลือด
ลู่เฉินที่ฟังอยู่รู้สึกทึ่งกับความสามารถในการ ‘โต้แย้ง’ ของหลี่ว์ซือผู้นี้จริง ๆ
ส่วนผู้คนของโถงพิสุทธิ์ พวกเขาต่างก็แอบก่นด่าอีกฝ่ายอยู่ในใจ
ตู๋ซานชิงและจางเชียนถอยไปทีละก้าว คิดว่าจะหนีไปก่อนแล้วค่อยว่ากัน แต่ลู่เฉินกลับชิงพูดเสียก่อนว่า “ข้ามีป้ายสัญลักษณ์วิญญาณสวรรค์อยู่ในมือ!”
หลังจากเอ่ยจบ ลู่เฉินก็หยิบแผ่นป้ายออกมา
และเมื่อป้ายนี้ปรากฏขึ้น ทุกคนก็ต้องตกตะลึงไป
เพราะป้ายสัญลักษณ์วิญญาณสวรรค์นี้มีเพียงกองกำลังหลักต่าง ๆ เท่านั้นที่สามารถมีได้ ซึ่งทุกกองกำลังก็มีไม่เกินหนึ่งชิ้น ยิ่งไปกว่านั้น… มันถูกควบคุมโดยผู้นำของแต่ละกองกำลัง!
ดังนั้นเมื่อลู่เฉินหยิบมันออกมา พวกเขาก็พลันเบิกตากว้าง และแม้แต่ผู้นำแห่งโถงพิสุทธิ์ที่อยู่ในโลงศพหินก็ยังประหลาดใจ “เจ้าเป็นใคร? เหตุใดจึงมีป้ายสัญลักษณ์วิญญาณสวรรค์?”
”ป้ายสัญลักษณ์วิญญาณสวรรค์นี้ แท้จริงแล้วมันเป็นของผู้นำพันธมิตรแมลงสวรรค์ และเช่นเดียวกับเจ้า เขาเองก็อยู่ภายใต้การควบคุมของตำหนักวิญญาณสวรรค์ แต่ข้าได้นำเลือดของเขาออกจากป้ายแล้ว ดังนั้นตอนนี้เขาจึงเป็นอิสระ” ลู่เฉินตอบ
บรรดาผู้คนได้ยินเช่นนั้นก็ถึงกับตกตะลึง
เนื่องจากเหตุผลที่ทุกคนไม่กล้าที่จะหลบหนีหรือทรยศต่อโถงพิสุทธิ์ก็เพราะเลือดได้หยดลงไปในป้ายสัญลักษณ์วิญญาณสวรรค์ และถูกควบคุมโดยตำหนักวิญญาณสวรรค์ ซึ่งหากสามารถเอาเลือดออกมาได้ ลู่เฉินก็จะกลายเป็นผู้ช่วยชีวิตของทุกคน!!
ทว่าผู้นำแห่งโถงพิสุทธิ์ไม่เชื่อ เขาตะคอกใส่ทันทีว่า “หยุดหลอกข้าได้แล้ว!”
“เชื่อหรือไม่ก็แล้วแต่เจ้า เพราะถึงอย่างไรเสียตอนนี้เจ้าก็ไม่กล้าลงมือ ไม่เช่นนั้นเรื่องการฝึกวิถีมารของเจ้าคงจะความแตก!” ลู่เฉินจี้ใจดำอีกฝ่าย
ผู้นำแห่งโถงพิสุทธิ์กัดฟันด้วยความโกรธ “ไอ้หนู เจ้าคิดว่าข้าทำอะไรเจ้าไม่ได้หรือ?”
”มีวิธีใดก็อย่ามัวอมพะนำ? จัดมาเลย!!”
ผู้นำแห่งโถงพิสุทธิ์รู้ดีว่าหากลงมือต่อหน้าสาธารณชน ทุกคนก็จะรู้เรื่องที่ตนฝึนวิถีมาร ดังนั้นเขาจึงคิดอยู่ครู่หนึ่ง ก่อนจะเอ่ยว่า “ดูให้ดีล่ะ!!”
ครู่ต่อมาสายลมกระโชกแรงก็พัดโหมเข้ามา และกวาดเอาตัวลู่เฉินออกไป
ทุกคนพลันมองหน้ากันด้วยความตกใจ
“หายไปไหนแล้ว?”
หลี่ว์ซือตกใจยิ่งนัก เขารีบค้นหาร่องรอยของลู่เฉิน แต่เฮยเฟิงกลับพูดอย่างตื่นเต้นว่า “เขาตายแล้ว เขาตายแล้วแน่นอน!”
ตู๋ซานชิงถึงกับงงงวย “เกิดอะไรขึ้นกันแน่?”
”ลมนี้เป็นผลจากค่ายกลของโถงพิสุทธิ์ และเมื่อครู่ผู้นำแห่งโถงพิสุทธิ์คงเปิดใช้งานค่ายกลนี้ ใช้ลมกระโชกพัดเขาออกไป เพื่อจะได้ไปจัดการเป็นการส่วนตัว” เฮยเฟิงกล่าวอย่างภาคภูมิใจ
เมื่อหลี่ว์ซือได้ยินเช่นนี้ เขาก็มาอยู่ตรงหน้าเฮยเฟิงทันทีและคว้าตัวอีกฝ่ายไว้ “บอกข้ามา ลมนี้จะไปถึงไหน!”
”เขตหวงห้ามของโถงพิสุทธิ์ แต่มีเพียงผู้นำของโถงพิสุทธิ์เท่านั้นที่รู้วิธีไปที่นั่น คนอื่นไม่สามารถผ่านค่ายกลเข้าไปได้!” เฮยเฟิงกล่าวละล่ำละลักด้วยความตกใจ
ทว่าหลี่ว์ซือไม่รอช้าอีกต่อไป เขาคว้าตัวเฮยเฟิงไว้ ก่อนจะสั่งให้อีกฝ่ายนำทางไป
ส่วนเฮยเฟิง เขาก็ได้แต่แอบตำหนิตัวเองที่พูดมากเกินไป ตอนนี้มาเสียใจทีหลังคงไม่ทันแล้ว ดังนั้นเขาจึงได้แต่นำทางไปอย่างเชื่อฟัง
…ในขณะที่ทางด้านตู๋ซานชิงและจางเชียนที่อยากรู้อยากเห็น พวกเขาทั้งคู่ก็ได้ติดตามไปด้วย โดยมีคนของโถงพิสุทธิ์ที่อยากรู้ผลลัพธ์พากันติดตามไปด้วยเป็นคณะ
…
ภายในถ้ำอันมืดมิดมีโลงศพตั้งตระหง่านอยู่ตรงนั้น และมันก็กำลังส่องแสงสีม่วงสลัวออกมา ก่อนจะเป็นผู้นำแห่งโถงพิสุทธิ์ที่กล่าวอย่างภาคภูมิใจอยู่ข้างในว่า “เป็นอย่างไร? แม้แต่ในความฝันก็คิดไม่ถึงสินะว่าข้าจะลงมือ!”
ทว่าลู่เฉินไม่เพียงแต่ไม่กลัวเท่านั้น แต่เขายังมองไปรอบ ๆ และพูดด้วยรอยยิ้ม “ที่นี่มีค่ายกลอยู่ไม่น้อยเลย!”
”แน่นอน โถงพิสุทธิ์ของเราครั้งหนึ่งเคยเชิญปรมาจารย์ค่ายกลมามากมาย และปรมาจารย์เหล่านั้นก็ได้ทิ้งค่ายกลไว้ที่นี่ ซึ่งตัวข้าก็บังเอิญเชี่ยวชาญค่ายกลเหล่านี้ ดังนั้นข้าจึงสามารถควบคุมพื้นที่บริเวณนี้ได้ทั้งหมด! ” ผู้นำแห่งโถงพิสุทธิ์ที่อยู่ในโลงศพหินเอ่ยพลางหัวเราะ
เมื่อได้ยินว่าเกิดอันใดขึ้น ลู่เฉินก็พยักหน้า “เป็นค่ายกลที่ไม่เลวจริง ๆ”
”แน่นอน ล้วนเป็นค่ายกลขั้นสวรรค์ระดับเก้าดาว!”
”แต่น่าเสียดาย”
”น่าเสียดายอันใด?” ผู้นำแห่งโถงพิสุทธิ์ไม่เข้าใจ ในขณะที่ลู่เฉินพลันเผยยิ้มแปลก ๆ ออกมา “น่าเสียดายที่เจ้ารู้จักค่ายกลจริง ๆ เพียงอันเดียวเท่านั้น…!”
”หมายความว่าอย่างไร?”
”หมายความว่าข้ากำลังจะกลายเป็นนายคนใหม่ของค่ายกลเหล่านี้!” หลังพูดจบ ลู่เฉินก็ก้าวถอยหลังแล้วพุ่งไปด้านข้างก่อนจะหายวับไป
ภาพตรงหน้าทำให้ผู้นำแห่งโถงพิสุทธิ์ที่อยู่ในโลงศพหินถึงกับตกตะลึง และเริ่มตะโกนว่า “ไอ้หนู ไสหัวออกมาซะดี ๆ!”
“ไม่ใช่ว่าเจ้าก็รู้วิธีควบคุมค่ายกลรอบตัวเจ้าไม่ใช่หรือ?” ลู่เฉินหยอกเย้าท่ามกลางความมืด
“ไร้สาระ ใช่แล้ว เพียงแต่ข้าแค่ยังไม่อยากใช้มันเท่านั้น!”
”งั้นก็ลองใช้ดูสิ” คำพูดของลู่เฉินทำให้ผู้นำแห่งโถงพิสุทธิ์อ้าปากค้าง ก่อนจะกล่าวออกมาว่า “เอาล่ะ เช่นนั้นข้าจะให้เจ้าได้รู้จักพลังที่แท้จริงของข้า!”
ทว่าเมื่อลงมือแล้ว ผู้นำแห่งโถงพิสุทธิ์กลับพบว่าค่ายกลโดยรอบดูเหมือนจะสูญเสียการควบคุมไปแล้ว! และไม่ว่าเขาจะทำอย่างไรก็ไม่อาจกระตุ้นให้ค่ายกลโดยรอบนี้ทำงานได้เลย!
สิ่งนี้ทำให้ผู้นำแห่งโถงพิสุทธิ์ประหลาดใจขึ้นมา “นี่… นี่มันเกิดเรื่องบัดซบอะไรขึ้น?”
”อยากรู้หรือ?”
”ไอ้เด็กบัดซบ!! บอกข้ามาว่าเจ้าทำอันใดลงไป!” ผู้นำแห่งโถงพิสุทธิ์รู้สึกว่าสิ่งต่าง ๆ นั้นไม่ปกติเสียแล้ว
”อย่างที่ข้าบอกก่อนหน้านี้ ตอนนี้นายแห่งค่ายกลของที่นี่… ก็คือข้า!!”
”เจ้าหมายความว่าอย่างไร?”
“หมายความว่าข้าสามารถทำลายการควบคุมของเจ้า และแย่งชิงสิทธิ์ควบคุมของมันมา!”
”เป็นไปไม่ได้!” ผู้นำแห่งโถงพิสุทธิ์ไม่เชื่อว่าลู่เฉินที่อยู่ในขั้นสร้างรากฐานจะสามารถทำเช่นนั้นได้
และเมื่อเห็นว่าอีกฝ่ายไม่เชื่อ ลู่เฉินจึงไม่มีทางเลือกอื่นนอกจากพูดว่า “เช่นนั้นก็จงลืมตาเสียให้กว้าง!”
ครู่ต่อมา ก้อนหินขนาดใหญ่จำนวนนับไม่ถ้วนก็ลอยออกมาจากค่ายกล และกระแทกเข้ากับโลงศพหินทีละก้อน ทำให้ผู้นำแห่งโถงพิสุทธิ์ที่อยู่ในโลงศพหินหน้าเปลี่ยนสีไปในพลัน
”เจ้า!!”