ดี-เจเนซิส : สามปีหลังจากดันเจียนปรากฏขึ้น - ตอนที่ 50 เล่ม 3 : เฮเว่นส์ลีคส์ (4)
โยโยกิดันเจี้ยน ชั้น 18 ยอดเขา
บัลลังค์ทองคำตั้งอยู่ใต้แสงแดดยามอาทิตย์ตก ที่สำคัญก็คือมีร่างร่างหนึ่งนั่งอยู่บนบัลลังค์ทองคำนั่นในท่าทางผ่อนคลาย กำลังใช้มือเท้าคางเอาไว้ ผมสัมผัสได้ลางๆว่าเงาร่างที่น่าจะเป็นเอนไคนั้นเงยหน้าขึ้นมา
พอเรามาถึง มิโยชิก็ยิงลูกเหล็กใส่เทพพระอาทิตย์ทันที ถึงค่าAGIของผมจะเป็น100แต่สายตาของผมแทบจะตามไม่ทันสิ่งที่เกิดขึ้นหลังจากนี้ มิโยชิคงไม่รู้เลยว่าเอนไกทำอะไรเหมือนกับทหารSDFคนนั้น
เอนไคสะบัดแขนเบาๆเพื่อปัดป้องลูกเหล็ก ในอีกอึดใจถัดมามันก็เคลื่อนที่มาอยู่หน้ามิโยชิและเหวี่ยงหมัดใส่เธอ
“มิโยชิ!”
เฮลฮาวด์ตัวนึงเเทรกตัวเองไปอยู่ระหว่างมิโยชิกับหมัดนั่นเเละช่วยเธอจากความตายเอาไว้ มันผลักเธอออกไปทางด้านหลัง ทำให้เธอกระเด็นไป
เฮลฮาวด์ตัวนั้นบิดตัวหลบหมัดของเอนไกได้อย่างเฉียดฉิว เเต่ทว่าเเค่รอยถากของหมัดก็ทำให้เฮลฮาวด์กระเด็นกระดอนไปตามพื้นเเละนอนเเน่นิ่งไม่ขยับ
หมัดที่ถูกเฮลฮาวด์เบี่ยงออกนั้นกระเเทกเข้ากับพื้นส่งเสียงกระเเทกดังลั่นเเละเกิดเป็นหลุมขนาดเส้นผ่านศูนย์กลางหนึ่งเมตร พอเห็นดังนั้น ผมจึงรีบเปิดเมคกิ้งทันทีเเละใส่เเต้มเข้าไปในAGIอีกหนึ่งร้อยเเต้ม ไม่อย่างนั้นผมคงถูกฆ่าในอีกไม่กี่วินาทีเเน่
“เอธเธลลัม!” มิโยชิร้องเรียกเเละวิ่งไปหาเฮลฮาวด์ตัวนั้น
ในขณะเดียวกัน เอนไกก็พยายามจะโจมตีเธออีกครั้ง เเต่เฮลฮาวด์อีกสองตัวก็โผล่มาเเทรกระหว่างกลาง ตัวนึงกัดเข้าที่เเขน ส่วนอีกตัวก็ทำตัวเป็นโล่ให้มิโยชิ ในระหว่างที่กำลังสู้กัน ผมก็ยิงหอกน้ำหลายอันใส่เอนไกเเละเข้าประชิดตัวมันด้วยความเร็วที่เร็วยิ่งกว่าหอกน้ำ รวมรวบพละกำลังทั้งหมดเเละเตะเข้าไปที่ด้านข้างสุดเเรง
เอนไกเเค่สะบัดเเขนที่คาวัลกัดอยู่ คาวัลก็กระเด็นไปในอากาศ ฟันหลายซี่ของมันหัก ไม่นานหอกน้ำของผมก็พุ่งไปถึงเอนไกเเละระเหิดหายไป
ผมไม่รู้ว่าการโจมตีของผมทำอะไรเอนไกได้ไหม เเต่ว่าที่ไปเตะด้านข้างน่าจะทำให้มันโกรธ เพราะมันหันมาสนใจผมเเทน เทพพระอาทิตย์หันหน้ามาที่ผมเเละยกหมัดขึ้นเพื่อที่จะโจมตีเข้ามา
หมอนี่มันตัวละครสายเเทงค์รึไง
เท่าที่ดูจากหลุมที่พื้นเเละอาการของเอธเธลลัม โล่เคฟล่าน่าจะไม่สามารถป้องกันหมัดที่ซัดมาได้ ตัวผมตอนที่AGI100นั้นเเทบจะมองตามการโจมตีไม่ทัน เเต่ที่AGI200 เขาดูเหมือนว่ากำลังเคลื่อนที่ในโหมดสโลวโมชั่นที่เร็วนิดหน่อย สเตตัสจงเจริญ!
ผมหลบการโจมตีของเอนไกอย่างสบายๆเเละอ้อมไปทางด้านหลัง จากนั้นก็รวมรวมกำลังซัดบอลเหล็กใส่ในระยะใกล้เข้าที่ท้ายทอย ถึงเเม้จะเกิดเสียงกร๊อบดังลั่น เเต่เอนไกก็เเค่ชะงักไปเล็กน้อยเท่านั้น จากนั้นเขาก็ลองขยับคอเพื่อตรวจสอบอาการ
พอมีช่องโหว่ ผมก็ยิงหอกเพลิงเข้าใส่ เเต่ทว่ามันก็ระเหิดไปเหมือนกับหอกน้ำ ท่าทางค่าต้านทานเวทมนตร์ของเขาจะสูงเอามากๆ ถึงจะเป็นเวอชั่นที่ดันเจี้ยนสร้างขึ้นมา เเต่ก็เเข็งเเกร่งสมกับที่เป็นเทพเจ้า
ในระหว่างที่ยังมีช่องโหว่อยู่ ผมก็เอาเเต้มอีก100ใส่เข้าไปที่ค่าSTR เเละพุ่งเข้าใส่เอนไกโดยกำบอลเหล็กเอาไว้ในมือเเน่น ยังไงซะเอนไกก็เป็นเทพ ถ้าผมปล่อยให้การต่อสู้ยืดเยื้อไปมากกว่านี้เขาอาจจะใช้เวทมนตร์โจมตีจากระยะไกลเอาก็ได้ ถ้าเป็นเเบบนั้นผมจะไม่มีวิธีป้องกันได้เลย ตอนนี้เลยต้องเดิมพันทุกอย่างด้วยการโจมตีไปที่หน้าผาก
“ว๊ากกก!” ผมคำราม
ก่อนหน้านี้ ผมคิดว่าการตะโกนตอนต่อสู้นั้นมันดูเหมือนเป็นคนโง่ เเต่ว่าเสียงตะโกนก็ดังออกมาจากคอของผมอย่างเป็นธรรมชาติ คล้ายกับว่าการตะโกนเเบทเทิลครายนั้นมันส่วนลึกอยู่ในจิตวิญญาณ
ในขณะที่ผมพุ่งเข้าใส่เอนไก เขาก็ปล่อยหมัดขวาตรงมาที่ผมอย่างเเม่นยำ ผมใช้เเขนซ้ายปัดหมัดของเขาไปทางด้านขวาของผมเเละปล่อยหมัดครอสเคาเตอร์ที่กำลูกบอลอยู่ไปที่คางของเอนไก เเรงกระเเทกนั้นทำให้หัวของเทพพระอาทิตย์เบี้ยวไปทางด้านหลังเเละเท้าลอยขึ้นจากพื้นเล็กน้อย
ราวกับว่าเวลานั้นถูกขยายให้นานขึ้น ผมใช้โมเมนตัมพุ่งตัวขึ้นไปด้านบนเเละใช้กำลังทั้งหมดซัดบอลเหล็กลงด้านล่างเเละเล็งไปที่หน้าผากของเอนไก
มันยกมือทั้งสองข้างขึ้นบังหน้าพยายามที่จะป้องกัน เเต่ทว่าผ่ามือของผม ที่มีพลังทำลายมากยิ่งกว่าบอลเล็กที่มิโยชิเขวี้ยง นั้นทำลายการป้องกันของเอนไกเเละพุ่งเข้าไปใกล้หน้าผากของมัน
ในจังหวะนั้น มีบอลเหล็กหลายสิบลูกระดมโจมตีเอนไกที่เปิดช่องว่างเอาไว้เล็กน้อย พวกมันถูกยิงมาจากมิโยชิที่กำลังรอโอกาสที่จะโจมตีอยู่ ด้วยความที่เท้าของมันลอยอยู่บนอากาศเเละเเขนทั้งสองข้างถูกปัดออก เอนไกเลยไม่มีทางที่จะป้องกันได้ ทำให้ลูกเหล็กทั้งหมดนั้นพุ่งเข้าไปที่หน้าผาก
เอนไกเเละผมที่ลอยอยู่กลางอากาศตกลงสู่พื้นดิน คอของเทพพระอาทิตย์บิดไปทางด้านหลัง เเละพอสายตาของพวกเราบรรจบกัน ผมก็นึกถึงคำพูดที่เอนไกเคยพูดเอาไว้ในเรื่องเล่าว่า “ยอดสูงสุดของที่พำนักของข้า—คิรินยากา—คือจุดสูงสุดของโลก ข้าจะไม่ยอมให้ผู้ใดบินอยู่เหนือหัวข้าได้”
บอลเหล็กในมือผมพุ่งไปหาเอนไกอย่างรวดเร็วจนเหมือนกับมันกำลังเปลี่ยนรูปร่าง พอหัวของเทพตกกระทบพื้น บอลเหล็กก็กระเเทกเข้าใส่หน้าผากของมันโดยไม่มีอะไรขัดขวาง
หลังจากที่หลังหัวของเอนไกกระเเทกกับพื้นหลายครั้ง ผมถึงจะได้ยินเสียงอะไรสักอย่างถูกบดขยี้ พอคู่ต่อสู้ของผมหยุดนิ่งไม่ขยับ พระอาทิตย์ก็ลับขอบฟ้าไปอยู่ใต้ทะเลเมฆเเล้ว ในขณะที่เเสงสุดท้ายลับตาไปเงียบๆ ร่างของเอนไกก็สลายกลายเป็นเเสงสีดำ
“การตายของเทพพระอาทิตย์เกิดขึ้นพร้อมกับกลางคืนงั้นหรอ อย่างกับบทกวีเลยว่าไหม” มิโยชิพูด
ระหว่างที่ผมกำลังหอบหายใจ มิโยชิก็เดินมาข้างๆพร้อมกับเฮลฮาวด์สามตัว ท่าที่ดูเอธเธลลัมยังไม่ตาย มิโยชิน่าจะเทโพชันให้มันเพื่อพยายามช่วยชีวิตมันเอาไว้
ในระหว่างที่สำรวจบริเวณที่เอนไกสลายหายไป ผมก็ทำหน้าย่นด้วยความไม่พอใจเเละพูดว่า “หมายความว่าเขาจะฟื้นขึ้นมาเช้าวันพรุ่งนี้เหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้นรึเปล่า”
มิโยชิยิ้มเเห้งๆเเละยักไหล่ “ในตำนาน เรื่องเเบบนั้นก็เกิดขึ้นตลอดน่ะนะ”
อย่าล้อเล่นอย่างนั้นสิ!
ครั้งนี้พวกเราเอาชนะได้โดยการโจมตีไปที่จุดอ่อนทันที เเต่ผมไม่คิดว่าเมื่อกี้จะเป็นความสามารถทั้งหมดของเทพพระอาทิตย์เเล้ว เพราะเขาไม่ได้ใช้อะไรที่คล้ายจะเป็นเวทมนตร์เลยสักครั้งเดียว เเถมผมก็คิดว่าเขาน่าจะบินได้ด้วย ต้องสู้กับศัตรูที่เป็นเทพเเละเก็บซ่อนความสามารถเอาไว้งั้นหรอ เเค่ครั้งเดียวก็เกินพอเเล้ว ผมคงต้องเว้นระยะจากเอนไกไปชั่วชีวิตเเล้วล่ะ
ระหว่างที่เก็บดรอปไอเทมของเอนไก พวกเราก็สำรวจยอดเขาไปด้วย หลังจากนั้นก็ไปจากยอดเขาอย่างรวดเร็วตามแผนที่ของSDF หลังจากลงเขาไปสักครู่ก็เจอกับที่กว้างที่หุบเขาไปในภูเขา พวกเราจึงตัดสินใจตั้งเเคมป์ที่นั่นเเละนำดอลลี่ออกมา
ที่นี่มีมอนสเตอร์สี่ขาขนาดใหญ่คล้ายไอเบ็กซ์ต่างกับชั้นสิบ ถ้าเราวางดอลลี่ไว้ในที่กว้าง มันอาจจะพุ่งเข้าใส่รถของเราตกเขาในพริบตาก็ได้
พอเข้าไปในดอลลี่ ผมก็วางไอเทมดรอปของเอนไกไว้บนโต๊ะกินข้าวเเละให้มิโยชิประเมินทั้งหมด
“โอ้โห ไอเทมพวกนี้เป็นระดับเทพเลยนะเนี่ย ก็น่าจะเป็นอย่างนั้นสิเนอะ”
กำไลแห่งงาย :
AGI +50%
MP +50%
ลดความเสียหายจากเวทมนตร์ลง 80%
ความเสียหาย90%ที่ได้รับจะไปลดค่าMPเเทน
ปรับขนาดอัตโนมัติ
กำไลที่ถูกสร้างโดยงายเพื่อเอาไว้ป้องกันตนเอง
กำไลเเห่งงาย:
สเตตัวทั้งหมด +20%
ปรับขนาดอัตโนมัติ
เเหวนที่ถูกสร้างโดยงายเพื่อเอาไว้ป้องกันตนเอง
จากโน็ตของมิโยชิ ไอเทมพวกนี้มันโกงมากกๆ
ลดความเสียหายเวทมนตร์ลง80%สินะ ที่มันต้านทานเวทมนตร์ได้เพราะกำไลนี้งั้นหรอ
เเน่นอนว่าการนำความเสียหาย90%เเปลงเป็นMPนั้นเป็นดาบสองคม
“เเหวนนี่เหมาะกับรุ่นพี่มากกว่า สเตตัสของฉันที่เพิ่มจาก10เป็น12นี่มันไม่น่าดีใจสักนิด”
“ถ้างั้นเธอเอากำไลไปใช้ก็เเล้วกัน น่าจะทำให้เธอทนทานขึ้นอีกหน่อย”
“เข้าใจเเล้ว เเต่มันดูเหมือนเป็นไอเทมคู่เลยนะ ดีไซน์ของมันอาจจะทำให้คนอื่นเข้าใจผิดไหม”
ระหว่างที่บ่นอย่างสบายใจ ทันทีที่เธอก็ใส่กำไลเข้าที่เเขนซ้าย อัญมณีในกำไลก็เปลี่ยนขนาดเพื่อให้พอดีกับข้อมือของเธอ
“ว้าว สุดยอด หรือนี่คือที่สกิลประเมินบอกว่าเป็นการปรับขนาดอัตโนมัติ”
“ถ้าเทคโนโลยีนี้เเพร่หลายออกไป ก็อาจจะอีกไม่นานที่เสื้อผ้ากับรองเท้าจะสามารถทำเเบบเดียวกันได้”
“ก็ฟังดูสะดวกดี เเต่มันจะเกิดขึ้นจริงเมื่อไรล่ะ”
“ในไทมไลน์ที่ดำกว่านี้ เทคโนโลยีนี้จะเกิดขึ้นในปี 2015” (จาก Back to the future II)
“เเต่น่าเสียดายที่โลกเราไม่มีด๊อกเตอร์เอมเมธ บราวน์”
ผมคีบเเหวนขึ้นมาด้วยนิ้วโป้งเเละนิ้วชี้ ตอนนี้ขนาดมันใหญ่ไปสักหน่อยเเต่ก็น่าจะสวมพอดีด้วยการปรับขนาดอัตโนมัติ เเต่มันน่าจะเกะกะมือขวา ผมเลยใส่ไว้ที่นิ้วก้อยมือซ้ายที่น่าจะเกะกะน้อยที่สุด
“ผู้ชายที่ใส่เเหวนที่นิ้วก้อยจะให้ความรู้สึกว่าเป็นคนเจ้าชู้รู้ไหม
“อะไรนะ จริงนะ เเหวนนี่ไม่ได้สีชมพูสักหน่อย”
มิโยชิพูดโดยใช้ภาษาอังกฤษว่า พิ๊งกี้ริงค์ ที่ผมไม่เคยได้ยิน เเต่ยังไงก็เหอะ เเหวนเเห่งงาย นั้นถูกตกเเต่งอย่างวิจิตรบรรจงในรูปเเบบเเอฟริกา
“พิงกี้ริงค์คือการใส่เเหวนที่นิ้วก้อย ไม่ใช่เเหวนสีชมพูสักหน่อย เค้าบอกกันว่ามันจะดูมีสไตล์ไม่ก็เซ็กซี่ เเต่ฉันไม่คิดอย่างนั้น…”
“มันจะดูเป็นคนเจ้าชู้ก็ต่อเมื่อคนใส่เป็นคนหน้าตาดีมีรสนิยมถูกไหมล่ะ ฉันคงไม่เป็นไรหรอก เเค่ใส่ที่นิ้วที่สบายที่สุดเเค่นั้นเอง”
ผมไม่สนที่มิโยชิคอมเม้น เอาจริงๆนะ ใครเป็นคนคิดว่าการใส่เเหวนที่นิ้วก้อยเป็นสัญญาณบอกว่าอยากจะเอาไปทั่วกันนะ วงการเเฟชั่นมีกฏที่คลุมเคลือเยอะเกินไปเเล้ว
ผมเปิดเมคกิ้งขึ้นมาเพื่อดูผลของเเหวน
ชื่อ : โยชิมูระ เคโกะ
เเรงค์ : 1
SP : 523.448
HP : 432.00
MP : 240.00
STR : [-] 200 [+] [240]
VIT : [-] 100 [+] [120]
INT : [-] 100 [+] [120]
AGI : [-] 200 [+] [240]
DEX : [-] 100 [+] [120]
LUC : [-] 100 [+] [120]
>> มิโยชิ อาสึซะ
“โหห ฉันได้สเตตัสเพิ่ม 20% จริงๆด้วย”
“รุ่นพี่ๆ เเล้วฉันล่ะ”
ชื่อ : มิโยชิ อาสึซะ
SP : 50.937
HP : 22.25
MP : 33.05 (49.575)
STR : [-] 8 [+]
VIT : [-] 9 [+]
INT : [-] 18 [+]
AGI : [-] 11 [+]
DEX : [-] 13 [+]
LUC : [-] 10 [+]
“คิดว่าความสามารถทั้งหมดก็มีผลนะ เเต่ว่า… นี่อะไรเนี่ย”
“มีอะไรหรอ”
“เปล่า เธอมี SPเหลืออยู่ 50.937 เเต้มน่ะ”
“ล้อเล่นใช่มั้ย! เป็นเพราะเทพเจ้านั่นรึเปล่า”
“น่าจะใช่”
เจโนมตัวเเรกนั้นจะให้ 0.13 เเต้ม มิโยชิกำจัดมันไปราวๆหนึ่งร้อยตัว เเต่ทั้งหมดนั่น SPของเธอนั้นเพิ่มมาเเค่ 1.551 เท่านั้น ถึงเราจะไม่รู้ว่ากำจัดจีโนมไปทั้งหมดเท่าไร เเต่มิโยชินั้นบันทึกจำนวนมอนสเตอร์อื่นๆที่เธอกำจัดไว้ทั้งหมด พอคำนวนย้อนกลับดู เอนไกนั้นจะให้ประมาณ 45 เเต้ม
“เเม้เเต่ค่าSPก็ยังระดับเทพเลยนะ ถ้าพวกเราทั้งสองคนได้เเต้มมากขนาดนี้ เอนไกน่าจะให้ค่าประสบการณ์ทั้งหมด 90 เเต้ม หรือก็คือ เลขของชั้นตอนนี้ – 18 – คูณกับ 5 คิดว่าค่านี้จะเป็นค่าสัมประสิทธิ์ของเทพเจ้ารึเปล่า”
“นั่นจะเป็นค่าสัมประสิทธิ์ที่เหลือเชื่อเลยนะ เเต่จะว่าไป เธออยากจะเพิ่มค่าสเตตัสอะไรล่ะ”
เราจะทำอะไรก็ได้กับค่าที่เหลือนั่นได้อีกเเค่พักเดียว หลังจากนั้นมันจะถูกเเจกจ่ายไปโดยธรรมชาติ
“ยังไงดี” ระหว่างที่กำลังคิด เธอก็โยนไก่คาราอาเกะเข้าปากพวกอาเธอร์สที่ผลัดกันโปล่หัวออกมาจากเงา “น่าจะเอาไปลงINTไหม”
“เธอคงไมไ่ด้กำลังคิดว่า ถ้ามีINTอีก40เเต้ม จะสามารถเรียกเฮลฮาวด์ได้อีกสิบตัวใช่ไหม”
“เอ่ออ ทำไมรุ่นพี่ถึงคิดอย่างนั้นล่ะ…”
“เพราะฉันไมไ่ด้โง่น่ะสิ”
เราจะไปดูเเลเฮลฮาวด์อีกสิบตัวได้ยังไง ผมมองเห็นเเต่อนาคตอันมืดมิดที่ต้องหาหินเวทย์จนหมดเเรงนั่นเเหละ
“คิดดีๆเถอะ เอาไปอัพค่าLUCอะไรเเบบนี้ไม่ดีกว่าหรอ”
“เรื่องโชคให้เป็นหน้าที่รุ่นพี่ดีกว่า เเถมค่าLUCตอนนี้ของฉันก็เอาไว้ทำการทดสอบได้พอดีเลย เราสามารถคาดการณ์อัตราการดรอปของคนปกติได้จริงไหม”
“ก็จริง”
“เเล้วถึงจะเพิ่มค่าSTRหรือVITไปนิดหน่อย ศัตรูอย่างเอนไกก้สามารถฆ่าฮันได้ในพริบตาอยู่ดี เพราะงั้นก็ไม่มีประโยชน์ไหมล่ะ”
ในเกมนั้น การเเย่งอัพสเตตัสให้เท่ากันนั้นเป็นหนทางในการสร้างตัวละครสุดกาก
“ถ้าเป็นอย่างนั้นก็เพิ่มAGIดีไหม อย่างน้อยก็จะได้หลยการฌจมตีได้”
“สาย INT AGI งั้นหรอ” หลังจากที่คิดอยู่สักพัก เธอก็เหมือนจะนึกอะไรออกกระทันหัน “ว่าเเต่พวกอาเธอร์สเเข็งเเกร่งขึ้นไหม”
“อืม ฉันก็อยากรู้เหมือนกัน”
เเค่หมัดเฉี่ยวๆของเอนไคก็เกือบที่จะฆ่าเอธเธลลัมเเล้ว เเต่พวกมันก็ยังสามารถกัดพวกจีโนมจนตายได้ เเล้วจีโนมก็ให้ค่าSPเป็นสองเท่าของเฮลฮาวด์ด้วย
“พวกอาเธอร์สดูไม่เหมือนเฮลฮาวด์ปกติตั้งเเต่เเรกเเล้ว เธอลองประเมิดูได้ไหม”
“ฮันลองเเล้ว เเต่อย่างมากก็เห็นเเค่สภาพปัจจุบัน”
ที่มิโยชิบอก ประเมินนั้นจะทำให้เห็นพวก HP กับ MP ที่เหลือ
“กับมอนสเตอร์ตัวอื่นก็ได้เเบบเดียวกันรึเปล่า”
“ถ้าตอนนี้ล่ะก็ใช่ เเต่สำหรับมอนสเตอร์ ฉันจะเห็นชื่อเเล้วก็สเตตัสเเบบเศษเหลือ เหมือนตอนที่ประเมินรุ่นพี่ครั้งเเรกนั่นเเหละ”
“งั้นตอนเอนไกได้รู้อะไรเพิ่มไหม”
“ไม่เลย”
สกิลนั้นจะพัฒนาไปตามเวลา ผมไม่รู้ว่าประเมินนั้นจะทำอะไรได้บ้างในอนาคต เเต่ตอนนี้มันไม่ค่อยช่วยเรื่องการต่อสู้สักเท่าไร
เเต่ถ้าพวกอาเธอร์สไม่สามารถเเข็งเเกร่งขึ้นได้เเล้ว สุดท้ายเราก็จะไปถึงชั้นที่พวกมันไม่สามารถช่วยสู้ได้
“ถ้าเป็นในเกม สัตว์อัญเชิญจะเเข็งเเกร่งขึ้นตามสเตตัสของผู้ใช้ หรือไม่ก็พวกมันจะมีค่าประสบการณ์เเยกของตัวเอง หรือบางอีเวนต์กกับไอเทมหายากจะทำให้มันเลเวลอัพได้”
ผมคิดอยู่สักพัก “งั้นถ้าเอาหินเวทย์ให้กินอาจจะทำให้มันเเข็งเเกร่งขึ้นงั้นหรอ”
“ประมาณนั้น”
“ทำไมไม่ลองถามเจ้าตัวดูเลยล่ะ”
โดยพื้นฐานเเล้ว พวกมันดูจะเข้าใจที่เราพูด ถ้าเราใช้คำถามเเบบ ใช่ หรือ ไม่ใช่ ก็อาจจะได้ข้อมูลมาเยอะเกินคาดเลยก็ได้
“อ๋ออ เข้าใจเเล้ว” มิโยชิพูด
มิโยชิเริ่มถามคำถามอาเธอร์สเป็นชุดๆทันที เดี๋ยวนะ เธอลืมเรื่องการอัพสเตตัสเเล้วรึไง
พอผมไม่มีอะไรทำ ก็เลยมองออกไปข้างนอกดอลลี่ผ่านมอนิเตอร์ คิดถึงเรื่องที่จะเกิดขึ้นวันพรุ่งนี้ ผมบอกนารุเสะเอาไว้ว่า “เราจะอยู่ในดันเจี้ยนสักพัก เธอทำตัวตามสบายในออฟฟิศได้เลยนะ”
“ก็นะ เธอมีกลาสสิคอยู่ด้วยนี่” ผมพูดกับตัวเอง “เธอน่าจะปลอดภัยระหว่างที่อยู่ที่ออฟ-”
ก่อนที่ผมจะคิดจบก็มีเฮลฮาวด์ตัวนึงโปล่หัวออกมาจากเงาข้างหน้าผม มันเอียงคอเหมือนกำลังจะบอกว่า “เรียกหรอ?”
“นี่มัน…เฮ้ มิโยชิ นี่คือกลาสสิคใช่ไหม”
“เอาจริงๆผมเเยกเอลฮาวด์ทั้งสี่ตัวไม่ออก ผมรู้เเค่ว่าดรัดวินนั้นเริ่มชอบผมเเล้วเท่านั้นเอง”
“ใช่เเล้ว” มิโยชิหันมาหาผมเเล้วตอบ
“ไม่ ไม่ ไม่ใช่สิ กลาสสิคอยู่เฝ้ายามที่ออฟฟิศไม่ใช่หรอ หรือตอนนี้ไม่มีใครคอยอยู่คุ้มกันนารุเสะ?”
“ไม่ ตอนนี้เอธเธลลัมอยู่ที่ออฟฟิศ”
“เอ่อ อะไรนะ”
ที่โดนเอนไกโจมตีไม่ใช่เอธเธลลัมหรอกหรอ
พอเห็นผมงง มิโยชิก็เลยเริ่มอธิบายว่าเฮลอาวด์จะคอยผลัดกันอยู่เฝ้าออฟฟิศ
“ไม่มีใครอยากอยู่เฝ้าออฟฟิสตลอดหรอกนะ”
ก็เข้าใจไได้อยู่หรอก เเต่ว่า…
“เดี๋ยวนะ เกิดอะไรขึ้นเนี่ย ความสามารถเคลื่อนที่ผ่านเงานี่ใช้ระหว่างนอกกับในดันเจี้ยนได้ด้วยหรอ”
“จากที่ฉันเข้าใจ พวกมันสามารถสลับตำเเหน่งกันได้ในระยะทางหนึ่งๆ เเต่มันไมไ่ด้ทำได้ทุกอย่างหรอกนะ”
“เธอไม่เข้าใจหรอว่านี่คืออะไร มิโยชิ มันจะทำให้เราสามารถสื่อสารระหว่างในเเละนอกดันเจี้ยนได้นะ”
“รุ่นพี่หมายความว่ายังไง ลูกหมาพวกนี้พูดไม่ได้สักหน่อย”
“ก็ใช่ เเต่พวกมันจมลงในเงาตอนใส่ตะเกียงนั่นอยู่นะ ถ้าเราติดจดหมายไว้ที่เฮลฮาวด์ พวกมันสามารถนำไปส่งที่อีกฝั่งได้ เเล้วถ้าเราเอาอุปกรณ์บันทึกความจำติดให้พวกมัน เราก็สามารถส่งข้อความหรือวีดีโอได้ตามใจชอบนะ”
“อ็อ รุ่นพี่อยากจะให้พวกมันเป็นคนส่งของนี่เอง เเต่ฉันไม่รู้ว่าของที่ติดดับพวกมันจะสลับตำเเหน่งด้วยรึเปล่า ยังตอบอะไรไมไ่ด้ถ้าไม่ได้ลองน่ะ”
“เเต่ถ้าทำได้จริงๆ เราจะไม่ต้องไปสู้กับโคโลเนียบวอร์มเพื่อหาของที่ไม่รู้ว่ามีจริงรึเปล่าเเล้ว
“รุ่นพี่ไม่อยากจะเข้าใกล้ไอนั่นเลยสินะ”
“ใช่สิ”
มีเเค่ทหารที่ถูกฝึกมาเท่านั้นเเหละที่จะสูุ้กับพวกมันได้โดยไม่อ้วก ผมนี่ไม่สามารถเฟชิญกับของน่าขยะเเขยงนั่นได้เเน่นอน
ตอนที่มีเรื่องของออร์บเข้าใจภาษาต่างโลก นักสำรวจจากทั่วโลกนั้นสู้กับโดคโลเนียบวอร์มจนเป็นเเผลใจ เเต่ก็ไม่มีออร์บอะไรที่เกี่ยวกับการสื่อสารข้ามมิติดรอปมาเลย เเล้วทำไมผมต้องเอาตัวเองไปอยู่ในสถาณการณ์น่าขนลุกนั่นด้วย
“พวกนายอาจจะใช้งานได้ก็ได้นะ” ผมพูด
กลาสสิคเเลบลิ้นออกมา หายใจเเฮ่กๆอย่างมีความสุข เเต่พอมันรู้ว่าผมไม่ได้จะให้อะไร มันก็วิ่งไปอยู่ข้างมิโยชิเเละยื่นเเค่หัวออกมาจากเงา เจ้าเล่ห์ชะมัด
สเตตัสของพวกมันน่าจะขึ้นอยู่กับMPของมิโยชิ
สเตตัสกับสกิลน่าจะเพิ่มขึ้นจากการกินหินเวทย์
เเล้วก็อาจจะเลเวลอัพจากการต่อสู้
“ค่อนข้างคลุมเครือเลยนะ”
“จะโทษเขาไม่ได้หรอก ตอนสเตตัสเราเพิ่มขึ้นเล็กน้อย เราเองก็สัมผัสความเเตกต่างไมไ่ด้เหมือนกัน”
“ก็คงงั้น”
ถ้าอยู่ๆสเตตัสเพิ่มขึ้นมาเป็นสองเท่าก็จะเป็นอีกเรื่องนึง เเต่ถ้าเป็นการเพิ่มทีละหนึ่งไปเรื่อยๆในระยะเวลานาน ก็ไม่น่าจะสังเกตเห็นถึงความเเตกต่าง
“จากท่าทางของคาวัล เหมือนว่าMPจะสำคัญ ฉันควรจะโฟกัสที่INTดีไหมนะ”
“ก็ดี เเต่ตอนนี้อย่าอัญเชิญเฮลฮาวด์มาเพิ่มล่ะ เดี๋ยวจะลำบากทีหลัง”
ตอนนี้เราไม่สามารถส่งเฮลฮาวด์ที่อัญเชิญมาเเล้วกลับไปได้ ถ้าเกิดเรามีพวกมันมากเกินไป บางคนอาจจะพยายามให้เราบริจาคพวกมันสักตัวให้เอามาวิจัยเเน่ เเถมพวกอาเธอร์สนั้นเหมือนกันหมด ถ้าผมเเยกพวกมันสี่ตัวไมไ่ด้ ไม่ต้องพูดถึงจะเเยกเป็นสิบตัวเลย
“ก็คงงั้น” มิโยชิพูด “เเต่เรื่องค่าAGIน่ะ นอกจากการหลบเเล้ว ตอนนี้ฉันตามรุ่นพี่ไม่ค่อยจะทัน ฮันเลยอยากจะเพิ่มAGIด้วย”
“ปัญหาคือความเร็วงั้นหรอ ก้จริง ถ้ามีคนอยู่เยอะๆฉันคงวิ่งทั้งๆที่หิ้วเธอไปด้วยไม่ได้”
“ที่จริงถึงไม่มีคนอยู่ ฉันก็ไม่ชอบนะ”
“งั้นเอาล่ะ ฉันเพิ่มAGIเธอให้เป็น20 ส่วนINTก็เป็น40เเล้ว รู้สึกถึงความเเตกต่างไหม”
ชื่อ : มิโยชิ อาสึซะ
SP : 19.937
HP : 23.60
MP : 69.60 (104.4)
STR : [-] 8 [+]
VIT : [-] 9 [+]
INT : [-] 40 [+]
AGI : [-] 20 [+] [30]
DEX : [-] 13 [+]
LUC : [-] 10 [+]
“โอ้ ว้าว รู้สึกตัวเบาขึ้นเลย”
“ถ้ารวมผลจากกำไลด้วย ความคล่องเเคล่วของเธอเพิ่มขึ้นเกือยสามเท่าในทีเดียวเลย ถ้าไม่ระวังอาจจะวิ่งชนกำเเพงก็ได้นะ”
ตอนเเรกที่ผมเพิ่มAGIเป็น100 ผมก็เป็นเเบบนั้นเหมือนกัน เเต่เพราะว่าผมเพิ่มVITเป็น100ด้วย ก็เลยไม่บากเจ็บอะไร เเต่ค่าVITของมิโยชินั้นเท่ากับคนปกติ ผมไม่อยากเห็นเธอกลายเป็นซอสมะเขือเทศที่กเละเทะหรอกนะ
“ฉันไม่วิ่งไปชนกำเเเพงหรอกน่า ไม่ใช่รุ่นพี่สักหน่อย”
“จ้า จ้า อ้อ เเล้วเพื่อทำให้ประเมินง่ายขึ้น ฉันจะเพิ่มค่าSTRกับVITของเธอให้หารสิบลงตัวด้วยก็เเล้วกัน”
“ก็ดีนะ” มิโยชิพูดพลางมองสเตตัสของเธอที่จดอยู่บนกระดาษ “ถ้างั้นก็เพิ่มค่าSTRกับVITของฉันให้เป็น10 เเล้วก็เพิ่มINTเป็น50 ส่วนที่เหลือก็เอาไปใส่DEXเลย”
“ใช้ได้”
“เศษที่เหลือน่าจะกลายเป็นหนึ่งเเต้มในอีกไม่นาน ถึงตอนนั้นเเล้วรุ่นพี่ช่วยเอาไปเพิ่มใส่ค่าDEXให้อีกทีนะ ฉันอยากจะให้มันถึง20”
“เข้าใจเเล้ว”
สุดท้ายเเล้ว สเตตัสของมิโยชิก็เป็นไปตามนี้ ตัวเลขที่อยู่ในก้ามปูจะเป็นตัวเลขหลังจากรวมผลของไอเทมบัฟเเล้ว
ชื่อ : มิโยชิ อาสึซะ
SP : 0.937
HP : 27.0
MP : 86.80 (130.2)
STR : [-] 10 [+]
VIT : [-] 10 [+]
INT : [-] 50 [+]
AGI : [-] 20 [+] [30]
DEX : [-] 19 [+]
LUC : [-] 10 [+]
ผมยังห่วงเรื่องHPของมิโยชิอยู่ เเต่เพราะMPของเธอจะช่วยดูดความเสียหายไปเกือบหมด ก็คงน่าจะโอเคเเล้วล่ะ
“หวังว่านี่จะช่วยให้พวกอาเธอร์สเเข็งเเกร่งขึ้นนะ”
“ใช่ เเบบนั้นก็ดีเลย” มิโยชิเห็นด้วย
“เเต่พูดถึงไอเทม….เธอเห็บบัลลังค์นั่นไปใช่ไหม”
มิโยชิตอบสนองด้วยท่าทางตกใจจนเกินเหตุ เธอเอามือซ่อนอยู่ข้างหลังเเละพยายามจะซ่อนความรู้สึกผิดด้วยการหัวเราะ “อุ๊ป โดนจับได้ซะเเล้ว ฉันเเค่อยากรู้น่ะว่าเราสามารถเก็บไอเทมที่ไม่ใช่ของดรอปได้รึเปล่า”
“ฉันจะไม่รู้ได้ไง ก็ของมันใหญ่ซะขนาดนั้น เเต่เธอประเมินมันเเล้วใช่ไหม”
“ใช่ ประเมินไปเเล้วตอนเก็บเข้าสโตเรจ ชื่อของมันก็คือบัลลังค์เเห่งงาย เเต่เพราะมันทำจากทองจริงๆก็เลยหนักเกินไปที่จะเอาออกมาวางในรถRVน่ะ”
พอพูดจบ เธอก็เขียนสิ่งที่เห็นจากการประเมินมาให้ดู ความจำดีชะมัด
บัลลังค์เเห่งงาย
สร้างมาจากทองคำเเห่งงาย
อัตราการฟิ้นฟู HP +200%
อัตราการฟื้นฟู MP +200%
หากเจ้าพยายามขึ้นนั่งบนบัลลังก์นี้ จงพิสูจน์ตนว่ามีความแข็งแกร่งคู่ควร
หากไม่สามารถทำได้ บัลลังก์นี้จะปฏิเสธเจ้าเอง
“โห มันเป็นบัลลังค์ของงายจริงๆด้วย เเล้วก็ดูเหมือนจะหนัก 100 กิโลกรัม เเต่ว่านะ…”
“โธ่ รุ่นพี่ ถ้ามันหนักเเค่ร้อยกิโลจริงๆ ฉันก็จะเอาออกมาวางในดอลลี่เเล้ว ความหนาเเน่ของทองคำคือ 19.3 ถ้าปัดให้เป็น 20 หนึ่งร้อยกิโลก็จะเป็นเเค่ ห้าพันลูกบาศก็เซ็นติเมตรเท่านั้นเอง”
ห้าพันลูกบาศก์เซ็นติเมตรก็คือ 10x10x50 เซ็นติเมตร
ผมคิดเลขอยู่ในใจพักนึง “งั้นถ้ามันทำด้วยทองทั้งหมดจริงๆ หนึ่งร้อยกิโลก็น่าจะเเค่ ขาข้างนึงเท่านั้นหรอ”
“ใช่ เพราะงั้นบัลลังค์ทั้งบัลลังค์ก็น่าจะหนักมมากกว่า 600 กิโลกรัม”
“เข้าใจละ เเต่ถ้าไปนั่งบนบัลลังค์ทองคำบริสุทธิ์ ขากับพนักหลังจะต้องงอเเน่นอน”
“มันอาจจะเป็นเหตุผลที่สกิลประเมินเขียนไว้ว่า “ทองคำเเห่งงาย””
ผมสะอึก “เเต่ถ้าดูเฉพาะผลอย่างเดียว มันก็ดูเหมือนเก้าอี้เพื่อสุขภาพหลังส่วนล่างเลย”
“มันดูทำให้ฟื้นฟูได้อยู่นะ”
ในบางกรณี ความเร็วในการฟื้นฟูHPกับMPเพิ่มขึ้นสามเท่านั้นต้องมีประโยชน์เเน่ๆ
“เเล้วเฟลเวอร์เท็กซ์ล่ะ หมายความว่ายังไง”
มิโยชิกอดอกเเละขมวดคิ้ว “ต้องมีอะไรซ่อนอยู่เเน่ๆ ถ้ามีคนอื่นที่ไม่ใช่งายมานั่ง ดูเหมือนอาจจะถูกสาบ”
“อย่าน่า ไม่ใช่หน้ากากตุตันคาเมนสักหน่อย ในยุคสมยัเเบบนี้ การเชื่อเรื่องคำสาบนี่มัน… เอ่อ จะว่าโง่ก็ไม่ได้เเล้วเเหะ”
เเรวคิดเรื่องคำสายนั้นไร้สาระ เเต่เมื่อสามปีก่อน การมีมอนสเตอร์เดินเพ่นพ่านในดันเจี้ยนก็ไร้สาระเหมือนกัน ตอนนี้อะไรก็เป็นไปได้ทั้งนั้น
“ถ้าเราเเปลตรงตัวเลย มันก็อาจจะไม่ใช่คำสาบ เเต่จะนั่งไม่ได้เท่านั้นเอง” ผมพูด
“ส่วนที่บอกว่า “ต้องพิสูจน์ความเเข็งเเกร่ง”เนี่ย น่าสงสัยสุดๆ ไม่ใช่ว่าพอนั่งลงปุปจะมีอะไรบางอย่างโผล่มาสู้กับคุณ เหมือนตอนถูกตะเกียงจินนี่นะ”
“อย่าพูดเเบบนั้นสิ”
มิโยชิกับผมมองหน้ากัน เพราะว่าเรื่องนี้เป็นไปได้เอามากๆ เราเลยสาบานว่าเราจะไม่ไปนั่งบนบัลลังค์อีกสักพักนึง
“งั้นไอเทมที่เราได้จากยอดเขาก็หมดเเค่นี้หรอ”
“อ้อ ฉันมีอีกอย่างนึง เเต่ว่าไมไ่ด้ได้มาจากยอดเขานะ”
มิโยชิหยิบอะไรบางอย่างที่ดูเหมือนจะเป็นกิ่งไม้ออกจากสโตเรจ
ผมเลิกคิ้ว “นั่นอะไรน่ะ”
“มุหุหุ” มิโยชิตอบด้วยเสียงหัวเราะเเปลกๆ ทำหน้าภูมิใจในตัวเอง
“เลิกทำรอยยิ้มชั่วร้ายน่าขยะเเขยงนั่นทีเถอะ”
“ขยะเเขวงหรอ หยาบคาย กิ่งไม้นี้มาจากต้นมุหุหุ ฟังดูเหมือนเสียงหัวเราะน่าขนลุกใช่ไหม เราน่าจะเรียกมันว่า “ทีฮี่ฮี่” นะ”
“เอ่อ ทีฮี่ฮี่หรอ”
“ชื่อจริงๆของมันคือ บราคีลาเอนา ฮุยเลนซิส เเต่คนเรียกกันว่า มุฮู่ฮู่ เหมือนคำหลังจะเป็นภาษาสวาฮีลีนะ”
มิโยชิบอกว่า ท่อนไม้มุฮู่ฮุ่นั้นสาวนมากจะถูกนำมาใช้เป็นพื้นที่จะต้องวางอุปกรณ์ขนาดใหญ่เพราะมันเป็นไม้ที่เเข็งมาก
“ปกติมันจะโตในป่าเเห้งๆบนที่ราบ เเต่มันก็โดตที่นี่เหมือนกัน เหมือนที่เขาเคนย่า”
“เเล้วเธอมีมันได้ยังไงนะ”
“ตอนฉันตัดกิ่งนี่ออกมา มันไม่กลายเป็นเเสงสีดำ” มิโยชิเก็บมุฮู่ฮู่ลงสโตเรจ เปลี่ยนท่านั่งใหม่เเละทำหน้าจริงจัง
“รุ่นพี่ เราไม่สามารถนำมอนเสตอร์ออกมาจากดันเจี้ยนได้เพราะมันจะหายไปหลังจากถูกกำจัดใช่ไหมล่ะ”
“ใช่”
“ถ้าเป็นเเบบนั้น เราจะสามารถนำหินหรือไม้ออกมาจากดันเจี้ยนได้รึเปล่า”
ผมไม่เคยคิดถึงเรื่องนี้มาก่อนเลย หลังจากที่สำรวจดันเจี้ยนเสร็จ เสื้อผ้าที่เปื้อนฝุ่นก็ไม่กลับไปเป็นสะอาดเหมือนใช้เวทมนตร์ตอนกลับมาที่โลก เราน่าจะคิดได้ว่าทุกสิ่งที่ประกอบด้วยฝุ่นดินสามารถขนย้ายได้
“ถ้าใช้คอมมอนเซ็นส์เเล้ว ทุกอย่างก็น่าจะอยู่เหมือนเดิม”
“เเต่น่าจะยังไม่มีใครลองทดสอบดู”
เครื่องมือทำเเผนที่สามมิตินั้นเป็นตัวจุดประกายคำถามนี้กับมิโยชิ เธอรู้สึกถึงอะไรบางอย่างหลังจากเราลงไปที่ชั้นสอง โดยทางปกติที่เราใช้ พวกรูปร่างของพืชที่ถูกสร้างด้วยอุปกรณ์ทำเเผนที่สามมิตินั้นจะเหมือนกันตลอด บางทีอาจจะไม่มีใครไปทำอะไรกับพืชพวกนั้น เเต่มันจะเป็นไปได้จริงๆหรอที่ไม่เคยมีใครทำกิ่งไม้หักเลย เเม้เเต่ไปยุ่งเล็กๆน้อยๆก็ไม่มีงั้นหรอ
“ฉันเข้าใจที่เธอพยายามจะบอกเเล้ว เเต่ถ้าต้นไม้ที่ถูกโค่นไปอยู่ดีๆวันนึงก็ฟื้นขึ้นมามันน่าจะสังเกตเห็นได้ง่ายๆนะ เเล้วฉันก็ไม่เคยได้ยินว่าเกิดเรื่องทำนองนี้ขึ้นด้วย”
“น่าจะเป็นเพราะไม่มีใครสำรวจเรื่องนี้จริงๆในสามปีที่ผ่านมามากกว่า เเถมทำไมไม่มีต้นไม้ตายหรือขึึ้นใหม่ในเวลาสามปีนี้เลยล่ะ ฉันไม่คิดว่าจะมีใครมาดูเเลพวกมันหรอกนะ”
เรื่องนี้ตรงประเด็นเลย ผมไม่เคยได้ยินใครบ่นว่า “หญ้าข้างทางเดินมันเริ่มสูงไปเเล้วนะ เราควรจะเล็มมันสักหน่อย”
จะว่าไป ผมก้สงสัยเเบบเดียวกันเกี่ยวกับลูกน้องที่ถูกอัญเชิญมาตอนสู้กับบอส ลูกน้องของฮาวด์ออฟเฮคาเต้นั้นไม่หายไปจนกว่าจะถูกอัญเชิญใหม่หรือจนกว่าบอสจะตาย ถ้าเป็นเเบบนั้น คุณสามารถนำเฮลฮาวด์ที่ถูกกำจัดไปกลับขึ้นไปบนโลกได้ไหม ลองจินตนาการว่ามีนักสำรวจที่สู้กับฮาวด์ออฟเฮคาเต้เเต่ไม่ยอมกำจัดบอส ในระหว่างนั้นนักสำรวจคนอื่นก็สามารถชันสูตรเฮลฮาวด์ลูกน้องบนโลกได้รึเปล่า
ในอีกเเง่นึง ดันเจี้ยนก็“ยอม”ให้มนุษยชาตินำไอเทมดรอปกลับสู่โลกด้วย เเต่ทว่าจะยินยอมไปถึงขั้นไหนนั้นยังไม่มีใครพิสูจน์อย่างจริงจัง
“เลยเลยตัดกิ่งไม้เพื่อที่จะดูว่ามันงอกใหม่รึเปล่าหรอ” ผมถาม
“ใช่ เพราะมันอยู่ข้างดอลลี่เลย ฉันตัดสินใจที่จะไม่ทดลองกับก้อนหินเพราะเราคงหาไม่เจอถ้ามันไม่ได้เกิดใหม่ที่เดิม”
มอนเสตอร์ไม่ได้เกิดใหม่ในทันทีในจุดที่พวกมันถูกกำจัด มันน่าจะไปโผล่ในที่อื่นบนชั้นเดียวกันซะมากกว่า ในดันเจี้ยนที่ใหญ่เเบบโยโยกินั้นมันไม่มีทางยืนยันเรื่องนี้ได้เลย
“ถ้ากิ่งไม้ที่เธอตัดไปมันงอกขึ้นมาใหม่จริง มันจะมีประโยชน์อะไรล่ะ”
ใช่ ในดันเจี้ยนนั้นมีต้นไม้ใหญ่อยู่มากมาย เเต่ก็ไม่ได้มากขนาดจะใช้เป็นเเห่งผลิตไม้ อย่างมากคือเเค่สามารถถที่จะขายเฟอร์นิเจอร์ที่จำจากไม้ดันเจี้ยนได้ในราคาพรีเมียม เเต่มันไม่น่าจะมีผลกระทบอะไรใหญ่โตกับโลก
“จำเรื่องที่เราคุยกันเรื่องดรอปอาหารได้ไหม”
“หือ อ๋อ จำได้สิ”
“สำหรับพื้นที่ที่ขาดเเคลนอาหาร เรื่องนั้นจะเป็นเรื่องที่วิเศษมากเลยล่ะ” มิโยชิยักไหล่ “เเต่ว่าปัญหาก็คือจำนวนนักสำรวจ ฉันเลยคิดเรื่องนี้ขึ้นมาได้ ในดันเจี้ยนมีสิ่งเเวดล้อมหลากหลายใช่ไหมล่ะ”
“ใช่ ในโยโยกิ ชั้น 11 เป็นชั้นลาวา ชั้น 19 กับ 20 เป็นชั้นน้ำเเข็ง”
“เเม้เเต่ในพื้นที่หนาวเย็นหรือเเห้งเเล้งที่ไม่สามารถทำหาร์มได้ เเต่ดันเจี้ยนของพื้นที่นั้นๆอาจจะมีชั้นที่มีสภาพเเวดล้อมเหมาะสมกับการเพาะปลูกก็ได้”
ก็ใช่ ดันเจี้ยนอื่นๆนั้นก็อาจจะเหมือนกับโยโยกิ ที่ชั้นสองกับชั้นสี่เป็นทุ่งหญ้าเเล้วก็ป่า
“ถ้าเกิดเราสามารถทำฟาร์มเเบบกว้างขวางในชั้นพวกนั้นได้ล่ะ ถ้าเราสามารถเก็บเกี่ยวข้าวสาลีในสภาพเเวดล้อมนั้น ดันเจี้ยนจะยอมให้เรานำมันกลับออกมายังโลกไหม”
“หรือก็คือ ถ้าเราสามารถตัดต้นไม้เเล้วนำออกมาที่โลกได้ เราก็น่าจะเก็บเกี่ยวข้าวสาลีที่โตในที่เดียวกันได้งั้นหรอ โดยที่ไม่กลายเป็นเเสงสีดำล่ะนะ”
“ใช่เลย”
“เเต่ถ้ามันเป็นไปได้จริง โยโยกิมีรัศมีเเค่ 5 กิโลเมตร เเถมนี่เป็นดันเจี้ยนขนาดค่อนข้างใหญ่เเล้วด้วย การทำการเกษตรเเบบเต็มรูปแบบก้น่าจะเป็นไปไม่ได้นะ”
“ตรงจุดนั้นเเหละรุ่นพี่ ที่ทำให้ผลการทดลองนี้มันสำคัญมากยังไงล่ะ”
“เดี๋ยว อย่าบอกนะว่า…”
ตอนนี้เราเเค่ทดสอบว่า ต้นไม้ที่ถูกตัดไปจะงอกออกมาใหม่หรือไม่ เเต่ทว่าขั้นต่อไปก็คือ พืชที่ปลูกอยู่ข้างนอกดันเจี้ยนจะสามารถ“โต”ในดันเจี้ยนได้หรือไม่
“ถ้าเอาตรงๆเลยก็คือ ถ้าเราสามารถนำพืชจากข้างนอกมาปลูกในดันเจี้ยน เเล้วมันสามารถงอกขึ้นมาใหม่ได้-” ผมพูด
“ใช่เเล้ว” มิโยชิพูดเเทรกขึ้นมา “อย่างเช่นเรานำเมล็ดธัญพืชจากข้างนอกมาปลูกในดันเจี้ยน เเล้วดันเจี้ยนถือว่าพืชต้นนั้นเป็นส่วนหนึ่งของดันเจี้ยนเเล้วล่ะก็”
“เราก้จะสามารถเก็บเกี่ยวธัญพืชนั้นได้ไม่จำกัด เหมือนเรามีพื้นที่เพาะปลูกเวทมนตร์เลยล่ะสิ” ผมเเทรก
“ฟังดูสุดยอดไปเลยใช่ไหมล่ะ”
ใช่ สุดยอดจริงๆ ถ้าทำได้จริงมันจะเป็นการค้นพบที่ใหญ่ที่สุดในรอบหนึ่งร้อยปีเเน่ๆ
เเต่เดี๋ยวก่อน
“เเล้วมันเกี่ยวข้องยังไงกับบัลลังค์เเห่งงายนะ”
มิโยชิยืนขึ้นเเละเบิกตาโต จากนั้นก็กำมือทั้งสองข้างเเละโบกมันขึ้นลงเหมือนกำลังพยายามอธิบายอย่างเเข็งขัน “เอาจริงดิ รุ่นพี่ ถ้าบัลลังค์นั่นสร้างขึ้นจากทองคำเเล้วจะกลับมาใหม่ทุกครั้งพร้อมๆกับงาย เราจะได้ทองคำหกร้อยกิโลกรัมทุกวันเลยนะ! ภายในสิบวันเราจะสามารถผลิตทองได้เท่ากับที่เหมืองฮิชิคาริทำได้ภายในหนึ่งปีเลย! ตอนนี้เราไม่ต้องสนใจชั้น 15 เเล้วก็ได้”
ไม่เห็นเกี่ยวอะไรกับการเกษตรสักนิด
“เเต่เเผนนี้มีปัญหาใหญ่เลยนะ เกี่ยวพันถึงชีวิตเลยด้วย”
ต้องเป็นพวกสติหลุดหมกหมุนกับการต่อสู้ขนาดไหนถึงอยากจะสู้กับงายทุกวันกัน เเต่ว่านอกจากบัลลังค์เเล้ว ได้เเต้มสเตตัส 90 เเต้มมันก็น่าสนใจอยู่เหมือนกัน เเต่อีกเเง่นึงมันก็ต้องมีเหตุผลที่ทำให้เขาให้ค่าSPมากขนาดนั้น เทพนั่นจะต้องมีไพ่ตายซ่อนเอาไว้เเน่ๆ
“เเบบนั้นก็ถูกเเหละ” มิโยชิหัวเราะ
“เห้ออ หวังว่างายจะไม่เกิดใหม่บนบัลลังค์นี่ก็เเล้วกัน”
มิโยชิดูตกใจผิดปกติ “เเย่เเล้ว ฉันไมไ่ด้คิดถึงเรื่องนี้เลย”