ดี-เจเนซิส : สามปีหลังจากดันเจียนปรากฏขึ้น - ตอนที่ 49 เล่ม 3 : เฮเว่นส์ลีคส์ (3)
- Home
- ดี-เจเนซิส : สามปีหลังจากดันเจียนปรากฏขึ้น
- ตอนที่ 49 เล่ม 3 : เฮเว่นส์ลีคส์ (3)
โยโยกิดันเจี้ยน ชั้น 18
“โอ้โห!” มิโยชิกับผมร้องขึ้นมาพร้อมกัน
พอเราลงไปที่ชั้น 18 ทิวทัศน์ที่เห็นนั้นทำให้เราอึ้งไปเลย ภูมิทัศน์รกร้างปรากฏขึ้นเบื้องหน้าเรา ก้อนหินขนาดใหญ่กระจัดกระจายอยู่บนพื้นดินสีดำหม่น ที่ใต้เท้าเรามีหน้าผาสูงชันที่มีทะเลหมอกเเผ่ขยายออกไปไกลจนสุดสายตา
“ดันเจี้ยนมันลึกไปถึงใต้เมฆนั่นรึเปล่านะ” ผมถาม “ถ้าเป็นงั้นมันน่าทึ่งมากเลยนะ”
“เหมือนมันลึกสัก 12 กิโลเมตรได้เลย”
“ไม่เเปลกใจเลยที่เเปนที่ของชั้นนี้ยังไม่เสร็จดี”
“เเต่ฉันก๊อปปี้ไว้ก่อนก็เเล้วกัน”
มิโยชิหยิบเเท็ปเล็ตออกมาเเละเปิดแผนที่ของชั้นสิบแปด พื้นที่ที่ถูกสำรวจเเล้วเเผ่ขยายเป็นวงกลมออกจากบันไดทางขึ้นและไปสุดที่บันไดทางลงเหมือนที่เราเคยเห็นในเเบบกระดาษ เว้นเเต่ว่าส่วนที่ยื่นออกไปทางยอดเขาก็ได้รับการสำรวจเเล้วเหมือนกัน
ผมมองลงไปที่ทะเลเมฆที่อยู่ใต้เท้า มันมีทางลาดที่เกิดจากภูเขาที่ทรุดลงอยู่ ดูเเล้วสามารถปีนลงไปได้
“เอาล่ะ ชักเข้าใจความรู้สึกของหน่วยสำรวจเเล้ว”
มองไม่เห็นพื้นเลย ทิวทัศน์ที่งดงามยิ่งทำให้รู้สึกท้อใจมากขึ้น เเล้วพอมองขึ้นไปข้างบนก็จะเขียนยอดเขาเเหลมสูงพุ่งขึ้นไปบนฟ้าหลายยอด ยอดเขาที่โดดเด่นที่สุดในบรรดายอดเขาใหญ่เหล่านี้ค่อยๆ สูงขึ้นอย่างมั่นคง ดูคล้ายกับหยดปรอทที่รวมตัวกันและขยายตัวในโพรงที่ถูกสลักขึ้นจากอะลูมิเนียม
ผมใช้ปลายนิ้วโป้งเตะก้อนหินสีดำที่อยู่ที่เท้า “ดูเหมือนจะเป็นหินบะซอลท์นะ”
มิโยชิพยักหน้าเเละมองขึ้นไปที่ภูเขา “เหมือนเขาเคนย่าเป๊ะเลย”
ผมหยีตาเเละมองไปที่ภูเขา
“ยังไงก็เหอะ ถ้ำที่เราตามหาอยู่จะอยู่ที่ฐานของเขาลูกนั้น เหมือนมันจะชื่อว่า “บาเทียน””
“มันเป็นบริเวณห้ามเข้าที่เราคุยกับนารุเสะใช่ไหม ที่เธอบอกว่ามีอะไรอยู่บนนั้น”
“ติ๊งๆ ถูกต้องนะค๊าา”
พอเห็นเขาลูกนี้ ทหารSDFที่ชื่นชอบการปีนเขาก็ทนไม่ไหว สุดท้ายเเล้วเขาก็พบกับหายนะ สาเหตุการตายนั้นเป็นปริศนามาจนถึงทุกวันนี้
“มีอะไรอยู่บนนั้นงั้นหรอ มันจะทำให้คนอยากรู้มากว่าจะทำให้คนระวังน่ะสิ นึกภาพออกได้เลยว่าพวกสื่อกับมือใหม่จะต้องรีบมาที่นี่กัน”
“รุ่นพี่อาจจะลืมไป เเต่ที่นี่คือชั้น 18 นะ ไม่มีคนจากสถานีโทรทัศน์คนไหนกล้ามาที่นี่หรอก เเล้วถ้ามีมือใหม่พยายามมาที่นี่ น่าจะไม่รอดตั้งเเต่ชั้น 10 เเล้วล่ะ”
“เเล้วถ้าเป็น โยชิดะ ฮารุกิ ล่ะ”
ผมรู้เรื่องที่อีเเวนส์ดันเจี้ยนถูกพิชิตเเล้วก็มาจากการสัมภาษณ์ทางวิทยุกับเขาที่เเหละ ถ้าเป็นโยชิดะล่ะก็ ผมคงไม่เเปลกใจที่จะได้ยินว่าจะมีโปรเจคการสำรวจโดยมีเขาเป็นหัวหอก เขาน่าจะท่องเที่ยวไปที่ดันเจี้ยนทั่วโลก พยายามเปิดเผยความลับเเละพยายามล่าสิ่่งมีชีวิตปริศนา
“จากข่าวลือที่ได้ยินมาเกี่ยวกับโยชิดะ เขาเป็นคนจริงจังอย่างน่าตกใจเลยล่ะ ฉันว่าเขาคงจะต่อต้านการสร้างสารคดีล้อเลียน เเล้วก็ถ้าเขาอยากจะมาที่นี่จริงๆก็คงเป็นไปไมไ่ด้หรอก เพราะรายการโทรทัศน์เกี่ยวกับดันเจี้ยนช่วงนี้ไม่ค่อยเป็นที่นิยมเท่าไร”
ถ้าจะอุปกรณ์มาถ่ายทำที่นี่จะจำเป็นที่จะต้องมีนักสำรวจจำนวนมากมาคอยคุ้มกัน ทั้งหมดที่คงใช้เงินจำนวนมหาศาล คล้ายๆกับการไปทำรายการที่ใต้ทะเลลึก
“เเต่ทั้งหมดนี่ก็ทำให้ฉันสงสัยจริงๆนะ ถ้าข้างบนนั้นมียูนีคบอสอยู่ จะเหมือนกับฮาวด์ออฟเฮคาเต้ที่ฉันเคยสู้ไหมนะ”
“น่าจะ เเล้วถ้าเป็นบอสตามตำนานของเขาเคนย่า ก็จะเป็นเทพเจ้าเลยนะ”
“เทพเจ้าหรอ เอาจริงดิ”
มิโยชิมองไปที่ยอดเขาอีกครั้ง “เพราะอีกชื่อนึงของเขาเคนย่าคือ คิรินยากะ ยังไงล่ะ”
ชนพื้นเมืองชาวคิคูยูเรียกเขาเคนย่าว่า คิรินยากะ ที่เเปลว่า ภูเขาเเห่งเทพ พอมาคิดๆดู ผมเคยอ่านเกี่ยวกับเรื่องนี้ในนิยายของ ไมค์ เรสนิค ถ้าจำไม่ผิดเทพเจ้านั้นมีชื่อว่า ‘งาย’
“ตามที่เค้าเล่ามา เทพพระอาทิตย์ เอนไค นั่งบนบัลลังก์ทองที่ยอดเขา”
“เทพเจ้าสินะ…” ผมยังสงสัยอยู่
“เเล้วก็ เอนไคนั้นอ่านว่า “‘งาย‘ ในภาษาคิคูยุ ไนอาร์ลาธโธเทปอาจจะโผล่มาก็ได้นะ”
“ถ้าเป็นป่าในวิสคอนซิลทางเหนือล่ะก็ไม่เเน่”
ป่าเเห่งเอนไก เป็นป่าที่ไนอาร์ลาธโธเทปอาศัยอยู่ ตามเรื่องสั้นเรื่องหนึ่ง ป่านั้นจะอยู่ที่ทางเหนือของวิสคอนซิล เเน่นอนว่าเรื่องพววกนี้ไม่ได้เกี่ยวข้องอะไรกับเอนไคหรอกนะ
“แต่ถ้าเป็นในดันเจี้ยน เราจะละเลยการเล่นคำไม่ได้หรอกนะ”
ก็จริง ตั้งเเต่เกมวิซาดรี่เมื่อนานมาเเล้ว เกมฝั่งตะวันตกจะเกี่ยวกับปริศนาการเล่นคำทั้งนั้น เรื่องที่ว่าดันเจี้ยนนั้นจะเอาข้อมูลมาจากเกมฝั่งตะวันตกรึเปล่านั้นยังต้องถกเถียงกันต่อไป เเต่ถ้าเป็นจริงผมต้องรู้เเน่ๆ
ผมส่ายหัว “ถ้าไนอาร์ลาธโธเทปจะปรากฏขึ้นในชั้น18จริง ผมต้องวิ่งหนีหางจุกตูกกลับบ้านเเละสาบานว่าจะไม่มาเหยียบดันเจี้ยนเป็นครั้งที่สองเเน่ๆ” ผมพูดเสร็จผมก็เปลี่ยนความคิดในหัวเเละมองขึ้นไปที่เขาบาเทียน
“เอาล่ะ เราปล่อยเรื่องการสำรวจยอดเขาเเละผู้อยู่อาศัยอันน่าสะพรึงกลัวให้คนอื่นกันเถอะ พวกเรามาสำรวจตีนเขาอย่างลับๆกันเถอะ”
“ฟังดูเหมือนเป็นเดธเเฟลคนะ” มิโยชิพูด
“อย่าไปที่นั่น”
ผมรู้สึกไม่ดีเมื่อได้ยินมิโยชิพูด ก็เลยหยิบออร์บอันนึงออกมาจากวอลท์เเละยื่นให้เธอ
“อะไรเนี่ย”
“เป็นออร์บสัมผัสภยันตรายที่ดรอปได้จากวูลฟ์เมื่อวันก่อน ฉันอยากจะเธอใช้มันเผื่อเอาไว้”
“เเล้วรุ่นพี่ล่ะ”
“ตามที่เธอประเมินเมื่อครั้งก่อน มันจะตรวจจับอันตรายที่จะเกิดขึ้นกับผุ้ใช้เท่านั้นถ้าฉันใช้ก็อาจจะไม่รู้ถึงอันตรายที่จะเกิดขึ้นกับเธอ”
มิโยชิพยักหน้าเเละชูออร์บขึ้นเหนือหัว “ฉันคงต้องละทิ้งความเป็นมนุษย์ในอีกไม่นานเเล้วล่ะ” เธอพูดเเละใช้สกิลออร์บ
ก็จริง จำนวนสกิลที่เรามีอาจจะทำให้เกิดปัญหาก็ได้
“เธอคิดว่าเราจะใช้ออร์บได้กี่ลูก”
“เกมส่วนมากจะมีการจำกัดจำนวนสกิลที่สามารถได้รับได้ ส่วนนึงก็เพราะเป็นเรื่องของบาลานซ์ เเต่ถึงอย่างนั้น…”
“อะฮะ”
“ความเป็นจริงมันเป็นเกมกากๆหนึ่งดาวน่ะสิ ถ้าการใช้ออร์บครั้งนึงจะทำให้ชีวิตสั้นลงนิดนึงล่ะก็นะ ฉันต้องโกรธจัดแหงๆ”
“บทลงโทษงั้นหรอ ไม่เคยนึกถึงเลยเเหะ เเต่ถ้ามีจริงๆ มันน่าจะมีเขียนอยู่ในจารึกหรือจากสกิลประเมินสิ”
“เเต่ว่าสกิลเองก็มีเลเวลของมันใช่ไหมล่ะ”
หรือก็คือสกิลประเมินเลเวลต่ำอาจจะมองไม่เห็นบทลงโทษก็ได้
“เป็นสมมุติฐานที่น่าหนักใจเลยนะ”
“เเต่จนมาถึงตอนนี้ก็ยังไม่เห็นมีปัญหาอะไร พวกเราคงไม่เป็นอะไรเเหละ”
อืมม เเต่ถ้ามีบทลงโทษโดยการลดอายุขัยจริงๆ ก้คงไม่มีใครรู้จนตายนั่นเเหละ เเต่คิดว่าถ้ามันมีบทลงโทษร้ายเเรงขนาดนั้นจริงๆ มันต้องขึ้นมาให้เห็นในสกิลประเมินอย่างเเน่นอน
ระหว่างที่คุยกัน ผมก็ตามมิโยชิที่กำลังปีนขึ้นทางลาดไป จากนั้นพวกเราก็มุ่งไปยังถ้ำใต้ดินที่มีจีโนมอยู่
“ไม่มีใครอยู่เลยเเหะ นารุเสะพูดถูกจริงๆว่าที่นี่มันร้าง”
“ชั้นหนึ่ง ชั้นสิบ เเล้วก็ที่นี่ ช่วงนี้ชะตาพาเรามาชั้นที่ไม่มีคนอยู่จริงๆ”
“คิดซะว่าโชคดีก็เเล้วกัน”
เเละก็ยังโชคดีอีกที่วิธีการต่อสู้ของพวกเรายังใช้ได้ในชั้นนี้ หลังจากที่กำจัดมอนสเตอร์ที่ดูคล้ายไอเบ็คส์ที่เป็นเเพะภูเขากับต้นสนเดินได้ไปหนึ่งชั่วโมง พวกเราก็มาถึงงที่ๆดูเหมือนเป็นทางเข้าของถ้ำใต้ดิน
“เหมือนนี่จะเป็นถ้ำที่ใกล้เขาเคนย่ามากที่สุดนะ”
เหมือนว่าจำนวนของจีโนมจะเพิ่มมากขึ้นเมื่อเข้าใกล้เขา เราต้องกำจัดมันเป็นจำนวนมากกเลยต้องเลือกที่ๆมีมอนสเตอร์เยอะมากที่สุดเท่าที่จะทำได้
ทางเข้าของถ้ำดูคล้าย ทางเข้าของกามาที่ใหญ่เล็กน้อย ตอนเเรกผมคิดว่าทางเข้าจะใหญ่กว่านี้ซะอีก
“น่าทึ่งที่มีคนหาเจอนะเนี่ย”
มิโยชิมองไปรอบๆอย่างเป็นกังวลเรื่องความปลอดภัย “ฉันทึ่งที่มีคนกล้าเข้าไปมากกว่า”
“นอกจากพวกนักปีนเขา ในทีมสำรวจอาจจะมีพวกที่ชอบสำรวจถ้ำด้วยก็ได้”
“ในญี่ปุ่นมีสหภาพถ้ำกับสมาคมวิชาการถ้ำเเห่งชาติด้วยเเหละ”
“ล้อกันเล่นหรือเปล่า”
“เรื่องจริงนะ ตอนดันเจี้ยนปรากฏขึ้นมาครั้งเเรก คนสนใจพวกเขาน่าดูเลย”
“ก็นะ ดันเจี้ยนก็เหมือนจะเป็นถ้ำนี่นา”
ถึงจะเป็นช่วงก่อนดันเจี้ยน หลายๆมหาวิทยาลัยก็มีชมรมสำรวจ ชมรมวิจัยใต้ดินหรือชมรมค้นคว้าถ้ำเเล้ว โดยเฉพาะอย่างสุดท้ายนั้นมีอยู่ในมหาวิทยาลัยยามากุจิ น่าจะเริ่มมาจากชมรมสำรวจถ้ำอากิโยชิโดเเน่ๆ เเล้วหลังจากดันเจี้ยนโผล่มา ผูุ้เชี่ยวชาญเหล่านั้นก็ถูกรุมตอมโดยสื่อ
มิโยชิกับผมใส่หมวกนิรภัยติดไฟฉายขณะที่ก้าวข้ามธรณีประตูของถ้ำ หลังจากนั้นพวกเราก็พบช่องทางเเคบๆที่เหมือนเป็นโพรงใต้ดินที่เกิดดจากลาวา
“หรือว่าที่จะเป็นเตาหลอมลาวาขนาดใหญ่” มิโยชิพูด
ก็จริง ผนังนั้นดูคล้ายหินบะซอลต์หรือไม่ก็ลาวาบะซอลต์ที่มีความหนืดต่ำ ถ้าอุโมงค์นี้เกิดขึ้นตอนที่ภูเขาไฟยังระอุอยู่ มันก้น่าจะเป็นเตาหลอมลาวา
“พนันได้เลยว่าข้างในเราจะต้องเจอสึจิกุโมะโยไคกำลังรออยู่เเล้วก็ดอกโทคิจิกุที่กำลังบานเเน่”
ในมังงะซีรีส์ของเรจิโร ฮิเอดะที่วาดโดย โมโรโฮชิ ไดจิโรนั้น ตัวละครหลักข้ามผ่านเตาหลอมลาวาในภูเขาไฟฟูจิ เเละได้เจอกับดอกโทคิจิกุอยู่อีกฝากหนึ่ง ช่องทางนี้เหมือนตอนนั้นเด๊ะๆเลย อย่างน้อยก้จนถึงทางโล่งข้างหน้านั่น
พอเราไปถึงทางโล่ง ผมมองทิวทัศน์ตรงหน้าด้วยความทึ่ง
“ขอโทษที่เห็นต่างนะมิโยชิ ฉันคิดว่าถ้ำนี่มองยังไงก็เป็นถ้ำที่คนสร้าง”
“เห็นด้วย”
พอไปถึงที่ว่าง ธรรมชาติอันยิ่งใหญ่เเละสวยงามก้ทำให้เราอ้าปากค้าง ที่โล่งข้างหน้านั่นเชื่อมอยู่กับวัดตรงหน้าพวกเรา ถึงจะอยู่ใต้ดิน เเต่บริเวณนี้ก็ค่อนข้างสว่าง มีวัตถุที่คล้ายๆกับคริสตัลอยู่รอบๆที่โล่งนี้เเละส่องเเสงอ่อนๆ ดูคล้ายๆกับไลเคนเรืองเเสง
“รุ่นพี่ หินพวกนั้นคงไม่ปล่อยกัมมันตภาพรังสีออกมาใช่ไหม”
อืม ภาพตรงหน้านี้ทำให้นึกถึงฉากนึงในภาพยนตร์ชีวประวัติของมาดามคูรี ที่เรเดียมที่กลั่นเเล้วปล่อยเเสงสีฟ้าออกมาก เเต่ว่า…
“เรเดียมไม่น่าจะสว่างขนาดนี้นะ”
สกิลตรวจจับภยันตรายของมิโยชิก็จับอะไรไม่ได้เลยด้วย ดังนั้นผมจึงคิดพึ่งสกิลฟื้นฟูสุดยอดเเละเเตะไปที่สิ่งนั้นที่กำลังปล่อยเเสงสีฟ้า ผมไม่รู้สึกอุ่นจากเเสง น่าจะคิดซะว่ามันทำเเค่ปล่อยเเสงอ่อนๆออกมาก
เสาหินสง่างามถูกประดับด้วยการตกแต่งที่ละเอียดประณีต ทำให้สถานที่นั้นรู้สึกอบอุ่นมากขึ้น ผมยังเห็นซุ้มประตูโค้งเเละเสาหลักอยู่ตามที่ต่างๆ ถ้ามองดีๆ สถาปัตยกรรมที่ใช้นั้นมาจากประวัติศาสต์มนุษย์มาผสมๆกัน เเต่ถ้าโดยภาพรวมเเล้ว ฟ้องนี้มันดูคล้ายๆกับสถาปัตยกรรมเเบบโกทิค
ระหว่างที่มองดุสิ่งที่ดุคล้ายอนุสรสถาน มิโยชิก็กระซิบถามผม “รุ่นพี่ จีโนมมันเป็นมอนสเตอร์ใช่ไหม”
“ใช่”
“เเต่ดูที่นี่เหมือนเป็นสิ่งที่มนุษย์สร้างขึ้นมาเลย”
เธอพูดถูก เเต่เราก็ไม่สามารถบอกได้ว่าจีโนมไม่ได้สร้างของพวกนี้ขึ้นมาเองได้ บางทีดันเจี้ยนอาจจะสร้างวิหารใต้ดินนี้ขึ้นมาเหมือนกับตอนสร้างเฟลเวอร์เท็กซ์ก็ได้
หลังจากนั้นก้มีเงาที่ดูคล้ายเด็กสั่นไหวไปมาอยู่อีกฝั่งนึงของวิหาร
“รุ่นพี่ ใกล้จะถึงร้อยตัวรึยัง”
“ขาดอีกเจ็ดตัว”
“เข้าใจเเล้ว”
ผมเริ่มยิงหอกน้ำไปที่เงาเล็กนั่นๆที่กำลังวิ่งเข้ามาหาพวกเราจากอีกฝั่ง มิโยชิซัมมอนพวกอาเธอร์สให้มาป้องกันด้านข้างเเละด้านหลังพร้อมๆกับยิงลูกเหล็กไปด้วย มีเฮลฮาวด์เเค่สามตัวเพราะตัวนึงกำลังเฝ้าออฟฟิศของพวกเราอยู่
พอเริ่มต่อสู้ หน้าจอเลือกออร์บก็ปรากฏขึ้นมา
สกิลออร์บ: ขุดเหมือง | 1/10,000
สกิลออร์บ: ความคล่องเเคล่ว | 1/1,000,000
สกิลออร์บ: มองกลางคืน | 1/8,000,000
สกิลออร์บ: เวทมนตร์ดิน | 1/90,000,000
หลังจากที่เห็นหน้าจอ ผมกก็อดไมไ่ด้ที่จะทำท่ากำหมัดดีใจเบาๆ ถึงจะคิดเอาไว้เเล้ว เเต่อัตราการดรอปของออร์บขุดเหมืองนั้นค่อนข้างสูง ถ้ามีคนเคยดรอปออร์บนี้มาเเล้วผมจะไม่เเปลกใจเลยสักนิด
“แต่มีนักสำรวจเเค่ไม่กี่คนเท่านั้นเองที่เคยลงมาที่ใต้ดินนี้ ที่สำคัญกว่านั้น รุ่นพี่ต้องจริงจังเเล้วนะ!”
จีโนมจำนวนมหาศาลเหมือนไม่มีที่สิ้นสุดนั้นโผล่ออกมาจากถ้ำใต้ดินเรื่อยๆ
“นี่มิโยชิ ถ้าเป็นเเบบบนี้จะถึง 373ตัวในอีกไม่นานเเล้วนะ”
ถ้าเกิดเป็นเหมือนที่ผ่านๆมา พวกจีโนมจะหายไปตอนคฤหาสน์ปรากฏขึ้น เเล้วก็ยังอีกสักพักใหญ่ๆกว่าจะถึงเที่ยงคืน ผมไม่อยากจะต้องมาวิ่งหนีพวกมอนสเตอร์จากคฤหาสน์จนเปลี่ยนวันหรอกนะ
“นี่เเค่เดานะ ฉันไม่คิดว่าคฤหาสน์จะโผล่มาหรอก”
“ทำไมถึงคิดอย่างนั้นล่ะ”
ผมถามเธอระหว่างที่กำลังจัดการกองทัพจีโนมที่กำลังเริ่มกดดันขึ้นมาเรื่อยๆด้วยเวทน้ำเเละดาบ ผมไม่อยากจะใช้เวทย์ไฟอินเฟอร์โนในพื้นที่ปิด
“ตอนฉันประเมินจีโนม ชื่อมันมีดอกจันอยู่ด้วยน่ะสิ”
“ดอกจันหรอ”
ตอนใช้ประเมินก่อนหน้านี้ มิโยชิสังเกตเห้นดอกจันที่ขึ้นอยู่ข้างหน้าชื่อ
“เพราะมันเป็นซอมบี้น่ะ”
เพราะซอมบี้นั้นทำให้คฤหาสน์โผล่ขึ้นมาเเล้ว มันจะไม่เกิดขึ้นอีกไม่ว่าจะจัดการไปอีกขนาดไหน
“หรือก็คือ มอนสเตอร์ที่มีดอกจันอยู่จะไม่ทำให้คฤหาสน์ปรากฏขึ้นงั้นหรอ”
“ถ้ามีคนทำให้คฤหาสนืเกิดขึ้นเพราะจีดนมมาเเล้ว ก็เป็นอย่างนั้นเเหละ”
เเละเเล้วหน้าต่างเลือกออร์บก็ปรากฏขึ้นมาเป็นครั้งที่สองในเวลาไม่นาน
“รู้สึกเหมือนเคยเห็นเกมเเบบนี้มาก่อนเมื่อนานมาเเล้ว” ผมพูด
ใช่ ผมกำลังพูดถึงเหม เฟิสควีน
เกมเฟิสควีนนั้นวางขายมานานก่อนที่ผมกับมิโยชิจะเกิด เกมนั้นมีระบบที่เเปลกใหม่ในสมัยนั้นที่มีการต่อสู้ขนาดใหญ่เกิดขึ้นระหว่างผู้เล่นกับกองทัพฝั่งตรงข้ามที่จะโผล่มาเต็มจอ ตอนนี้จีโนมจำนวนมหาศาลก็กำลังถาโถมมาใส่พวกเราจากส่วนลึกของลานกว้าง
เเต่พอหน้าต่างเลือกออร์บปรากฏขึ้นมาครั้งที่สอง พวกจีโนมก็หยุดเเละเริ่มกระซิบคุยกันเอง
“เกิดอะไรขึ้นเนี่ย”
หลังจากที่ผมพูดออกมาก็มีหินปรากฏขึ้นมาจากที่ไหนก็ไม่รู้ มันว่ายผ่านอากาศมาตกที่ขาของผมเเละเด้งอย่างเเรง มันเป็นหินธรรมดาที่มีขนาดประมาณมือของทารก ถ้าพุ่งมาหาผมก็คงจะบาดเจ็บได้ อาจจะสาหัสได้เลยถ้าชนผิดจุด
“เเย่เเล้วมิโยชิ มาหลบหลังฉันเร็ว”
“ขะ-เข้าใจเเล้ว”
หลังจากที่มิโยชิเข้ามาหลบ ผมก็เอาโล่ออกมาจากวอลท์เเละถือด้วยสองมือ ผมสำรวจรอบๆในขณะที่กำลังป้องกันหินที่บินมา
“คงต้องถอยสินะ”
เเต่ว่าจีโนมจำนวนมากนั้นล้อมพวกเราไว้เเล้วเเละบังทางหนีออกไปทางลานกว้างเอาไว้
มิโยชิชี้ไปที่วิหาร “เหมือนที่นั่นจะเป็นความหวังเดียวของเรานะ”
ผมลังเลอยู่ครู่นึงเพราะข่าวลือของเขาลูกนี้ เเต่ถ้ามิโยชิกับผมอยู่ที่นี่ จีโนมจำนวนมหาศาลคงโถมมาหาเราเเน่ๆ
“ไม่มีทางเลือกเเล้ว ไปหลบที่วิหารเถอะ”
ผมเก็บโล่ไว้ในวอลท์เเละหิ้วมิโยชิขึ้นมาในวงเเขน จากนั้นก็เริ่มวิ่งเต็มกำลังไปยังวิหารใหญ่ พวกเฮลฮาวด์สามตัวก็กำลังต่อสู้อยู่ข้างหลังเรา
“ถอยมาก่อนที่จะโดนล้อมนะ” มิโยชิบอกพวกมัน
ถ้ามวลจำนวนมากขนาดนั้นทับพวกมันเอาไว้ ถึงเป็นเฮลฮาวด์ก็อาจจะถูกบี้ได้
ออกมาจากตรงนั้นให้ได้นะพวกนาย ผมคิด
เหล่าจีโนมตีวงล้อมมาหาพวกเราอีกครั้ง เเต่ยังดีที่ผมวิ่งไปที่บันไดวิหารได้เร็วกว่า
ถึงด้านนอกจะตกเเต่งในสไตล์โกธิค เเต่ด้านในนั้นมีเสามากมายทำให้นึกถึงกรีกไม่ก็อียิปต์ ผมมองไปที่ตีโนมที่ตามหลังมาจากนั้นก็พุ่งตัวไปที่ประตูหน้าเเละปิดมันสุดเเรง
พอประตูหนาถูกปิดเสียงดังสนั่น ทั้งห้องก็มืดลงทันที เหมือนว่าหินที่บินมานั้นทำลายไฟฉายที่อยู่บนหมวกนิรภัยของเรา เสียงอะไรบางอย่างทุบประตูด้านนอกค่อยๆเบาลงเเละหายไป
โยโยกิดันเจี้ยน ชั้น18 วิหารใต้ดิน
ดวงตาสีทองสามคู่ลอยอยู่ท่ามกลางความมืด เหมือนว่าเฮลฮาวด์ทั้งสามตัวจะหนีมาสำเร็จ
“กลายเป็นเงียบเลยนะ”
ก็จริง เเต่โชคร้ายที่สกิลตรวจจับของผมยังเเสดงให้เห็นอยู่ว่ายังมีมอนสเตอร์จำนวนมากอยู่ที่อีกฝั่งของประตู
“เเย่หน่อยนะ เเต่ว่าเรากลับไปที่ประตูไมไ่ด้เเล้วล่ะ พวกจีโนมทั้งหมดนั่นยังอยู่ข้างนอก”
“งั้นเราควรจะใช้บอลเหล็กกับพวกมันไหม”
“อย่าเลย ถ้าไปยั่วจนพวกมันทำลายประตูล่ะก็จะน่ารำคาญอีก ไว้ไม่มีทางเลือกเเล้วค่อยทำอย่างนั้นเถอะ”
ผมเอาตะเกียงLEDออกมาจากวอลท์เเละกดเปิด เพราะเป็นLEDจึงมีความสว่างประมาณหนึ่งพันลูเมน ซึ่งไม่เพียงพอที่จะส่องให้เห็นรายละเอียดทั่วทั้งห้อง
หลังจากที่ยื่นไฟฉายติดหัวอันสำรองให้กับมิโยชิ ผมก็เอาอีกอันมาใส่ให้ตัวเอง เท่าที่เห็น ตัวโถงทางเดินที่มีขนาดเเคบนั้นทอดยาวลึกเข้าไปในห้อง
“เอธเธลลัม นายไปช่วยตรวจดูข้างหน้าให้หน่อยได้ไหม”
มันพยักหน้าอย่างกระตือรือล้นเเละเริ่มเดินไปตามทางเดิน เราน่าจะพึ่งพวกเฮลฮาวด์ได้เพราะพวกมันมองในที่มืดได้ดี
“ถ้าเราถอยหลังไม่ได้ ก็มีเเต่ต้องเดินไปข้างหน้านี่เเหละ”
ผมมัดตะเกียงLEDไว้้ที่คอของดรัดวิน เเละให้มันเดินอยู่ข้างหน้าเราเล็กน้อย ผมสนิทกับดรัดวินมากที่สุดเพราะมันคอยคุ้มกันผมอยู่ในเงาตลอด
ถึงจะยังมีเวลากว่าจะพระอาทิตย์ตกดิน เเต่นี่มันก็บ่ายเเก่ๆเเล้ว พอเราเตรียมตัวเสร็จ ก็เริ่มเดินลึกเข้าไป
หลังจากเดินไปอีกสักพัก เราก็พบกับห้องที่ค่อนข้างกว้าง มีเสาหลายต้นเรียงรายอยู่ด้านใน
“ทำเอานึกถึงโถงไฮโพสไทล์ ในวิหารอมันรา” มิโยชิพูด
วิหารอมันรา นั้นเป็นกลุ่มของห้องโถงไฮโพสไทล์ขนาดใหญ่ที่ได้รับการขยายออกไปเรื่อยๆ ตามการเพิ่มอำนาจของฟาโรห์แห่งอียิปต์
ทุกครั้งที่เราเคลื่อนที่ เงาของเสาก็จะสั่นไปมาเหมือนกำลังเต้นอยู่ เเต่ทว่าสกิลตรวจจับสิ่งมีชีวิตก็ไม่มีปฏิกิริยาอะไร เเล้วพวกอาเธอร์สก็ไม่ได้กลิ่นอะไรด้วย
“ถ้าวิหารนี้มีโครงสร้างเหมือนกับที่อียิปต์ล่ะก็…”
“ล่ะก็อะไรล่ะ…”
“เราจะไปถึงวิหารชั้นในน่ะสิ”
“เเล้วที่วิหารชั้นในมันมีอะไรอยู่กันเเน่”
“ใครจะรู้ล่ะ เเต่มันเป็นสถานที่ศักดิ์สิทธิ์ของวิหารที่ซ่อนอยู่ใต้ภูเขาคิรินยากะที่เป็นเขาเเห่งเทพเชียวนะ ฉันคาดหวังจนตั่วสั้นเเล้ว”
“ใช่ จะฉี่ราดอยู่เเล้ว” ผมหัวเราะเเห้งๆ
พวกเราเดินเป็นวงสำรวจรอบๆเเต่ก้ไม่เจอทางเเยกเลย ทางเดียวที่มีก็คือทางตรงเข้าไปในส่วนลึกของวิหาร
ผมมองนาฬิกา น่าเเปลกที่เวลาข้างนอกกับข้างในดันเจี้ยนนั้นตรงกัน
“เราเหลืออีกไม่ถึงหนึ่งชั่วโมงก่อนพระอาทิตย์ตก เเต่ว่าเรามาพยายามเข้าไปลึกเท่าที่จะทำได้กันเหอะ”
พวกเราเดินไปอีกสักพัก เเต่ก็ไม่เจอมอนสเตอร์อะไรเลยอย่างที่คิด สมกับที่เป็นสถานที่ศักดิ์สิทธิ์ หลังจากที่ผ่านลานกว้างเเละห้องโถงที่มีเสาอยู่หลายครั้ง เราก็มาถึงถนนเเคบๆเตี้ยๆ หลังจากที่ก้มลงผ่านช่องเเละตรงไปอีกนิด เราก็ไปโผล่อีกห้องนึง
“นี่คือห้องโถงชั้นในงั้นหรอ”
ห้องนี้เป็นห้องแปดเหลี่ยม มีขนาดใหญ่กว่า 15 ตารางเมตรเล็กน้อย น่าจะประมาณสี่คูณสี่เมตร
“ถ้าให้เปรียบเทียบ ห้องนี้ก็เป็นเหมือนมดลูกล่ะมั้ง” มิโยชิพุดเเละมองไปรอบๆห้องด้วยความสนใจ เเต่ก็ไม่เจออะไรพิเศษ
ยกเว้นเเต่วงเเหวนเวทย์ประหลาดที่ถูกซ่อนไว้
“เกิดอะไรขึ้นเนี่ย!” ผมตะโกน
หลังจากที่พวกเราเข้ามาในห้องได้ไม่นาน วงเเหวนเวทก็เริ่มทำงาน บางทีเราอาจจะไปเเตะสวิตซ์ หรือไม่ก็มันทำงานอัตโนมัติ เเต่อย่างไรก็ตาม ลวดลายอันสวยงามก็ปรากฏขึ้นที่พื้น ทันใดนั้นผมก็รู้สึกล่องลอยเเปลกๆ มันทำให้ผมนึกถึง
“เหมือนอยู่ในลิฟบนตึกสูงๆเลย” มิโยชิพูด
ระหว่างที่ยืนอยู่บนวงเเหวนเวทที่กำลังส่องเเสง พวกเราก็กำลังเคลื่อนที่ขึ้นไปด้านบน
“เธอคิดว่าจุดหมายของเราอยู่ที่ไหน” ผมถามเเละมองขึ้นไปด้านบนอย่างอดใจไม่ไหว
“สักที่ที่มีเดธเเฟลคน่ะสิ เเล้วถ้าเอนไครอเราอยู่ข้างบนนั่นนะ…”
“หืม?”
“มีนักมานุษยวิทยาที่มีเชื้อสายมาซายชื่อนาโอมิ คิปูริ ในปี 1983 เธอออกหนังสือรวมเรื่องเล่าของชาวมาซาย ในหนังสือนั้นมีพูดถึงเอนไคอยู่”
“รบร้อยครั้งชนะร้อยครั้งเเบบนี้หรอ” เเต่ครั้งเดียวก็พอเเล้วนะเอาจริงๆ
“เอนไคมีภรรยาที่ชื่อว่า โอลาป้า ตอนเเรกพวกเขาก็ไปกันได้ด้วยดี เเต่พอโอลาป้าทำเรื่องผิดพลาดอะไรเล็กน้อย เอนไคก็ทำร้ายเธอ มีประโยคนึงในหนังสือที่บอกว่า “เหมือนๆกับที่ภรรยาถูกทำร้ายโดยสามี” ตอนที่อ่านครั้งเเรกฉันก้คืดว่า เเม้เเต่ในสังคมชาวมาซาย ผู้ชายก็ทำร้ายผู้หญิงเหมือนกันหรอ”
เดี๋ยวสิ เเล้วประเด็นมันอยู่ตรงไหน ผมคิดระหว่างที่มิโญชิเล่าเรื่องในหนังสือ
“เพราะเธอเองก็เป็นคนอารมณ์ร้อน เธอก็เลยทำร้ายเอนไคกลับ เอนไคก็เลยมีเเผลน่ากลัวที่บริเวณหน้าผาก”
เธอโยนที่เขี่ยบุหรี่ใส่รึไง
“เอนไคโต้กลับด้วยการดึงตาข้างนึงของเธอออก เหมือนว่าโอลาป้าคือพระจันทร์ เเล้วหลุมบนดวงจันทร์ก็คือตาที่หายไปของเธอ ในขณะเดียวกัน เอนไคก็คือพระอาทิตย์ ที่อับอายกับเเผลบนหน้าผากนั้น เขาเลยเริ่มส่องเเสงสว่างจนไม่มีใครสามารถมองเห็นเเผลได้”
“อย่างนี้นี่เอง ดวงอาทิตย์ก็เลยยังส่องเเสงเพราะเเปลยังไม่หายงั้นหรอ พูดง่ายๆก็คือหน้าผากเขาเป็นข้อเท้าของอคิลิสใช่ไหมล่ะ เธออยากจะสื่ออย่างนี้ใช่ไหม”
“ไม่ใช่สักหน่อย จริงๆคืออยากให้รู้เรื่อง โอล ใน โอลาป้าต่างหาก”
“มันมีอะไรล่ะ”
เรื่องนี้ไม่เกี่ยวกับจุดอ่อนของงเอนไคงั้นหรอ เเล้วเธอพยายามที่จะบอกอะไรกันเเน่
“คำว่า โอล เป็นคำนำหน้าผู้ชายไง! หมายความว่าเรื่องนี้เป็นบีแอลยังไงเล่า! น่าตกใจใช่ไหมล่ะ รุ่นพี่คิดว่าชาวมาซายชอบบีแอลด้วยไหม”
“ใครจะไปสนล่ะ!”
ผมรู้สึกเหมือนเป็นคนโง่เลยที่ตั้งใจหังที่เธอเล่า เเต่ว่าภรรยาที่เป็นผู้ชายทำให้พระเจ้าบาดเจ็บที่หน้าผากจากการโต้เถียงกัน เอนไคก็เลยกระชากตาเขาออกงั้นหรอ โหดร้ายจริงๆนะ
เดี๋ยวก่อนสิ ทำไมเราพูดถึงชาวมาซายล่ะ
“เดี๋ยวก่อน มิโยชิ เขาคีรีมาาจาโร ไม่ใช่เขาคิรินยากะนะ เป็นเขาของชาวมาซายรึเปล่า”
ชาวมาซายนั้นอาศัยอยู่บริเวณชายเเดนของเคนย่ากับทันซาเนีย ตรงนั้นมีเเค่เขาลูกเดียวที่สูงพอจะเป็นที่อยู่ของพระเจ้า ซึ่งนั่นก็คือคีรีมันจาโร
“เอนไคเป็นภาษามาซาย ส่วนงายนั้นเป็นภาษาคิคูยุ เหมือนว่าเทพเจ้าที่สถิตอยู่ที่ยอดเขาคีรีมานจาโรกับเขาเคนย่าเป็นเทพองค์เดียวกันเเหละ เเต่เรื่องเล่านี้ไม่อยู่ในตำนวนของงาย”
อย่างนี้นี่เอง เรื่องเเบบนี้เกิดขึ้นบ่อยๆในตำนานที่เกิดจากพื้นที่ที่อยู่ใกล้กัน
“เเต่เราก็ควรจะเล็งไปที่หน้าผากใช่ไหม”
“ถ้าตำนานเป็นไปตามที่ฉันเพิ่งเล่าล่ะก็ ใช่”
จากเรื่องต่างๆที่เราเจอมาในดันเจี้ยน การที่ลักษณะของมอนสเตอร์นั้นจะเอามาจากตำนานท้องถิ่นนั้นเป็นไปได้มากๆ
มิโยชิเริ่มพูดด้วยสีหน้าจริงจัง “ทหารSDFที่เสียชีวิตนั้นถูกฆ่าทันทีที่พวกเขาไปถึงยอดเขา จากที่คนที่รอดเล่ามา พวกเขาไม่รู้ด้วยซ้ำว่าเกิดอะไรขึ้น ถึงจะเกิดขึ้นต่อหน้าต่อตาก็เถอะ ไม่ว่าอะไรจะอยู่ข้างบนนั่น รุ่นพี่จะต้องเคลื่อนไหวก่อนนะ”
“เข้าใจเเล้ว เเต่ว่าจำนวนการฆ่ามัน…”
“รุ่นพี่ ถึงเอนไคจะมีลูกน้อง เเต่ว่าห้ามโลภเด็ดขาดเลย”
เหมือนว่าสัมผัสภยันตรายของมิโยชินั้นทำงานมาตั้งเเต่เมื่อกี๊นี้เเล้ว พอเราขึ้นไปเรื่อยๆ ชีวิตของเธอก็อาจจะมีอันตราย
“ถ้าราชินีการค้าพูดเเบบนั้น มันน่าจะวิกฤตพอดู ไม่ต้องห่วง สิ่งที่สำคัญที่สุดคือรอดชีวิตไปจากที่นี่เเหละ”
ครึ่งนาทีถัดมานั้นรู้สึกเหมือนยาวนานมากๆ เเต่พอผ่านไป เราก็ลดความเร็วลง อากาศเย็นเริ่มพัดลงมาถึงข้างล่าง พอมองขึ้นไปก็เห็นท้องฟ้าสีเเดงอยู่ถัดไปจากรูเล็กๆ พระอาทิตย์เริ่มตกดินเเล้ว
สกิลตรวจจับสิ่งมีชีวิตกำลังบอกผมว่ามีอะไรบางอย่างอยู่ข้างบนนั้น
มิโยชิให้พวกเอลฮาวด์โผล่หัวมาทีละตัวเพื่อเอาตะเกียงออกจากหัวพวกมัน พวกเราเตรียมพร้อมต่อสู้เเล้ว เเต่จะว่าไป ของที่อยู่ติดกับตัวพวกเอลฮาวด์ก็หายไปในเงาได้ด้วยงั้นหรอ เพิ่งรู้เลยนะเนี่ย
สุดท้ายเเล้ว ลิฟท์ก็ไปถึงจุดหมาย