ตำนานจอมราชันย์อหังการ - บทที่ 100 ใครกล้าแตะต้องเขา!
บทที่ 100 ใครกล้าแตะต้องเขา!
บนภูเขาสูงทางตอนเหนือของเขตที่หนึ่งในยามนี้
เจี่ยลัวถูกล้อมรอบด้วยกลุ่มคน แต่เนื่องจากเจี่ยลัวไม่สามารถพูดภาษามนุษย์ได้ คนเหล่านี้จึงคิดว่าเจี่ยลัวไม่พูด ทำให้พวกเขาตะโกนด้วยความโกรธแค้น
“ส่งผลไม้มา!”
คนเหล่านั้นต่างโห่ร้องไปต่าง ๆ นานา
ส่วนเจี่ยลัว ขณะนี้เจ้าตัวรู้สึกว้าวุ่นใจยิ่งนัก และไม่รู้ว่าจะทำอย่างไรต่อดี
ทันใดนั้นเอง เฮยเฟิงก็เดินออกมาจากฝูงชน
ผู้ชายคนนี้ถือขวานและส่งยิ้มให้เจี่ยลัว “อันใด? เจ้าไม่ได้อยู่กับเจ้าเด็กนั่นหรือ?”
ผู้คนสงสัยว่าเหตุใดเฮยเฟิงจึงรู้จักชายผู้นี้
แต่เจี่ยลัวคนนี้ไม่พูด ดังนั้นเฮยเฟิงจึงตะโกนบอกคนรอบข้างว่า “ชายคนนี้ คุณชายเฮยผู้นี้ได้จับจองแล้ว ส่วนพวกเจ้าจะไปไหนก็ไป”
ที่นี่มีกลุ่มกองกำลังอื่นอยู่ไม่น้อย รวมทั้งผู้ที่อาจหาญบางคนที่ตะโกนขึ้นว่า “คุณชายเฮย? คิดว่าพวกเรากลัวโถงพิสุทธิ์ของท่านงั้นหรือ?!”
“ใช่ เก็บมาดโง่ ๆ ที่มีแต่กล้ามของเจ้าไปซะ!”
คนเหล่านี้ล้วนส่งเสียงดัง
เฮยเฟิงหัวเราะอย่างเย็นชา “อะไรนะ? ไม่ไปงั้นหรือ?”
”ใช่!” คนเหล่านี้ตะโกนทีละคน ส่วนเฮยเฟิงก็ปรบมือเบา ๆ เรียกให้คนของโถงพิสุทธิ์ปรากฏตัวขึ้นรอบด้าน
ทุกคนพลันหน้าเปลี่ยนสีไปยกใหญ่
ขณะที่เฮยเฟิงหัวเราะลั่น “ไม่จำกันเลยหรือว่าเขตที่หนึ่งเป็นของใคร!”
ทุกคนต่างมีสีหน้าเคร่งขรึม เพราะถึงอย่างไรเสียผู้คนจากกองกำลังอื่นในเขตที่หนึ่งก็อ่อนแอมาก ดังนั้นพวกเขาจึงมองหน้ากันด้วยความตกใจ และทำได้เพียงค่อย ๆ ถอยไปด้านข้าง แต่พวกเขาไม่อยากไปไกลนัก ดูคล้ายว่ากำลังรอโอกาส
เฮยเฟิงพอใจมากเมื่อเห็นดังนั้น ก่อนที่เขาจะเดินไปที่อยู่ตรงหน้าเจี่ยลัว เว้นระยะห่างไปสามก้าว และพูดด้วยรอยยิ้มเหี้ยมเกรียมว่า “ส่งผลไม้มา แล้วบอกข้าว่าเด็กนั่นซ่อนตัวอยู่ที่ไหน ข้าจะปล่อยเจ้าไป!”
เจี่ยลัวส่งเสียงอื้ออ้า แต่เฮยเฟิงฟังไม่ออก โกรธจัดจนหนวดชี้ตั้ง “เจ้าคงไม่คิดว่าการทำเป็นพูดไม่รู้เรื่องเช่นนี้ จะทำให้ข้าไม่กล้าโจมตีเจ้าใช่หรือไม่?”
ในยามนั้นเอง พลังภายในเจี่ยลัวพลันระเบิดออก มันปั่นป่วนไปหมด ทำให้เขาไม่กล้าขยับซี้ซั้ว และได้แต่ร้องอื้ออ้าออกมา
“เจ้าลองทำเสียงประหลาด ๆ นั่นอีกครั้งดูซิ ข้าจะฆ่าเจ้าแน่ ไอ้บัดซบกวนประสาท!” เฮยเฟิงพุ่งออกไป
ทว่าเจี่ยลัวก็ยังคงร้องอื้ออ้า
เฮยเฟิงรู้สึกหงุดหงิดทันที เขาตะโกนบอกคนรอบข้างว่า “มัดมันให้ข้าที”
ครู่ต่อมา บางคนก็หยิบสมบัติวิญญาณที่เป็นเชือกออกมา ก่อนจะโยนมันออกไปให้พันรอบคอ แขน รวมทั้งลำตัวของเจี่ยลัว
จากนั้นเฮยเฟิงก็พูดอย่างภาคภูมิใจว่า “เอาสิ พูดต่อเลย!”
ใบหน้าของเจี่ยลัวพลันกลายเป็นเคร่งขรึม ทว่าปากก็ยังคงร้องอู้อ้าต่อไป
ครานี้เฮยเฟิงหยิบขวานขึ้นและชี้ไปที่อีกฝ่ายพลางเอ่ยว่า “เชื่อหรือไม่ว่าข้าจะสับเจ้าในขวานเดียว?”
ทุกคนคิดว่าเจี่ยลัวจะตกใจกลัว แต่ผู้ใดจะรู้ว่าเจี่ยลัวยังคงอู้อ้าต่อไป
และนั่นทำให้คนจำนวนไม่น้อยชื่นชมความกล้าหาญของเจี่ยลัวยิ่งนัก ส่วนเฮยเฟิงก็คล้ายถูกกระตุ้นโทสะ เขาจึงพลันง้างมือขึ้น เตรียมสับฟันลงไปยังเป้าหมาย!
ทว่าตู๋ซานชิงกลับปรากฏตัว ทั้งยังส่งยิ้มพลางเอ่ยว่า “อย่ารีบร้อนไปเลย”
เมื่อเฮยเฟิงเห็นคนแปลกหน้าอย่างตู๋ซานชิงและจางเชียน เจ้าตัวก็ถลึงตาใส่และพูดว่า “พวกเจ้าเป็นพวกเดียวกัน?”
”ไม่ เขาเองก็เป็นศัตรูของพวกเราเช่นกัน!” ตู๋ซานชิงอธิบายทันที เพราะกลัวว่าจะไปล่วงเกินโถงพิสุทธิ์เข้าให้
“ศัตรู? ถ้าเช่นนั้นเหตุใดจึงห้ามฆ่าเขา?” เฮยเฟิงงสงสัย
“ถ้าเจ้าฆ่าเขา จะล่อเจ้าหนูนั่นออกมาได้อย่างไร?” ตู๋ซานชิงถามกลับ ส่วนเฮยเฟิงที่ได้ยินคำอธิบายก็ถามต่อด้วยความสงสัย “อันใด? เจ้าก็มีความแค้นกับเจ้านั่นงั้นหรือ?”
”ใช่ เจ้าหนูนั่นหยิ่งพยองยิ่งนัก มันไม่แม้แต่จะเห็นผู้ใดในสายตา!” ตู๋ซานชิงตอบรับ
จากนั้นเฮยเฟิงถึงได้เก็บขวานของเขาและชี้ไปที่เจี่ยลัว “เจ้าหมอนี่น่าเบื่อนัก มันไม่แม้แต่จะตอบคำถามใด ๆ”
”เช่นนั้นข้ามีวิธี” หลังจากที่ตู๋ซานชิงพูดจบ เขาก็ปล่อยแมลงเหล่านั้นออกมา
เฮยเฟิงที่เห็นพลันถอยหลังไปสองสามก้าว ก่อนจะถามว่า “นี่คืออันใด?”
”แมลงเหล่านี้สามารถทำให้เขาพูดความจริงได้”
หลังจากพูดจบ แมลงพวกนั้นก็โผบินเข้าไปเกาะไหล่ของเจี่ยลัว จากนั้นก็แทรกเข้าไปในร่างกาย แต่ตู๋ซานชิงกลับต้องขมวดคิ้วทันที “เขาไม่ใช่มนุษย์!”
“ไม่ใช่มนุษย์หรือ?” เฮยเฟิงไม่เข้าใจ จางเชียนเองก็งงงวยเช่นกัน “นี่มันเรื่องอันใด?”
“เขา เขาเป็นซากศพ!”
“อันใดนะ?” ทุกคนตกตะลึง แต่เฮยเฟิงยังคงไม่เชื่อ “ซากศพควรจะตัวแข็งทื่อ และยังต้องมีหนังเหี่ยวแห้ง แต่เห็นได้ชัดเลยว่าเขาเป็นมนุษย์!”
เมื่อเห็นว่าอีกฝ่ายไม่เชื่อ ตู๋ซานชิงจึงพูดเสริมว่า “เช่นนั้นเจ้าก็ดูให้ดีล่ะ!”
หลังจากที่ตู๋ซานชิงเริ่มควบคุมแมลง เจี่ยลัวก็พลันรู้สึกทรมานในร่างยิ่งนัก ก่อนจะหลุดร้องคำรามอย่างเหลือทนจนเชือกกระเด็นปลิวหายไป จากนั้นเจี่ยลัวก็ลุกขึ้นยืน
ไม่เพียงแค่นั้น ร่างกายก็ยังเริ่มเหี่ยวเฉา รวมทั้งมีขนสีเขียวงอกออกมาทั่วร่าง
ทุกคนที่เห็นต่างตะลึง
“นี่… นี่มันซากศพจริง ๆ ด้วย!”
เฮยเฟิงพูดด้วยความโกรธ “ไม่ว่าเขาจะเป็นตัวอะไร ถ้าหากมายั่วโทสะ มันผู้นั้นก็ต้องยอมสยบอยู่ใต้ฝ่าเท้าข้า!”
จากนั้นเฮยเฟิงก็ให้มือธนูออกมา สั่งให้อีกฝ่ายชโลมพิษทั่วลูกศร ก่อนปิดท้ายด้วยการบอกให้ยิงศรนี้ไปทางเจี่ยลัว!
พลังที่รุนแรงในร่างกายของเจี่ยลัวในยามนี้ทำให้เขารู้สึกทุกข์ทรมานยิ่งนัก และเมื่อผนวกกับสิ่งรบกวนภายนอกนี้อีก มันก็ทำให้เจี่ยลัวยากที่จะสะกดข่มพลังภายในที่ปั่นป่วนอีกต่อไป!
ด้วยเหตุนี้ ศรนั้นจึงไม่แม้แต่จะเจาะเข้าไปในร่างกายของเจี่ยลัวได้เลย!
ซึ่งเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นมันก็ทำให้ทุกคนตกตะลึงขึ้นมาอีกครั้ง!!
ตู๋ซานชิงแค่นเสียงหึ ปากก็กล่าวยั่วโทสะ “โดนแมลงมีพิษของข้าเข้าไปแล้ว เจ้ายังกล้าเหิมเกริมอีกหรือ?”
ตู๋ซานชิงหยิบกระดิ่งออกมาแกว่งไปมา ทำให้แมลงมีพิษในตัวของเจี่ยลัวลงมือรุนแรงขึ้น จนส่งผลถึงเจี่ยลัวที่ทุกข์ทรมานเป็นอย่างมาก ถึงขนาดที่ว่าเขาส่งเสียงดังอื้ออ้าออกมา รวมไปถึงกวัดแกว่งใช้ฝ่ามือโจมตีไปทั่วปัดป่ายซ้ายขวา
บูม บูม บูม!
หลังจากที่ก้อนหินบางก้อนถูกกระแทก พวกมันก็แตกเป็นเสี่ยง ๆ ในพริบตา
เมื่อทุกคนเห็นเช่นนั้น พวกเขาก็ทยอยกันถอยหนีออกม่า ส่วนตู๋ซานชิงก็เร่งให้แมลงอาละวาดหนักขึ้น
ในที่สุดเจี่ยลัวก็ทนพิษไม่ไหวจนล้มลง และเมื่อเห็นโอกาสนี้ มีหรือที่เฮยเฟิงจะพลาด? ชายร่างใหญ่พลันตะโกนสั่งทุกคนว่า “เร็วเข้า ตัดหัวมัน!”
ผู้กล้าหาญบางคนหยิบกระบี่ขึ้นมา ก่อนจะพุ่งเข้าไปหาซากศพร่างนั้น
แต่ในยามนี้เอง พลันมีเสียงตะโกนว่า “ใครกล้าทำร้ายเขา!”
เสียงนี้ดึงดูดความสนใจยิ่งนัก ทุกผู้โดยรอบจึงพากันหันมองไปทางต้นเสียง ก่อนที่พวกเขาจะได้เห็นเข้ากับ…. ลู่เฉินที่ทะยานตัวเข้ามาใกล้!
เห็นเพียงว่าลู่เฉินใช้เคล็ดวิชาหมื่นลี้อย่างต่อเนื่อง จนทำให้เขาเหน็ดเหนื่อยไม่น้อย ทว่าชายหนุ่มก็ได้ใช้เคล็ดวิชาวิญญาณหมื่นวิญญาณดูดซับปราณโดยรอบควบคู่ไปด้วย เขาจึงสามารถชดเชยสิ่งที่เสียไปได้ในระดับหนึ่ง
ผู้คนโดยรอบต่างได้รู้ถึงเรื่องที่เคยเกิดขึ้นระหว่างลู่เฉินและเฮยเฟิง พวกเขาจึงถอยเปิดทางให้ ส่วนเฮยเฟิง เมื่อเห็นอีกฝ่ายก็พลันถลึงตาจ้องมองชายหนุ่มและพูดว่า “ในที่สุดก็ยอมโผล่หัวออกมาเสียที!”
ขณะที่ตู๋ซานชิงเอ่ยเย้ยหยันว่า “ไอ้หนู เจ้ากล้ามาที่นี่คนเดียวหรือ?”
จางเชียนเองก็เอ่ยยั่วยุ “ไอ้หนู ถ้ามีความสามารถก็อย่าคิดหนีอีก!”
ทว่าลู่เฉินไม่เพียงแต่ไม่กลัว เขายังพูดอย่างเย็นชากับคนเหล่านี้ว่า “ถ้าเจ้าไม่หนีเสียตั้งแต่ตอนนี้ เห็นทีคงลำบากแล้ว!”
ตู๋ซานชิงรู้กลอุบายของลู่เฉินเป็นอย่างดี ดังนั้นเขาจึงรีบพาจางเชียนบินขึ้นไปกลางอากาศ โดยยังคงเยาะเย้ยว่า “อยู่บนพื้นดิน เจ้าอาจมีพลังมาก แต่พวกเราอยู่กลางอากาศ เจ้าย่อมทำร้ายเราไม่ได้!”
เมื่อเห็นพวกตู๋ซานชิงหนีไปกลางอากาศ เฮยเฟิงก็สาปแช่งอย่างลับ ๆ ในใจ ก่อนจะรีบตะโกนบอกคนของโถงพิสุทธิ์ที่อยู่รอบข้างว่า “เขาอยู่ตัวคนเดียว เรามาเข้าไปพร้อมกันเถอะ!”
สิ้นเสียง คนของโถงพิสุทธิ์เข้าล้อมลู่เฉินทันที แต่พวกเขากลับลังเลไม่กล้าเข้าใกล้ เพราะกลัวว่าลู่เฉินจะโจมตีมาทางพวกตนแทน
ซึ่งลู่เฉินก็ได้มองดูพวกเขาอย่างเย็นชา ปากก็กล่าวว่า “พวกเจ้า… พวกเจ้าอยากตายจริง ๆ หรือ?”
เฮยเฟิงที่ได้ฟังพลันหัวเราะเยาะ “ไอ้หนู คนเหล่านี้ล้วนเป็นยอดฝีมือขั้นสร้างรากฐานแห่งโถงพิสุทธิ์ของเรา และยังมีนับร้อยคน เจ้าคนเดียวคิดว่าตัวเองมีพลังขนาดนั้นเลยหรือ?”
”อย่าพูดว่าคนเป็นร้อยเลย ต่อให้เป็นพัน ข้าก็สามารถกำจัดพวกมันได้ทั้งหมด!” ดวงตาของลู่เฉินฉายแววเย็นชา
แต่ในสายตาของทุกคน ชายหนุ่มผู้นี้ค่อนข้างโอ้อวดมากเกินไปหน่อย!
แม้แต่ตู๋ซานชิงก็ทนดูต่อไปไม่ได้ และหัวเราะเยาะว่า “ไอ้หนู ต่อให้เจ้าร้ายกาจเพียงใด แต่หากคนพวกนี้ลงมือพร้อมกัน เจ้าก็อย่าหวังเลยว่าจะรอดไปได้!”
จางเชียนเองก็ไม่ลืมที่หัวเราะอย่างเย็นชาร่วมผสมโรงด้วย “เจ้าหนู อย่าได้หยิ่งผยองนักเลย!”