ดี-เจเนซิส : สามปีหลังจากดันเจียนปรากฏขึ้น - ตอนที่ 6 เล่ม 1 : ดังนั้น พวกเราจึงลาออก(6)
- Home
- ดี-เจเนซิส : สามปีหลังจากดันเจียนปรากฏขึ้น
- ตอนที่ 6 เล่ม 1 : ดังนั้น พวกเราจึงลาออก(6)
30 กันยายน 2018 (วันอาทิตย์)
วันอาทิตย์ตอนเช้า ฝนเย็นๆตกลงมาราวกับร้องไห้ให้กับเงินที่เหลือในกระเป๋าสตางค์ของผม พอกางร่มเพื่อที่จะออกจากสถานีอิจิกายะ ก็มีใครบางคนสะกิดผมจากด้านหลัง
“เคย์!”
มิโยชิยืนยิ้มอยู่
“เธอมาทำอะไรที่นี่” ผมถาม
“ก็นายจะมาเข้าคอร์สฝึกวันนี้ ฉันเลยตัดสินใจมาอบรมอีกรอบนึง”
“จะเรียนอีกรอบทำไม”
“ก็ตอนนี้ฉันเป็นตัวเเทนของนายเเล้ว อย่างน้อยฉันก็ต้องตอบเเทนเรื่องเห็ดทรัมเป็ต ชานเทอเรลล์เเล้วก็จิโรลล์บ้างสิ”
“สนใจเเต่เห็ดรึไง ก็ดี เธอควรอยู่กับชั้นเพราะชั้นน่ะเป็นคน ตลก”
“หวาย มุกคนเเก่ เดี๋ยวๆ ห้ามตีนะ ไม่เห็นต้องทำร้ายร่างกายกันเลย เอาเป็นว่าฉันจะพยายามให้ดีที่สุดเพื่อตอบเเทน ปลาตาเขียวนั่นด้วยละกัน มันบางแล้วก็อร่อยมากเลยเนอะ ทำไมเชฟอาหารฝรั่งเศสถึงทำอาหารทอดได้เก่งขนาดนี้นะ”
“พูดไปก็จริง ทำไมกันนะ”
ในระหว่างที่คุยกันเรื่องไร้สาระ พวกเราข้ามสะพานอิจิกายะ เลี้ยวซ้าย เเละเห็นสำนักงานใหญ่JDAอยู่ไกลๆ
มิโยชิเเหงนมองไปที่ตึกผ่านร่มโปร่งใสพร้อมกับเอียงคอสงสัย “ไม่ว่าจะเห็นกี่ครั้ง ตึกนี้ก็ยังดูแปลกๆ”
เพื่อทำงานร่วมกับกระทรวงกลาโหมที่ตั้งอยู่ที่อิจิกายะ JDAได้ซื้อตึกสุมิโมโต้-อิจิกายะเพื่อใช้เป็นสำนักงานใหญ่ เเม้จะผ่านการปรับปรุงซ่อมแซมมาหลายครั้งเเล้ว ความแปลก – อะแฮ่ม, ความโดดเด่น – ของตึกก็ยังคงอยู่
จากสถานีอิจิกายะ พวกเราเดินมาตามถนนยาสุคุนิ มองขึ้นไปยังตัวที่ตึกที่มีขนาดใหญ่ที่เหมือนเป็นงานออกเเบบชุ่ยๆของวิศวกรหุ่นยนต์ มันดูเหมือนห้องควบคุมหุ่นยนต์ที่สามารถแปลงร่างเป็นเรือได้อะไรทำนองนั้น
“จะว่าไปมิโดริตอบกลับมาเเล้วนะ” มิโยชิพูด
“หรอ ได้ความว่าไง”
“ทีมของเธอพึ่งพัฒนาเครื่องเเคปซูลเพื่อใช้วัดร่างกายเสร็จ เราสามารถใช้ได้ แต่ว่า…”
“เเต่ว่า?”
“ฉันส่งรายการทั้งหมดที่เราอยากจะทดสอบไป เธอบอกว่าค่าทดสอบจะเป็นครั้งละสองล้านเยน”
“สองล้าน!” ผมร้อง “ถ้าฉันวัดสเตตัสหกอย่าง อย่างละห้าครั้ง ก็เป็นหกสิบล้านเยนน่ะสิ!!”
“เงินไม่ได้งอกมาจากต้นไม้นี่นะ”
“เเล้วธนาคาร…ก็ไม่ยอมให้กู้เเน่ๆ”
“นายยังไม่อยากจะลงทุนร่วมใช่ไหม”
“ที่จริงก็ไม่ได้ไม่อยากขนาดนั้น” ผมพูด “เเต่ด้วยสถานการณ์ตอนนี้ เราไม่รู้ว่าจะสามารถวัดอะไรได้จริงรึปล่าว เพราะฉะนั้นอย่างน้อยก็อยากจะลองทดสอบสักครั้งก่อนเเล้วค่อยลงทุนร่วมก็ได้ แต่ถ้าบอกอย่างนี้เพื่อนเธอคงไม่เอาด้วยหรอกมั้ง”
“ก็จริง”
“ถ้าเราบังคับให้ทางแลปยอมรับข้อตกลง พวกเขาต้องขอสิ่งตอบเเทนเยอะเเน่ๆ อย่างเเย่คือพวกเขาอาจจะใช้สกิลของฉันไปทดลองกันเอง เธออยากจะเป็นเจ้าของโปรเเกรมวัดค่าสเตตัสใช่ไหมล่ะ ถ้าทำได้อย่างน้อยเราก็จะมีจุดยืนที่พอๆกันกับทางแลป”
“อืม จริงด้วย” มิโยชิพูดพลางถอนหายใจ “ฉันอุตส่าวาดฝันอนาคตไว้ซะดิบดี”
การวัดค่าความสามารถออกมาเป็นตัวเลข ยังไงก็ต้องทำกำไรได้เเน่ๆอย่างไม่ต้องสงสัย จะต้องทำยังไงถึงจะได้เงินมานะ?
“มีอะไรรึปล่าว” มิโยชิถาม
“เปล่าๆ เรื่องนี้เอาไว้ค่อยคุยกันทีหลังเถอะ”
“เอาเเบบนั้นก็ได้ เเต่ว่า..”
“เธอพูดเองไม่ใช่หรอว่าเราอาจจะหาเงินจากการลงดันเจี้ยนได้”
“ถ้ามีงานที่สามารถทำเงินหกสิบล้านได้ภายในเวลาแปปเดียวล่ะก็ ก็ทำงานนั้นต่อไปไม่ได้ดีกว่าหรอ อย่างอื่นคงไม่จำเป็นต้องทำแล้วล่ะ”
“เเต่เรื่องอย่างอื่นที่ไม่จำเป็นนั่นเป็นสิ่งจุดประกายจิตวิญญาณนักวิจัยของพวกเรานะ”
“ใช่ เเต่จิตวิญญาณนักวิจัยจ่ายค่าไฟไม่ได้น่ะสิ”
เรายิ้มให้กันเเละเข้าไปในตึก เดินตรงไปยังประชาสัมพันธ์
“ขอโทษนะครับ พวกเราอยากจะมาขอใบอนุญาตลงดันเจี้ยน” ผมพูด
“ได้ค่ะ” พนังงานต้อนรับตอบ “การอบรบช่วงเช้ากำลังจะเริ่มเเล้ว หลังจากกรอกเเบบฟอร์มนี้เรียบร้อย ขอให้ไปที่ห้องประชุมหลักบนชั้นสองนะคะ การอบรมจะจัดที่นั่น”
“ใบอนุญาตจะออกให้ที่นั่นเลยไหมครับ”
“สำหรับคนทั่วไป จะมีการตรวจสอบข้อมูลก่อนหลังจากจบการอบรม ถ้าไม่มีปัญหาอะไร ใบอนุญาตจากWDAจะถูกส่งให้ทางไปรษณีภายในไม่กี่วันค่ะ”
“ตรวจสอบข้อมูลนี่คือยังไงหรือครับ”
“เพราะมีเรื่องสกิลออร์บที่ต้องระวัง คนที่มีประวัติอาชญากรรมจะไม่ผ่านการตรวจสอบ เเล้วก็ทางเราจำเป็นที่จะต้องทราบถึงอายุหรือโรคประจำตัว ถ้าไม่เรื่องพวกนี้ก็จะไม่มีปัญหาอะไรค่ะ”
“ไม่ต้องแสดงดี-การ์ดใช่ไหมครับ”
“ไม่ค่ะ ช่วงที่ขอใบอนุญาตนี้ คนส่วนมากจะยังไม่มีดี-การ์ด”
“จริงด้วย”
สะดวกดีแหะ
“ถ้ามีดี-การ์ดที่มาจากต่างประเทศ คุณสามารถนำมายื่นกับทางเราได้” พนักงานประชาสัมพันธ์เสริม “ถ้าทำแบบนั้น เราจะเพิ่มเเรงค์ของใบอนุญาตให้ค่ะ”
เเรงค์ของดี-การ์ดนั้นจะเเยกกันออกจากแรงค์ของWDA ซึ่งเเรงค์ของอย่างหลังนั้นจะขึ้นอยู่กับประโยชน์ที่ทำให้องค์กร โดยเริ่มจากเเรงค์G เเละเเรงค์สูงสุดคือAกับS ในระหว่างที่WDAพึ่งทำการก่อตั้ง ก็มีใครสักคนที่อยู่เบื้องบนสร้างระบบนี้ขึ้นมา คนที่โตมากับวิดีโอเกมนั้นมีอยู่ในทุกๆชนชั้นของสังคม ทำให้เกิดการจัดอันดับแบบนี้ขึ้น เเรงค์ของWDAนั้นจะจำกัดการซื้ออาวุธเเละเครื่องประดับ อีกทั้งยังจำกัดการเข้าดันเจี้ยนบางแห่งด้วย บางบริษัทก็อิงจากเเรงค์นี้ในการจ่ายเงินเดือนให้กับนักสำรวจในสังกัด
พนักงานประชาสัมพันธ์อธิบายต่อ “ถ้าเเสดงใบอนุญาตก็จะสามารถเข้าถึงดันเจี้ยนสาธารณะได้หลายๆที่”
“แล้วดี-การ์ดล่ะครับ”
“ถึงดี-การ์ดจะสะดวกในการดูระดับของสกิล เเต่มันไม่เหมาะสำหรับใช้ในการจัดการ ทั้งนี้ทั้งนั้นเพราะเราไม่รู้ว่าตัวการ์ดนั้นทำงานอย่างไรค่ะ”
“ถ้าเป็นอย่างนั้นคือ เราไม่ต้องเเสดงดี-การ์ดที่ไหนเลยหรือครับ”
“ใช่ค่ะ ตอนหาปาร์ตี้ก็จะใช้ประโยชน์เเค่เพื่อยืนยันเเรงค์กับสกิลเท่านั้น”
“เข้าใจละ ขอบคุณครับ”
คอร์สอบรมนั้นบรรยายถึงวิธีเข้าดันเจี้ยนเเละขั้นตอนหลายอย่าง เเละยังมีสรุปวิธีใช้เครื่องสวมใส่ให้เข้าใจง่ายด้วย หลังจากการอธิบายจบ พวกเราก็มีโอกาสอ่านหนังสือคู่มือนักสำรวจที่เเจกเเละถามคำถาม
ผู้หญิงน่ารักเเต่งตัวดูทันสมัยที่นั่งอยู่ข้างหน้าเรากำลังอ่านคู่มือของเธอ “เราไม่ต้องใช้เงินตอนเข้าดันเจี้ยนเลยหรอ”
ผู้หญิงสวยสไตล์ทอมบอยรูปร่างผอมเพรียวอีกคนตอบ “เพราะฉะนั้นเราเลยต้องจ่ายค่าดำเนินการให้JDA 10 เปอร์เซ็นทุกครั้งที่ซื้อหรือขายไอเทม เเล้วก็ยังมีภาษีดันเจี้ยนอีก 10 เปอร์เซ็นด้วยนะ”
ดูเหมือนว่าเธอสองคนนี้จะมาด้วยกัน
“รวมเเล้ว 20 เปอร์เซ็นเลยหรอ” ผู้หญิงน่ารักถาม
“แปลกตรงไหนล่ะ ถ้าเทียบกับพวกการพนันถูกกฏหมายเเล้วยังดีกว่าอีก”
ก็นะพวกการพนันเเข่งเรือหรือจักรยานนั้น คิด 25 เปอร์เซ็น ส่วนการเเข่งม้าก็น่าจะพอๆกัน
“เธอจัดการลงดันเจี้ยนอยู่ในประเภทเดียวกับการพนันงั้นหรอ” ผู้หญิงน่ารักถาม “เเต่ก็ไม่ต่างกันเท่าไรล่ะมั้ง”
“ใช่ ที่นี่เราต้องเดิมพันด้วยชีวิตเเทน”
มิโยชิทนไม่ไหวจนหัวเราะออกมา ผู้หญิงสองคนที่นั่นข้างหน้านั้นเลยหันมามองอย่างสงสัย เห็นได้ชัดว่าได้ยินเสียงหัวเราะ
“ขอโทษที” มิโยชิขอโทษ “นั่นมันเท่มากเลย”
พวกเธอสองคนมองหน้ากันเเละหันมามองมิโยชิอีกครั้ง
“เธอกำลังล้อพวกเราหรอ” ผู้หญิงน่ารักถาม
“ไม่ใช่ๆ ฉันเกือบจะพูดเเทรกว่า ‘มนุษย์ทุกคนมีอาวุธชิ้นสุดท้ายคือชีวิตของตัวเอง เเล้วถ้ากลัวว่าจะเสียมัน เขาก็จะโยนอาวุธทิ้งไป’ เเล้วล่ะ เเต่กลั้นไม่ได้เลยหัวเราะออกมาก่อน”
ผู้หญิงที่ดูเป็นทอมบอยผ่อนคลายขึ้นทันที “ชาร์ล กอร์ดอนใช่ไหม”
“ใช่เลย” มิโยชิตอบ “เเต่ถ้าทุกคนใช้ชีวิตของตัวเองเป็นอาวุธ สุดท้ายเเล้วก็ต้องตาย”
มิโยชิกับผู้หญิงทอมบอยยิ้มกันอยู่สองคน ส่วนผมกับผู้หญิงน่ารักนั้นไม่เข้าใจเลยสักนิด
“พูดถึงอะไรกัน” ผู้หญิงน่ารักถาม “ไม่เห็นรู้เรื่องเลย”
“ฉันก็เหมือนกัน” ผมเสริม “ไม่รู้เรื่องเหมือนกัน”
“เป็นคำพูดจากหนังที่ชื่อ สงครามอัลมาฮ์ดี” ผู้หญิงทอมบอยตอบ “ฉันชื่อมิตสึรุกิ เเล้วเธอล่ะ”
“ว้าว สึรุกิ ที่เป็นดาบน่ะหรอ ขนาดชื่อยังเท่เลยนะ ฉันมิโยชิ เเละหมอนี่ชื่อโยชิมูระ ยินดีที่ได้รู้จักนะ”
ผู้หญิงน่ารักมองสลับระหว่างผมกับมิโยชิเเล้วทำหน้าสงสัย “ฉันชื่อ ไซโต้” เธอพูด “พวกเธอสองคนมาเข้าเรียนด้วยกันในวันอาทิตย์หรอ รสนิยมเเย่น่าดูนะ พาเเฟนสาวมาเดทในดันเจี้ยนเนี่ย”
“เปล่าๆ พวกเราเป็นเพื่อนร่วมงานน่ะ” ผมตอบพร้อมส่ายมือไปมา “ไม่ได้เตรียมตัวสำหรับดันเจี้ยนเดทหรอก”
ผมสิสงสัยมากกว่าว่าพวกเธอสองคนมีความสัมพันธ์กันยังไง
“เพื่อนร่วมงานหรอ” ไซโต้ย้ำ “หรือว่าพวกเธอเป็นทหารหัวกะทิจากบริษัทดังที่ทำเกี่ยวกับดันเจี้ยน”
ทหารหัวกะทิ?
“เปล่า เป็นเเค่นักวิจัยต่างหาก” ผมตอบ
“อ๋อ งั้นหรอ”
พอไซโตทำท่าทางเบื่อ มิตสึรุกิก็เข้ามาพูดช่วย “นี่ อย่าทำท่าทางเเบบนั้นสิ ถ้าพวกเขาเป็นนักวิจัย ก็เเสดงว่าเป็นผู้เชี่ยวชาญด้านดันเจี้ยนนะ”
“จริงหรอ” ไซโต้เอียงคอถามอย่างเย้ายวน “ดีเลย ถ้าเราเจอกันอีกครั้ง นายต้องสอนฉันทุกอย่างเกี่ยวกับดันเจี้ยนนะ”
“ได้เลย” ผมตอบ
พอผมตอบตกลงไปส่งๆ ไซโต้ก็ยังยิ้มค้างอยู่ ไม่พูดอะไร พอผมนั่งลงพร้อมรู้สึกงงๆ ไซโต้ก็หันไปถามมิตสึรุกิ “ฮารุ ฉันดูไม่มีสเน่ห์หรอ”
หืม ชื่อต้นของมิตสึรุกิน่าจะชื่อฮารุอะไรทำนองนี้เเน่
มิตสึรุกิเอามือมาจับหว่างคิ้วพร้อมส่ายหน้า “ไม่หรอก เขาเเค่หัวทึบน่ะ”
ห่ะ ผมอะนะหัวทึบ?
“เอ่อ กำลังพูดถึงอะไรกันอยู่หรอ” ผมถาม
ไซโต้ทำเเก้มป่องอย่างโกรธเคือง “ปกติเเล้วในสถานการณ์เเบบนี้ ผู้ชายต้องยื่นนามบัตรมาสิ”
อะไรนะ มีกฏอะไรเเบบนี้ด้วยหรอ ทำไมผมพึ่งรู้ล่ะ
ผมหันไปหามิโยชิเพื่อขอความช่วยเหลือ เเต่ท่าทางของเธอเหมือนจะบอกว่า “อย่ามาถามฉันสิ”
“เอาน่าๆ คนทึ่มเเบบนี้ไม่ค่อยมีหรอก” มิตสึรุกิพูด “ปู่ฉันเคยบอกว่า ทึ่มแบบนี้ในภาษาอังกฤษแต่ก่อนเค้าจะเรียกว่า ผมบลอนด์โง่“
“เรียกใครว่าเป็นผมบลอนด์กัน” ผมถาม “เเถมคำว่าทึ่มนี่น่าจะเป็นคำด่าที่เก่ากว่าอีกนะ”
“อะไรต่างๆสมัยนี้ตกยุคเร็วมาก เทรนล่าสุดจะล้าสมัยก่อนที่นายจะรู้ตัวซะอีก”
ผมถอนหายใจพลางคิดว่าช่วงตอบคำถามนี้จะหมดเมื่อไร หลังจากนั้นไม่นาน ผู้บรรยายก็ยืนขึ้นเเละเริ่มพูดปิดการอบรม ผู้หญิงสองคนข้างหน้าจึงหันหน้ากลับ
ด้วยเหตุนั้น คลาสเรียนในวันฝนตกของเราก็จบลง
“เคย์ อยากไปกินข้าวกลางวันกันเเล้วค่อยกลับบ้านไหม” มิโยชิถาม
อ๊ะ ชิบหาย ผมรู้สึกถึงอันตรายที่คืบคลายเข้ามาซะเเล้ว
“ก็อยากอยู่” ผมพูด “เเต่หลังจากที่จ่ายไปเมื่อวาน…”
“งั้นไปหาอะไรเบาๆง่ายๆไหม อย่างเช่นราเมน”
“ถึงฉันจะไม่รู้ว่าส่วนไหนของราเมนที่มัน เบาๆ ก็เถอะ เเต่ถ้างั้น ซุปเกลือเป็นไง ถ้าเป็นเเถวนี้ ดูเอะ อิตะดังเรื่องซุปเกลือ”
ดูเอะ อิตะเป็นร้านอาหารเเปลกๆที่ขายอาหารอิตาเลียนในรูปแบบราเมน ใส่มะเขือเทศเเละมอสซาเรลลาชีส
“ไม่ล่ะ วันนี้รู้สึกอยากกินเส้นโซบะจีนมากกว่า”
“งั้น โอยาชิล่ะ ซุปดาจิที่นี่ค่อนข้างสดชื่นเลย”
โอโยชิเป็นร้านโซบะจีน – ไม่ใช่ราเมน – ที่อยู่ในอิจิกายะ-ทามาจิ เพราะว่าเป็นร้านสาขาของร้านราเมนชื่อดัง น้ำซุปดาชิโชยุของร้านนี้จึงเรียบง่ายเเละมีรสชาติดี
“ฟังดูดีนะ เเต่ฉันไม่ได้อยู่ในอารมณ์ที่อยากกินหมูชาชูเต็มชาม” มิโยชิพูด “ฉันอยากกินเส้นจีนกับไข่ดองโชยุ เกี๊ยวอีกสักจานกับเบียร์ตอนกลางวันเเสกๆ”
“เอาจริงดิ”
หลังจากนั้น ที่โอโยชิ มิโยชิก็สั่งเบียร์มาตอนกลางวันเเสกๆจริงๆด้วย เเถมเป็นเเก้วกลางอีกตะหาก เป็นชายวัยกลางคนรึไงเธอน่ะ เเต่นั่นเเหละ นี่อาจจะเป็นเหตุผลที่เธอเข้ากับคนง่ายก็ได้
ในระหว่างที่กำลังซดเส้นอยู่นั้น ผมก็พูดถึงผู้หญิงสองคนที่เจอกันก่อนหน้านี้ “สองคนนั้นดูดีกันทั้งคู่เลยนะ ดูจากเรื่องที่พูดถึงนามบัตรเเล้ว เธอคิดว่าทั้งสองคนนั้นทำงานกลางคืนรึปล่าว”
“ฉันคิดว่าคนที่ทำงานกลางคืนน่าจะไม่มีเเรงจูงใจให้มาลงดันเจี้ยนหรอกนะ จากที่ทั้งสองคนไม่ค่อยดูเจ้าเล่ห์เท่าไร น่าจะทำงานในวงการบันเทิงหรือเเฟชัน ในคลาสก็มีคนมองพวกเธอเยอะเหมือนกัน”
“พวกเราไม่ค่อยมีใครรู้จักดาราหรือนางเเบบอะไรพวกนี้ ถ้าเกิดเป็นคนดังขึ้นมา เราจะไม่ดูโง่ไปเลยหรอ”
“อย่าเอาฉันไปเทียบกับนายนะ ฉันก็รู้เรื่องเเฟชั่นกับดาราพอๆกับคนทั่วไปหรอก”
“พวกดาราที่เธอรู้จักก็มีเเค่พวกสมัยพระเจ้าเหาเท่านั้นเเหละ” ผมอยากจะสวนออกไปเเต่ก็เงียบไว้ การเก็บคำพูดที่ไม่จำเป็นเอาไว้นั้นเป็นสิ่งสำคัญในการใช้ชีวิตร่วมกับคนอื่น
“เเต่ว่า” ผมพูด “วงการบันเทิงกับเเฟชั่นก็ไม่ได้เกี่ยวอะไรกับดันเจี้ยนนี่”
“นายคิดงั้นหรอ ตอนนี้มีดันเจี้ยนไอดอลใหม่ๆเกิดขึ้นเยอะเลย”
“จริงด้วย ‘เเลกสกิลออร์บกับการไปเดทกับดาราที่ชอบทั้งวัน’ ขูดเลือดขูดเนื้อกันชัดๆ”
ถึงงั้นผมก็ไม่รู้ว่ามีใครเคยเอาออร์บไปให้จริงรึปล่าว ถ้ามีอาจจะเป็นอีเวนต์ใหญ่เลยก็ได้
“โธ่” มิโยชิพูด “นายควรจะเรียนรู้จากพวกนั้นบ้างนะ”
“หือ”
“สุดท้ายเเล้ว คนที่ให้ออร์บไปก็พอใจใช่มั้ยล่ะ”
“ก็น่าจะเป็นอย่างงั้น”
“เเล้วคนที่รับออร์บก็มีความสุขที่ไปรีดไถออร์บมาได้”
“อะฮะ”
“สรุปเเล้วก็คือ วิน-วิน ทุกคนมีความสุขไงล่ะ”
“ถ้าพูดเเบบนั้นก็คงใช่เเหละ”
“เคย์ ถ้านายเชื่อคนง่ายเเบบนี้นะ ต้องระวังไว้เเล้วเเหละ นายอาจจะตกเป็นเหยื่อของพวกหลอกลวงแปลกๆหรือโฆษณาชวนเชื่อก็ได้”
เเค่กๆ ผมสำลักเส้นโซบะ เพราะเธอพูดถูกเผง ไม่มีอะไรจะมาเถียงได้เเม้เเต่อย่างเดียว ผมแพ้พวกโฆษณาชวนเชื่อมาก ครั้งนึงผมเคยซื้อวิสกี้เพราะโปสเตอร์แผ่นนึงที่เขียนว่า ‘ไม่มีอะไรเพิ่ม ก็จะไม่มีอะไรลด’ เห็นมั้ย เป็นสโลเเกนที่เท่ดีออก
“เราควรจะเเยกงานอดิเรกกับการเสพติดออกจากกัน“ มิโยชิพูด “ถ้าใช้วิธีคิดเเบบนั้น พวกค้ายาก็ถือเป็น วิน-วิน เหมือนกัน”
เป็นประเด็นที่ดี เเต่ผมคิดว่าจะบอกให้เธอหยุดพูดอะไรเเบบนั้นเพราะมันอาจจจะทำให้เกิดความขัดเเย้งได้
“เเต่ดูนี่เป็นตัวอย่างนะ” อยู่ๆเธอเปลี่ยนเรื่องมาพูดเรื่องค่าสเตตัสกับความสามารถของร่างกาย “ถ้าไม่สามารถควบคุมร่างกายได้ ถึงจะเคลื่อนที่ได้เร็วก็ไม่เปล่าประโยชน์”
“ก็ถูก”
“พูดถึงสเตตัสเมื่อวาน ถ้านายเพิ่มAGI การกระทำกับปฏิกิริยาตอบสนองจะต้องดีขึ้นถูกไหม”
“ใช่ ฉันก็คิดแบบนั้นเหมือนกัน”
“เพราะงั้น DEXน่าจะช่วยเพิ่มขอบเขตการเคลื่อนไหวกับความเเม่นยำในการควบคุมร่างกาย”
ถ้าจะใช้เทคนิคต่างๆก็จำเป็นที่จะต้องเพิ่มเรื่องพวกนั้น
“ก็เป็นไปได้” ผมตอบ
ถ้าคิดว่าความสามารถทางร่างกายจะเพิ่มขึ้นตามค่าสเตตัส ผมคิดว่ามันเเปลก เพราะจากที่คุยกันเมื่อวาน เหมือนความเเข็งเเรงของกล้ามเนื้อไม่ได้เปลี่ยนไปตอนสเตตัสเพิ่มขึ้น
“เเล้วก็ ดูจากสเตตัสของนาย การที่สเตตัสเพิ่มขึ้นดูจะไม่เกี่ยวกับความเเข็งเเรงของกล้ามเนื้อ” มิโยชิพูด “เหมือนว่าสเตตัสจะไปเพิ่มอะไรบางอย่างเเทนที่จะเป็นกล้ามเนื้อ ทุกวันนี้พวกนักกีฬาเลยไปเข้าเเคมป์ฝึกในดันเจี้ยนเป็นเรื่องปกติ ฉันได้ยินมาเเบบนี้”
“จริงหรอ”
เมื่อมีการฝึกกล้ามเนื้อจนถึงขีดจำกัดเเล้ว การที่จะเเข็งเเกร่งก็จะเริ่มยากขึ้นเรื่อยๆ แต่ว่าถ้ามีบางอย่างที่สามารถเพิ่มความเเข็งเเกร่งได้ที่ไม่ใช่กล้ามเนื้อก็เป็นอีกเรื่อง ขีดจำกัดนั้นก็อาจจะมีคนผ่านมันไปได้ก็ได้
“ก็นะ” ผมพูด “มันอาจจะเหมือนกับการฝึกในที่สูงก็ได้”
“ใช่เลย” มิโยชิตอบขณะที่กำลังผ่านครึ่งไข่ต้มดองโชยุ “เลยเป็นสาเหตุให้พวกดาราหรือนางเเบบได้ประโยชน์จากการลงดันเจี้ยนด้วยเหมือนกัน”
ที่ผมเคยได้ยินมาคือ เมื่อทำการยืดข้อต่อจนถึงขีดสุดเเล้ว ดาราชั้นนำจะสามารถควบคุมร่างกายเพื่อการเเสดงได้ดี ถ้าเป็นเรื่องจริง การเพิ่มสเตตัสจากดันเจี้ยนก็น่าจะช่วยเหมือนกัน
“จะว่าไป” ผมพูด “ฉันคิดว่าจะเริ่มลงดันเจี้ยนในสัปดาห์นี้เลย เธอจะเอายังไง มิโยชิ”
“นายอยากให้พวกเราโดดงานหรอ ที่จริงจะใช้วันลาหยุดก็ได้… แต่ถ้าเราหยุดวันเดียวกัน คนอื่นๆอาจจะเข้าใจผิดก็ได้”
เเล้วจะหน้าแดงทำไมล่ะ
“ก-ก็น่าจะไม่เป็นไรนะ ยังไงฉันก็จะลาออกอยู่เเล้ว”
“เเต่ก็ไม่ได้จะออกพรุ่งนี้เลยใช่ไหมล่ะ ยังไม่ได้ใบอนุญาตเลย”
“จริงด้วย ได้ยินกว่ากว่าจะส่งมาใช้เวลาประมาณสองวัน”
“เผื่อๆไว้ เราคงลงดันเจี้ยนวันพฤหัสบดีไหม”
“ดีเลย แต่ว่าเรื่องอาวุธกับเครื่องป้องกันจะเอายังไง”
“ฉันก็ดูเเคตตาลอคมาเเล้ว เเต่ว่า…”
ใช่เเล้ว ผมเข้าใจความรู้สึกของมิโยชิดี พวกอาวุธเเละเครื่องป้องกันนั้นเเพงมาก ถูกที่สุดยังประมาณหนึ่งเเสนเยน เเละถ้าเเพงสุดก็จะประมาณ100ล้านเยน
“มันเเพงใช่ไหมล่ะ” ผมถาม
“ใช่มั้ยล่ะ เเพงมากๆ ราคานั่นมันอะไรกัน ถ้าเคยเล่นเคนโดก็อีกเรื่องนึง แต่พวกเราส่วนมากใช้ดาบไม่เป็นสักหน่อย”
“เหมือนว่าถ้าฝึกมาก็จะสามารถใช้ปืนได้นะ เเต่ก็ต้องขึ้นอยู่กับJDA แถมยังใช้ได้เเค่ในดันเจี้ยนด้วย พอมันเเพงเเล้วก็ใช้ในชั้นล่างๆไม่ได้เลยไม่ค่อยเป็นที่นิยมเท่าไร”
“ถ้าไม่ฝึกมาก็ไม่น่าจะยิงอะไรโดนอีก”
“เเล้วเธอทำยังไงสมัยมหาวิทยาลัย มิโยชิ”
“ฉันเช่าเอา”
“…เช่าอาวุธได้ด้วยหรอ”
“ได้ ถ้าไปกับทัวร์สร้างดี-การ์ด”
“หืมม ” ผมคิด “ตามความเป็นจริง อาวุธพวกค้อน มีดใบใหญ่ๆหรือขวานน่าจะปลอดภัยกว่า”
“นายพูดถูก พวกค้อนที่ถือมือเดียวได้น่าจะดีเลย”
“เธอมีแผนอะไรรึปล่าว มือใหม่จะชอบไปฟาร์มก๊อบลินที่ชั้นสองนะ”
“ที่จริงฉันอยากจะทดลองอะไรบางอย่างกับสไลม์ที่ชั้นหนึ่งน่ะ”
“หืมม”
สไลม์เป็นมอนสเตอร์หลักของโยโยกิดันเจี้ยนชั้นหนึ่ง เเต่ทว่าสไลม์นั้นไม่เป็นที่นิยมอย่างมากเเละไม่มีข้อดีอะไรเลย มันจัดการยาก แทบไม่ให้ค่าประสบการณ์เเล้วก็ไม่เคยดรอปไอเทม แุถมในโยโยกิดันเจี้ยนที่กว้างใหญ่ บันไดที่ไปสู่ชั้นสองนั้นตั้งอยู่ข้างบันไดที่ไปยังชั้นหนึ่ง สุดท้ายเเล้วคนส่วนมากหลังจากเข้าดันเจี้ยนมาเเล้วก็ตรงไปชั้นสองเลย
ผมกำลังตกใจกับเป้าหมายการทดลองของมิโยชิที่คาดไม่ถึง พอได้สติกลับมาก็ต้องเสียเกี๊ยวชิ้นเกรงใจให้กับมิโยชิไปซะเเล้ว