ดี-เจเนซิส : สามปีหลังจากดันเจียนปรากฏขึ้น - ตอนที่ 22 เล่ม 1 : D-Powers, เริ่มทำงานได้ (12)
- Home
- ดี-เจเนซิส : สามปีหลังจากดันเจียนปรากฏขึ้น
- ตอนที่ 22 เล่ม 1 : D-Powers, เริ่มทำงานได้ (12)
17 พฤจิกายน 2018 (เสาร์)
โยโยกิ-ฮาจิมัน
ผมตื่นนอนตอนที่พระอาทิตย์ขึ้นไปนานเเล้ว พออาบน้ำท้องผมก็ร้องอย่างหนัก ผมจึงลงมาที่ออฟฟิศชั้นหนึ่ง
“อรุณสวัสดิ์”
“ไม่เช้าเเล้วนะ เกือบจะ11โมงเเล้ว” มิโยชิตอบ
“รู้เเล้ว ก็เมื่อวานหนักน่าดูนี่”
“ก็จริงเเหละ”
หลังจากออกมาจากห้องวีไอพีเเล้ว อาเหม็ดก็ขอบคุณผมกับมิโยชิซ้ำๆและลากพวกเราไปที่กินซ่า ที่ร้านอาหารแถวๆเขตที่หก เขาเปิดเเชมเปนหลายต่อหลายขวดเพื่อฉลองให้ลูกสาวของเขาที่ฟื้นตัวอย่างปาฏิหารย์ สุดท้ายเเล้วเราก็ไปบาร์อีกหลายที่กันต่อ
มิโยชิหน้าหน้าปลาบปลื้มในระหว่างที่นึกถึงเรื่องเมื่อคืน
“รุ่นพี่จำที่เราดื่มจากแก้วคริสตัลนั่นได้ไหม เหมือนฝันเลย ไม่นึกว่าเราจะได้ดื่มอุยโยม โอเดอซู ดู กโรมง กินซ่านี่มีทุกอย่างจริงๆ แต่มันใช่ขวดที่จะเปิดตอนฉลองงั้นหรอ”
จะไปรู้ได้ยังไงเล่า
เมื่อวานผมถามอาเหม็ดไปว่า “ฮินดูสามารถดื่มได้ด้วยหรือครับ”
“บางเมืองอาจจะห้ามไม่ให้ดื่มเครื่องดื่มแอลกฮอลล์ เเต่รวมๆเเล้วพวกเราก็ดื่มเยอะเหมือนกัน”
เป็นศาสนาที่ไม่เข้มงวดดีนะ
“เเล้วเธอจะทำอะไรล่ะวันนี้”
“วันนี้เราต้องไปส่งมอบออร์บให้ลูกค้าสามกลุ่ม ถ้าเป็นไปได้ วันนี้รุ่นพี่ไม่ต้องไปดันเจี้ยนนะ”
“ถ้าการส่งมอบจบเร็ว ฉันอาจจะเเวะไปสักหน่อย เพราะตอนนี้เกือบจะได้ออร์บสุดยอดฟื้นฟูเเล้ว เเล้วฝั่งเธอเป็นยังไงบ้างล่ะ”
“โค้ดส่วนของเครื่องวัดสเตตัสเริ่มเป็นรูปเป็นร่างเเล้วล่ะ”
“เรื่องนั้นมันเฉพาะทางเกินไปสำหรับฉัน ฝากเธอจัดการละกัน”
“รุ่นพี่พูดอะไรเนี่ย ตอนอยู่บริษัทนั่นก็ทำเหมือนกันนี่นา”
“ฉันลืมเรื่องทุกอย่างในบริษัทมืดนั่นไปเเล้ว”
“ฉันก็คิดว่างั้น”
ผมเดินผ่านห้องทานเข้าวไปยังครัว เปิดตู้เย็นเพื่อจะหยิบน้ำเอเวี่ยนเเร่สักขวด
เดี๋ยวก่อน ขวดแก้วนี่มัน ชาเเตลดง นี่นา
“มิโยชิ ชาเเตลดงนี่ถือว่าเป็นน้ำเเร่รึเปล่า”
“ใช่ รุ่นพี่ชอบเครื่องดื่มที่ซ่าๆหน่อยนี่นา ใช่ไหมล่ะ”
ผมหมุนฝาขวดเเละเทชาเเตลดงลงในเเก้วเเล้วลองดื่ม สดชื่นเเล้วก็อร่อยจริงๆ
“ฉันจะทำออมเล็ต เธอหิวรึยัง”
“นี่เกือบเที่ยงเเล้ว ไปหาอะไรกินในอิจิกายะกันไหม”
“จริงด้วย จะไปที่ไหนดีล่ะ”
“ถ้านารุเสะมาหา ฉันกะจะลากเธอไปที่โรงอาหารของJDAสักหน่อย เเต่เธอไม่ยอมมานี่สิ”
“ก็เมื่อวานมีเรื่องเกิดขึ้นตั้งเยอะ วันนี้เธอคงต้องตั้งหน้าตั้งตาเขียนรายงานน่ะสิ”
“บางทีนะ เรายังมีเรื่องความเป็นอมตะให้คิดกัน”
ผมไม่คิดหรอกว่าฟื้นฟูสุดยอดจะทำให้เป็นอมตะ เเต่ถ้าเป็นอย่างนี้มันอาจจะมีออร์บอมตะโผล่ขึ้นมาจริงๆก็ได้
“ฝากเธอโทรไปหานารุเสะได้ไหม ถ้าเธอสะดวกให้ไปเจอกันที่โรงอาหารของJDA”
“ได้สิ”
“ถ้างั้น ฉันไปเตรียมตัวก่อนนะ”
“เข้าใจเเล้ว”
ผมดื่มน้ำจนหมดเเก้วเเล้วยัดเข้าเครื่องล้างจาน จากนั้นก็กลับไปที่ห้องเพื่อเปลี่ยนเสื้อผ้า
สำนักงานใหญ่JDA อิจิกายะ
บ่ายวันนี้ เรามีนัดส่งมอบออร์บกับหวง ไซมอน เเละวิลเลียมตามลำดับ
หวงที่เป็นนักสำรวจเเรงค์ 4 ของโลกนั้นเหมือนจะเป็นคนใจร้อนเเละไม่ค่อยพูด พอการซื้อขายจบลง เขาก็ใช้ออร์บทันที เขากำมือขวาเเละคลายออกซ้ำๆเหมือนเป็นการตรวจสอบร่างกาย เขาพูดว่า เส้าโฮวเจี้ยนเเละออกจากห้องไป
“เขาพูดว่า เเล้วเจอกันใหม่ รึเปล่า” มิโยชิถาม
“เธอคิดว่าฉันเข้าใจภาษาจีนรึไง”
***
ลูกค้าคนถัดไปคือไซมอน ธุรกิจนี้ต้องพึ่งลูกค้าขาประจำจริงๆ
เหมือนตั้งเเต่ที่เราพบกันเมื่อวันก่อน เขาก็ใช้เวลาอยู่ในโยโยกิเป็นการอบอุ่นร่างกายมาตลอด
“นายลงไปลึกขนาดไหนเเล้วล่ะ”
“เราลงไปที่ชั้น 17 ใช้เวลามากกว่า 24 ชั่วโมงไปนิดหน่อย เเล้วก็กลับขึ้นมาภายในหนึ่งวัน”
ปาร์ตี้อันดับหนึ่งของโลกนี่เหลือเชื่อจริงๆ นี่ถือเป็นการอบอุ่นรางกายหรอเนี่ย
“ได้ยินมาว่าเมื่อวานลำบากพอดูเลยนี่”
“ข่าวล่ามาไวจริงนะ”
“นายไม่ต้องมาทำไก๋เหอะ ตอนนี้โยโยกิกลายเป็นสมรภูมิข่าวสารไปเเล้ว เผื่อนายไม่ทันสังเกตนะ พวกอังกฤษกับจีนก็มาอยู่ที่นี่เเล้ว”
“โทษที เรื่องนั้นไม่เกี่ยวกับพวกเรานี่”
ไซมอนทำท่าเหนื่อยใจ “นั่นน่ะ เป็นไปไม่ได้หรอกนะ เเต่จะว่าไป ระบบนิเวศวิทยาของโยโยกินี่สุดยอดเลยนะ ถ้ามีใครสักคนอยากจะหาวัตุดิบอะไรสักอย่าง ที่นี่อาจจะเป็นดันเจี้ยนที่สะดวกที่สุดในโลกเลยก็ได้ เเถมเปิดให้ใครเข้าก็ได้ด้วย นอกญี่ปุ่นน่ะไม่ใช่เเบบนี้หรอกนะ”
“นายจะบอกว่าญี่ปุ่นควรจะเข้มงวดกว่านี้งั้นหรอ”
ไซมอนสะอึกเเละลุกขึ้นยืน “เเต่ถ้าคิดถึงมนุษยชาติโดยรวม ประเทศของนายทำถูกเเล้วล่ะ”
จากนั้นเขาก็ออกจากห้องไป
“ไม่คิดว่าเขาจะคิดถึงอนาคตของมนุษย์นะ” มิโยชิพูด
“ก็ปกติคนเราจะคิดถึงประโยชน์ของชาติตัวเองกันทั้งนั้น เเต่ถ้าโลกทั้งโลกถูกทำลาย ประเทศจะมีประโยชน์อะไรถูกไหม เเถมถ้าเกิดทฤษฎีทางผ่านดันเจี้ยนเป็นเรื่องจริง อนาคตของมนุษยชาติอาจจะสำคัญกว่าจริงๆก็ได้”
ถ้าเราลงไปถึงชั้นที่ลึกที่สุดของดันเจี้ยนเเล้วจะไปโผล่ที่ต่างโลกจริงไหมนะ ก่อนหน้านี้ผมคิดว่าเรื่องนี้มันเป็นไปไม่ได้พอๆกับทฤษฎีโลกกลวง เเต่ตอนนี้…
“รุ่นพี่พูดถูก”
“เรามาทำสิ่งที่เราทำได้กันเถอะ”
“ราชินีการค้าเเละสินค้าของเธอจะต่อสู้เพื่อโลกนี้เอง”
“นั่นสิ เเล้วลูกค้าคนสุดท้ายของเราคือใครนะ”
“สหราชอาณาจักร ศัตรูคู่เเค้นของเรา”
“พ่อบ้านนั่นจะโผล่มาอีกไหม”
“ฉันไม่คิดว่าจะโผล่มาหรอก”
***
พ่อบ้านคนนั้นทรยศต่อสิ่งที่พวกเราคิดโดยการโผล่มาที่ห้องประชุม
“ถ้าลูกค้าพูดภาษาอังกฤษได้ เราไม่จำเป็นต้องใช้ล่ามนะ” ผมพูด
พ่อบ้านตอบโต้คำเสียดสีของผมด้วยสำนวนของญึ่ปุ่น “ใช่ เเต่ว่าจิ้งจอกญี่ปุ่นซ่อนหางตัวเองเก่งดีนะ”
“ฉันเเค่ระวังไม่ขึ้นเรือที่ทำจากโคลนเท่านั้นเอง” ผมตอบด้วยสำนวนเช่นกัน
เดี๋ยวนะ สำนวนเเรกต้องเป็นทานูกิรึเปล่า ไม่ใช่จิ้งจอก
พอผมกำลังคิดเรื่องเเบบนี้อยู่ ก็มีชายที่ดูเป็นทหารโผล่มาจากทางด้านหลัง เขาดูไม่ใช่คนเข้ากับคนอื่นง่ายเหมือนไซมอน อังกฤษนั้นสร้างหน่วยพิชิตดันเจี้ยนอยู่ภายใต้หน่วยSAS ทำให้หน่วยพิชิตดันเจี้ยนนั้นมีเเต่ทหารหัวกะทิ เหมือนว่าชายคนนี้คือวิลเลี่ยม
การซื้อขายเป็นไปได้ด้วยดี พ่อบ้านคนนั้นถอนหายใจเมื่อเห็นตัวเลขบนออร์บนั้นน้อยกว่า 60 พอซื้อขายเสร็จ พ่อบ้านคนนั้นก็จับมือผม เเละออกไปพร้อมกับวิลเลียมโดยไม่มีอะไรเกิดขึ้น ทำให้ผมขนลุกขึ้นไปอีก
“ทำเอาฉันประสาทเสียไปเลย” มิโยชิพูดขึ้น
“ใช่ ไม่คิดว่าพ่อบ้านนั่นจะกล้าเสนอหน้ามา”
“เขาคิดอะไรอยู่กันนะ”
“ใครจะไปรู้ อาจจะเป็นการประกาศสงครามก็ได้”
“รุ่นพี่อย่าพูดเเบบนั้นสิ!”
นารุเสะที่กำลังฟังอยู่นั้นก็ทำหน้าเครียดเหมือนกัน
“มิโยชิพูดถูกนะโยชิมูระ บางทีฉันก็ไม่รู้ว่าคุณเป็นพวกรักสงบหรือพวกชื่นชอบสงคราม”
“ชอบสงครามเนี่ยนะ ฉันเป็นคนรักสงบที่ขี้เกียจที่สุดเท่าที่เธอเคยเจอเลยล่ะ”
“เรื่องขี้เกียจนี่เถียงไม่ออกเลย เเต่ตั้งเเต่เมื่อวาน ดูคุณทำงานหนักขึ้นเยอะเลยนะคะ” นารุเสะพูด
“งั้นฉันก็ควรจะพักสักหน่อยสินะ”
“คิดว่าคุณจะพัฒนาตัวเองเเล้วซะอีก”
มีใครบางคนเคาะประตูห้องประชุม
“เข้ามาได้ค่ะ” นารุเสะพูดอย่างสงสัย
อาช่าโผล่เข้ามาในห้องพร้อมพูดว่า “เคโกะะะ”
เธอเข้ามากอดผมทันที ทำเอาผมทำอะไรไม่ถูก เเน่นอนว่ามีผู้หญิงสวยมากอดทำให้ผมดีใจไม่น้อย เเต่ผมไม่ค่อยชินกับเรื่องนี้เท่าไร
“อาช่า มีอะไรรึเปล่า” ผมถาม
“ฉันมาตามสัญญาของเราเเล้วค่ะ”
ผมมองที่มิโยชิ “สัญญา?”
“ลืมไปเเล้วหรอคะ ใจร้ายจัง” อาช่าตอบเป็นภาษาญี่ปุ่น
จากนั้นอาช่าก็พูดถึงสัญญาที่ผมเสนอตอนจะพาเธอไปดันเจี้ยน
มิโยชิทำหน้าเหนื่อยใจเมื่อได้ยินเรื่องนี้เป็นครั้งเเรก “รุ่นพี่จะเก๊กหล่อเกินไปเเล้ว คิดว่าประโยคนั้นมันเท่นักหรอ ฟังดูเป็นโอตาคุสุดๆเลย”
หือ ผมยังไม่ได้เล่าเรื่องนี้ให้เธอฟังงั้นหรอ
“เอ่ออ ฉันเเค่พูดเล่นๆนะตอนนั้น”
“เเค่ล้อเล่นกันหรอคะ!”
“ไม่ เอ่ออ..ไม่ได้ล้อเล่นๆ”
อาช่าจับมือผมขึ้นมาเเละนำจดหมายฉบับนึงมาใส่มือผม
“นี่เป็นบัตรเชิญค่ะ เราจองที่นั่งไว้หลายที่ คุณชวนเพื่อนมาได้อีก 6 คนเลยนะคะ”
“เข้าใจเเล้ว จะตั้งหน้าตั้งตารอนะ”
“งั้นเจอกันพรุ่งนี้นะคะ!”
อาช่าเอ่ยคำลาเเละออกจากห้องไป
“เธอดูยุ่งจังนะ”
“เหมือนว่าเธอจะมีนัดสัมภาษณ์กับJDAหลังจากนี้น่ะค่ะ”
“สัมภาษณ์หรอ”
น่าจะเป็นเรื่องเกี่ยวกับสกิลฟื้นฟูสุดยอด เรื่องนี้ทำให้ผมเป็นห่วงนิดหน่อย เเต่พ่อของเธอคงไม่ยอมให้JDAทำอะไรไร้เหตุผลหรอก
“รุ่นพี่ ขอดูบัตรเชิญหน่อยสิ”
“หือ เอานี่”
“ขอเปิดดูได้ไหม”
“ไม่มีปัญหา”
มิโยชิเอาจดหมายเชิญออกจากซอง เธอเบิกตากว้างตอนอ่านจดหมายนั่น
“ระ-รุ่นพี่ มันเป็นบัตรเชิญไปร้านไนโตะ!”
“ร้านอะไรนะ”
เป็นร้านซูชิที่อาร์คฮิลเซาท์ทาวเวอร์!“
“อ้อ เพราะพวกเขานับถือฮินดูสินะ อาเหม็ดบอกว่าครอบครัวของพวกเขาทานปลาน่ะ”
“ไม่ใช่เรื่องนั้นสักหน่อย ฉันจะพูดให้รุ่นพี่เข้าใจได้ง่ายๆนะ ร้านนี้เป็นหนึ่งในสามร้านซูชิในโตเกียวที่ได้สามดาวจากบริษัทยางเเห่งนึง”
“ฉันไม่เข้าใจที่เธอตื่นเต้นหรอกนะ เเต่ร้านเเบบนี้มันอยู่ดีๆก็จองได้หรอ”
“นั่นเเหละที่ฉันกำลังพยายามจะสื่อ เเล้วคนที่จองในวันนั้นไปเเล้วล่ะ อย่าบอกนะว่าไปยกเลิกการจองของคนอื่นออกทั้งหมด เดี๋ยวนะ วันที่18หรอ!”
“ตกใจอะไรเล่า”
“วันที่ 18 มันวันพรุ่งนี้ไง!”
“ใช่ เเล้วไง”
“ไนโตะปิดวันอาทิตย์น่ะสิ!”
“อ้อ อาเหม็ดเลยเหมาร้านได้สินะ”
“เดี๋ยวฟังก่อนนะ ไม่มีการนัดหมายล่วงหน้าอะไรทั้งนั้น เเต่อาเหม็ดสามารถทำให้ร้านอาหารเปิดในวันหยุดได้เนี่ยนะ รุ่นพี่ จริงๆเเล้วเขาเป็นใครกันเเน่”
“เป็นคำถามที่ดี”
“นารุเสะรู้ไหม”
สีหน้าของเธอไม่เปลี่ยนเลยเมื่อถูกถาม “ทางเราต้องเก็บความลับของลูกค้าค่ะ”
“เรื่องความลับนั่นเอาไว้ก่อน เดี๋ยวเราจะได้กินซูชิไม่อัั้นโดยมีคนอื่นจ่ายเงินให้เชียวนะ เธอน่าจะดีใจสิ”
“ฉันดีใจเเน่นอนอยู่เเล้ว จะว่าไปเธอจะมาด้วยกันไหม นารุเสะ”
“ฉันหรอ จะดีหรอคะ”
“ก็ดีนี่” ผมเเทรกขึ้นมา “เพราะเธอใช้อำนาจในทางที่ผิด เลยทำให้ถ่วงเวลาสปายอังกฤษพวกนั้นได้ไง”
“ฉ-ฉันไม่ได้ใช้อำนาจในทางที่ผิดน- อ๊ะ ไม่เป็นไรค่ะ พรุ่งนี้เป็นวันอาทิตย์ด้วย ขอบคุณที่ช่วนนะคะ ฉันขอไปด้วยคน”
“ทีนี้ก็เป็นสามคนเเล้ว อืมม เธอมีใครที่อยากจะชวนไปไหม มิโยชิ”
“มันกระทันเกินไป ตอนนี้ฉันคิดออกเเค่มิโดริ… จะว่าไปนารุเสะ เธอเป็นพี่สาวของมิโดริไม่ใช่หรอ”
“มิโดริที่ก่อตั้งบริษัทยาน่ะหรอ”
“ใช่ๆ”
“ใช่ค่ะ เราเป็นพี่น้องกัน พวกเธอรู้จักกันด้วยหรอ”
“เราสองคนกำลังสร้างอะไรบ้างอย่างอยู่ตอนนี้น่ะ เธอต้องประหลาดใจเเน่ๆ”
“ใจเย็นๆก่อนนะมิโยชิ เรายังไม่ได้คุยกับมิโดริอย่างจริงจังเลยนี่ อย่าทำเเผนในอนาคตของเราหลุดล่ะ”
“แผนในอนาคตหรอ ต้องเล่าให้ฉันฟังด้วยนะคะ เป็นหน้าที่ของสปายเต็มเวลาอย่างฉันเลยนะ”
“เรื่องสปายนี่อีกเเล้วหรอ เดี๋ยวเธอต้องรู้เรื่องนี้ไม่ช้าก็เร็วนี่เเหละ” ผมบ่น
“มิโยชิ เธอบอกมิโดริให้เก็บทุกอย่างไว้เป็นความลับนะ เพราะเดี๋ยวพี่สาวของเธอต้องพยายามคอยสอดเเนมเเน่”
“เข้าใจเเล้วรุ่นพี่”
“ฉันน่ะหรอสอดเเนม!”
สุดท้ายเเล้ว ผู้หญิงทั้งสองคนก็นั่งคุยกันจนหมดวัน
***
วันถัดมาเป็นวันที่ไม่มีอะไรเป็นพิเศษ ผมเลยเเวะไปโยโยกิเพื่อที่จะหาออร์บสุดยอดฟื้นฟูที่เมื่อวานไม่ได้หาก่อนที่จะไปทานข้าวเย็นกันตอนค่ำ ตอนที่ผมอยู่ที่ทางเข้าก้มีใครบางคนเรียกผม
“โยชิมูระ”
พอหันไปตามเสียงเรียกก็เจอผู้หญิงรูปร่างเพรียวคนนึงที่ใส่หน้ากากสกีเเละอุปกรณ์ป้องกันใบหน้ากำลังวิ่งมาหาผม ผมตกใจเมื่อเธอวิ่งเข้ามากอดผม คนในบริเวณนั้นก็ฮือฮากันเล็กน้อย
หือ นี่มันเกิดอะไรขึ้น หรือว่า…
“มิ-มิตสึรุกิหรอ”
“ใช่ ฉันเอง ฉันผ่านเเล้วนะ!”
เธอน่าจะพูดถึงการสัมภาษณ์ที่ไซโต้เคยเล่าให้ฟัง ยังไงก็เถอะ พวกเราไมไ่ด้ถ่ายละครกันอยู่นะ ถ้ามีใครมาเห็นเราสองคนกอดกันในที่เเบบนี้จะต้องเป็นที่สนใจเเน่ๆ ผมจึงพามิตสึรุกิไปที่คาเฟ่ที่นารุเสะชอบพาผมไปตอนคุยเรื่องงานอยู่บ่อยๆ ผมเข้าไปเลือกโต๊ะที่ไม่ค่อยเป็นที่สังเกต
“เอ้า ดื่มที่ก่อนสิ จะได้ผ่อนคลายลง” ผมเอาคาเฟ่โอเล่ให้เธอ
“ขอบคุณค่ะ”
พอถอดหน้ากากสกีออก สั้มสั้นสลวยของเธอก็ตกลงมาปรกหน้า โดยภาพรวมเธอดูสง่าขึ้นกว่าเเต่ก่อนมาก ด้วยการเคลื่อนไหวของมือที่ดูหราดเปรียว เธอปัดผมหน้าที่ปรกอยู่ออกไปด้านข้าง อย่างๆน้อยๆที่เธอทำก็ทำให้ผมละสายตาไม่ได้เลยทีเดียว
“หน้ากากสกีก็สะดวกดดีนะ เเต่มันทำให้เหงื่อออกนี่สิ เลยทำให้เเต่งหน้าไม่ได้ด้วย”
“ตอนเราเจอกันครั้งเเรกฉันไม่ทันได้รู้สึกตัว เเต่ว่าเธอก็มีชื่อเสียงอยู่ใช่ไหม มาเปิดหน้าในที่เเบบนี้จะดีหรอ”
“นายพูดเกินไปเเล้วล่ะ ไม่มีใครรู้จักเด็กหน้าใหม่อย่างฉันหรอก ยิ่งตอนที่ไม่ได้เเต่งหน้าด้วย”
เเม้เเต่ตอนที่เธอหัวเราะก็ยังดูสง่างาม
ผมชักจะกลัวที่จะรู้ว่าสเตตัสของเธอเพิ่มไปมากเท่าไร…
“งั้น เธอผ่านการออดิชันนางเเบบที่พูดถึงเมื่อคราวก่อนเเล้วหรอ”
“ใช่ ผ่านเพราะนายเเท้ๆเลย”
“ไม่ล่ะ เธอเป็นคนพยายามทำทุกอย่างนั่นเอง ตั้งเเต่ที่เราเจอกันในดันเจี้ยนครั้งเเรกก็ดูเหมือนจะพยายามลงดันเจี้ยนบ่อยมากเลยนี่”
“เรื่องนั้นน่ะ…” มิตสึรุกิพูดค้างไว้เเละเอาดี-การ์ดของเธอออกมาให้ดู
ถึงนักสำรวจจะโชว์ใบอนุญาติกันเป็นเรื่องปกติ เเต่สำหรับดี-การ์ดนั้นจะให้ดูเฉพาะคนที่พวกเขาเชื่อใจเท่านั้น เว้นเเต่ว่าคนๆนั้นพึ่งได้รับดี-การ์ดมา ชายหญิงที่เเบ่งดีการ์ดกันดูนั้นอาจจะถูกเข้าใจผิดว่าเป็นคู่รักกันก็ได้ ตอนนั้นเอง เหมือนผมจะได้ยินเสียงฮือฮาจากในคาเฟ่ เเต่พอผมเห็นการ์ดของมิตสึรุกิ ผมก็ไม่สนใจสิ่งรอบๆตัวอีก
เเรงค์ : 986
เธอโน้มหน้ามาใกล้เเละกระซิบที่ข้างหูผม
“จากตอนนั้นพึ่งผ่านไปได้ 6 สัปดาเท่านั้นเอง เเล้วฉันก็ไมไ่ด้ลงไปลึกกว่าชั้นหนึ่งด้วย โยชิมูระ นายต้องรู้อะไรบางอย่างเเน่ๆ ใช่ไหม”
หลังจากนั้นเธอก็ยื่นกระดาษที่เขียนจำนวนของสไลม์ที่เธอกำจัดมาให้ นั่นเป็นสิ่งที่ผมขอตอนเจอกันครั้ก่อน เหมือนเธอจะจัดการสไลม์ไปโดยเฉลี่ยนวันละ 118 ตัว จำนวนนี้น่าเหลือเชื่อมาก ถ้าเอามาเทียบกับการลงเเบบครึ่งๆกลางๆของผม เเถมยังต้องเข้าๆออกๆดันเจี้ยนอีกด้วยนะ
ถ้าเธอกำจัดสไลม์หนึ่งตัวทุกๆ 5 นาที ก็จะเป็น 12 ตัวต่อชั่วโมง เเสดงว่าเธอใช้เวลา 10 ชั่วโมงต่อวันในดันเจี้ยนมาตลอด 42 วันนี้หรอ เเถมไม่มีการพักอะไรเลยด้วย
“เธอลงดันเจี้ยนมากขนาดนี้จะมีเวลาทำงานหรอ”
“ฉันอยากจะพัฒนาตัวเองอย่างเดียวจนกว่าจะถึงออดิชั่นนั้น ก็เลยบอกทางเอเจนซี่ให้ไม่รับงานอื่นนอกจากงานนี่เลี่ยงไม่ได้จริงๆน่ะ”
“โหห”
โดยเฉลี่ยเเล้ว มิตสึรุกิได้ SP 2.36 หน่วยต่อวันมา 42 วันเเล้ว รวมเเล้วน่าจะมีประมาณ 99.12 หน่วย
100 เเต้มก็สามารถเข้าไปอยู่ในเเรงค์สามหลักเเล้วงั้นหรอ
ฟลังจากที่ผมเองกำจัดสไลม์ไปประมาณสองพันตัว ก็ได้มาเเค่ห้าเเต้มเท่านั้น ก้นะ เพราะว่าผมกำจัดมันติดๆกันนี่ ก็ได้ประมาณนี้ล่ะ
เเต่ว่า ถ้าเเต้มที่มิตสึรุกิได้ทั้งหมดนั้นไปลงอยู่กับAGIเเละDEX เธอน่าจะอยู่ในระดับของเหนือมนุษย์เเล้ว เธอน่าจะสามารถควบคุมร่างกายการเคลื่อนไหวของเธอได้ในระดับมิลลิเมตร ตอนนี้เธอก็เเค่ต้องคิดว่าจะเคลื่อนไหวยังไงให้ดูสวยงามมากที่สุด
“ฉันเเค่บอกวิธีเธอเท่านั้นเอง เเต่ถ้าเธอไม่พยายามอย่างหนักก็ไม่มีทางเป็นเหมือนที่เป็นอยู่ทุกวันนี้หรอก”
“เเล้วก็อย่างที่สัญญากันไว้ ฉันไม่ได้บอกใครเกี่ยวกับเรื่องนี้ยกเว้นเรียวโกะ เรียวโกะก็คือไซโต้นะ เป็นชื่อของเธอนะ เผื่อนายจำไม่ได้”
“เป็นไปตามที่คิดเเหละ ยินดีด้วยนะ”
เหมือนเธอจะประทับใจมาก เธอบีบมือของผมอยู่บนโต๊ะ ดวงตาชุ่มไปด้วยน้ำตา
ผมร้อนรนนิดหน่อยกับที่เธอจับมือ ผมเลยพยายามเปลี่ยนเรื่อง
“เเล้วไซโต้ล่ะ เป็นยังไง”
“จากที่ฉันได้ยินมา การเเสดงของเธอพัฒนาขึ้นมากๆเลย เธอได้รับบทหลายๆบทจนเราเเทบจะไม่ได้อยู่ด้วยกันเลย”
“งั้นเธอก็ลงดันเจี้ยนเเค่คนเดียว ไม่คิดว่ามันอันตรายหรอ”
“ถ้างั้น นายจะไปกับฉันมั้ยล่ะ”
“เอ่อ ฉันหรอ อืมม ถ้ามีเวลาว่างนะ”
“นั่นถือเป็นสัญญารึเปล่า?”
“อะ-อื้ออ”
มิตสึรุกิบอกว่า ไซโต้นั้นกำจัดสไลม์ไปได้พอๆกันจนถึงวันที่ 30 กว่า ถ้างั้นก็น่าจะมีประมาณ 71SP ถ้าเกิดเเต้มทั้งหมดนั่นถูกลงไปที่DEX เธอก็ไม่น่าจะอยู่ในระดับคนธรรมดาเเล้วเหมือนกัน
“ฉันเเนะนำว่าเธอกับไซโต้อย่าเอาดีการ์ดให้คนอื่นดูนะ”
“เข้าใจเเล้ว” มิตสึรุกิพูดพลางหัวเราะ “เฉพาะคนที่สนิทกันมากๆ – เช่นคู่รัก – เท่านั้นเเหละที่โชว์ดีการ์ดกัน”
“ถ้าเป็นไปได้ ถึงจะสนิทกันขนาดนั้น ก็อย่าเอาดีการ์ดให้ดูเลยดีกว่า”
“หรอ? อื้อ โอเค” เพราะผมตอบด้วยท่าทีจริงจัง เธอเลยทำตัวตรงเเล้วกก็พูดขึ้นมา
“เเล้วก็ เรื่องนี้มันอาจจะไม่เกี่ยวกันสักหน่อย เเต่ว่า…”
“ว่าไง”
“ก็ ทุกๆคนกำลังพูดถึงนักสำรวจเเรงค์หนึ่งที่เป็นพลเรือนที่อยู่ๆก็โผล่มาที่แอเรีย 12 ”
“ใช่ ฉันก็ได้ยินมา”
“จากทุกๆอย่างที่นายสอน ทำให้ฉันอดคิดไมไ่ด้ว่า…” มิตสึรุกิพูดไม่จบ
พวกเรามองหน้ากันโดยที่ไม่มีใครพูดอะไรออกมา เสียงความวุ่นวายในคาเฟ่ฟังดูเหมือนห่างไกลออกไป
สุดท้ายมิตสึรุกิก็พูดทำลายความเงียบขึ้นมา “ถึงฉันจะเริ่มกลับมาทำงานเเล้ว เเต่ก็น่าจะยังหาเวลามาลงโยโยกิให้บ่อยที่สุดเท่าที่ทำได้”
“ดีนี่”
“เอ่อ.. เราเเลกข้อมูลติดต่อกันดีไหม”
“ได้สิ เเต่ไม่ใช่ว่าฉันเคยให้นามบัตรไปเเล้วหรอ”
เธอยิ้มอย่างน่าสงสัยเเละพูดว่า “ถ้าเรียวโกะอยู่ที่นี่ด้วย เธอคงทำเเก้มป่องเเล้วบอกว่า ตอนที่เเลกนามบัตรกันน่ะ มันหมายความว่าให้คอยติดต่อหากันนะ เข้าใจใช่ไหม คุณนักวิจัย”
ผมรู้สึกเขิน จากนั้นก็เเลกข้อมูลติดต่อกับเธอ
“ฉันจะส่งอีเมลหาเร็วๆนี้นะ ไว้เจอกัน”
พอเธอลูกขึ้นกำลังจะไป ผมจับมือเธอโดยไม่รู้สึกตัว “อ้อ อีกอย่างนึง ค่ำวันนี้ ที่ออฟฟิศของเราจะมีปาร์ตี้เล็กฉลองเรื่องงาน เธออยากจะมากับฉันไหม”
“ยังไงนะคะ?”
“เท่าที่มิโยชิบอก ที่ร้านอาหารที่ชื่อว่าไนโตะ อยู่ที่อาร์คฮิลน่ะ เธอว่าไง”
“ซูชิก้ดีนะคะ ดีต่อสุขภาพด้วย เเต่เป็นงานปาร์ตี้ของบริษัท ให้ฉันไปด้วยจะดีหรือคะ”
“จากทุกอย่างที่เกิดขึ้น เธอก็เหมือนเป็นพวกเดียวกันกับเราเเล้วล่ะ ถ้าเธอจะไป ชวนไซโต้ไปด้วยก็ดีนะ”
“ถ้าอย่างนั้น ขอฉันไปด้วยนะคะ เเต่เรียวโกะถ่ายละครจนถึงดึกเลย” มิตสึรุกิยิ้มอย่างขี้เล่น “ถ้าเธอรู้เรื่องนี้ทีหลัง เธอจะต้องงอนเเน่เลยค่ะ”
“งานจะเริ่มตอน 5 โมงเย็น จะให้ฉันไปรับที่ไหนดี”
“เเถวๆที่พักฉันน่าจะได้นะ…รู้จักเเถวๆพิพิธภัณฑ์ศิลปะโทกุริไหมคะ”
“อื้อ ตรงชิบูย่าน่ะหรอ”
มิตสึรุกิพยักหน้า
“เธออยู่ที่เขตโชโตะหรอ ย่านหรูเลยนี่”
“อ้อ อื้อ ไม่เลยค่ะ ค่าเช่าห้องฉันถูกมากเลย”
“พิพิธภัณฑ์นั่นอยู่บนถนนสายเดียวกับร้านอาหารร้านนึง…เชส มัตสึโอะใช่ไหม”
“ใช่ค่ะ นายรู้ที่ในเมืองดีจังเลยนะ”
“มิโยชิชอบหาของกินน่ะ ฉันเลยรู้เเค่เกี่ยวกับเรื่องร้านอาหาร ไม่รู้อย่างอื่นเลย” ผมหัวเราะ “งั้นฉันไปรับเธอหน้าพิพิธภัณฑ์ตอนบ่าย4โมงเย็นเป็นไง”
“ขอโทษค่ะ เเต่เค้าห้ามจอดหน้าตึกนั้น”
“งั้นฉันจะโทรไปตอนจะออกจากบ้านละกัน ฉันอยู่ห่างเเค่กิโลเดียวเท่านั้นเอง ขับรถไปน่าจะเเค่ 5 นาที”
“5นาทีเองหรอ จะว่าไปพวกเราอยู่ใกล้กันเลยนะเนี่ย”
“ใช่เลย”
“งั้นฉันจะรออยู่นอกพิพิธภัณฑ์นะ เเล้วเจอกันค่ะ”
ผมมองเธอเดินออกไปเเล้วคิดเรื่องที่เธอพูด
จะส่งอีเมลล์มาหรอ หายากเเหะสำหรับผู้หญิงสมัยนี้
หลังจากนั้น ผมก็ไปจัดการสไลม์ 12 ตัวอย่างรวดเร็ว เเละเลือกออร์บสุดยอดฟื้นฟูมาอีกหนึ่งลูก สุดท้ายก็ตรงกลับออฟฟิศ
เพราะไม่ค่อยมีเวลา ผมเลยเช่ารถพร้อมคนขับมาสำรับคืนนี้ หลังจากที่ลองค้นหาดูก็พบว่าการจองภายในวันเดียวกันนั้นสามารถทำได้ อินเตอร์เนตสุดยอด ผมบอกให้มิโยชิไปด้วยกันเเต่เธอบอกให้ไปเจอกันที่ร้านเลยเพราะเธอจะไปกับมิโดริ
“รุ่นพี่ชวนผู้หญิงไปด้วยเเล้วมีรถพร้อมคนขับไปรับเธองั้นหรอ ประทับใจเลยล่ะ”
“เเค่โชคดีตะหาก”
“เเต่ว่าทั้งสองคนพัฒนาไปเยอะมากเลยนะ”
“ใช่มั้ยล่ะ ทั้งสองคนจัดการสไลม์เเบบจริงจังมาก ดันเจี้ยนบูทเเคมป์นี่เหลือเชื่อเลย”
“ฉันกำลังคิดว่าเราควรจะมาจัดการเรื่องกฏการได้รับSPกันก่อนดีไหม”
“ฉันเห็นด้วยนะ มีเเต่เรื่องวุ่นวายทั้งนั้น”
“ว่าเเต่รุ่นพี่จะใส่ชุดอะไรไป”
“ชุดสูทลำลองกับเนคไท ใส่ชุดเเบบนี้ไม่ว่าจะเข้าร้านถูกหรือเเพงในญี่ป่นก็ได้ทั้งนั้นเเหละ”
“ผู้ชายนี่สะดวกจังเลยนะ ถ้าจะเเต่งตัวเป็นทางการก็เเค่มีกางเกงเเสลค เสื้อมีปก เเล้วก็เเจ็คเกตเอง ส่วนผู้หญิงถ้าใส่เเบบนั้นก็จะไม่เหมาะ เเถมต้องมาคอยดูด้วยว่าจะต้องเป็นทางการเท่าไรดี”
“เรากำลังไปกินซูชิ ร้านก็เป็นร้านเล็กๆ บรรยากาศน่าจะเป็นกันเอง เเต่งตัวสบายๆไปก็น่าจะไม่มีปัญหานี่”
“เรากำลังพูดถึงคนที่เช่าไนโตะทั้งร้านในวันหยุดอย่างกระทันกันนะ มารยาททางสังคมของเขาอาจจะเเตกต่างกับเราก็ได้ ต้องเตรียมตัวไว้ก่อนสิ”
“ชีวิตคนธรรมดานี่ยากชะมัด”
“รุ่นพี่พูดถูก ฉันกลัวว่ามิโดริจะใส่เสื้อเเลปมาอยู่เนี่ย”
“นึกภาพออกเลยล่ะ อาเหม็ดอาจจะถูกใจก็ได้นะ”
มิโยชิเอาอะไรบางอย่างเป็นกล่องๆออกมา เเละเริ่มห่อของขวัญ
“นั่นอะไรน่ะ”
“ของขวัญการฟื้นตัวของอาช่าน่ะสิ”
“อ้อจริงด้วย งั้นเราควรจะหาของขวัญให้มิตสึรุกิกับไซโต้ด้วยไหม”
“ให้รุ่นพี่ตัดสินใจก็เเล้วกัน”
ผมเอียงคอสงสัย
“รุ่นพี่ อาเหม็ดจ่ายห้าพันกว่าล้านเพื่อซื้อออร์บสุดยอดฟื้นฟูนะ จำได้ไหม”
“จำได้สิ ในกล่องนั่นมีอะไรล่ะ”
“มีอะไรหรอ เป็นต่างหูดอกทานตะวันจาก เเฮรี่ วินสตัน ราคาสองล้านเยน เด็กสาวทุกคนอยากมีต่างหูเเบบนี้มีรูบี้อยู่ตรงกลางกันอยู่เเล้ว”
“ว้าว ไม่ต้องเเพงขนาดนั้นก็ไม่มีใครว่าหรอกนะ”
ผมเป็นห่วงอยู่เรื่องนึง
“มีคำถาม อาช่าจะเจาะหูได้รึเปล่า เพราะมีสกิลสุดยอดฟื้นฟูอยู่นี่”
“ฉันก็สงสัยเหมือนกัน เเต่ตอนนี้สกิลของเธอยังใช้งานไม่ได้ จะทำอะไรก็ต้องรีบทำตอนนี้เเหละ”
“เธอสกิลของเธอกลับมาทำงานอีกครั้งในอนาคต เธอจะไม่สามารถเจาะหูได้อีกเเล้วหรอ เธอเลยอยากให้ทำตอนนี้ มันก็เข้าท่าอยู่หรอก เเต่พอสกิลขลมันกลับมาใช้ได้จริงๆ รูที่เจาะไว้จะไม่สมานกลับมาเหมือนเดิมรึไง”
“ฉันไม่ห่วงเรื่องนี้หรอกนะ”
“ทำไมล่ะ”
“ก็เพราะของฉันยังไม่ปิดเลยน่ะสิ”
จริงดิ ตอนเเรกผมก้นึกว่าสกิลนี้จะฟื้นฟูจากข้อมูลพวกดีเอ็นเอซะอีก แต่ดูเหมือนจะไม่ใช่
“อืมมม เรื่องนี้มันน่าสงสัยจริงๆแหะ”
“รุ่นพี่เคยพูดเรื่องนี้เอาไว้เองนะ”
“ฉันหรอ?”
“รุ่นพี่เคยพูดไว้ว่ามันเกี่ยวกับจิตใจ ประมาณจิตใต้สำนึกเชื่อมกับสกิล”
“อ้อใช่ ตอนที่คุยกันเรื่องวอลท์”
“ตอนนั้นเเหละ รุ่นพี่น่าจะพูดถูกมากกว่าที่ฉันคิดไว้ซะอีก”
“เธอเลยคิดว่าเรื่องนี้เกี่ยวกับเจาะหูด้วยว่างั้น”
“ฉันคิดอย่างนั้นเเหละ”
ทันใดนั้น ผมคิดเรื่องที่ไม่เหมาะสมขึ้นมาได้เรื่องนึง สำหรับคนที่อุศตัวเองให้กับการวิจัยเเล้ว ผมมีหน้าที่ที่จะต้องเเสวงหาคำตอบอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ ใช่ ถึงมันจะเป็นเรื่องอันตราย เเต่ผมก็จำเป็นที่จะต้องยอมรับความเสี่ยงนั้น
“นี่ มิโยชิ”
“ว่าไง”
“ฉันคิดว่ามีเรื่องนึงที่สงสัยมากๆเลย”
“ว้าว ทำไมฉันรู้สึกไม่ค่อยดีเกี่ยวกับสิ่งที่รุ่นพี่จะถามเลย เเต่ลองถามมาดูก่อนก็ได้”
“เเล้วไอนั่นของเธอมันสร้างขึ้นมาใหม่ไหม เยื่อพรมจ-โอ๊ย!”
ก่อนที่ผมจะทันได้ถามครบประโยค มิโยชิโยนเเทปเล็ตใส่หน้าผากผมเต็มๆ
“มันเป็นเรื่องละเอียดอ่อนนะ รุ่นพี่!”
อืมม ชอโทษที่ถามละกัน
“ยังไงก็เหอะ อาช่าน่ะประสบอุบัติเหตุตั้งเเต่เด็ก ทำให้เธอใช้ชีวิตเป้นเดอะเเฟนทอมออฟโอเปร่าตั้งเเต่ตอนนั้น” มิโยชิพูด
“ฉันก็ได้ยินมาเเบบนั้น”
“ก็คือ เธอไม่เคยได้เเต่งตัวสวยๆเลย”
“อืมม”
“พอให้ต่างหูนี้กับเธอ ก็เหมือนเป็นการบอกให้เธอสนุกกับชีวิตใหม่ตอนนี้ เเถมราคาก็สมเหตุสมผลด้วย เธอจะได้ไม่ต้องกลัวว่าจะทำให้เราลำบากอะไร ที่สำคัญที่สุด นี่จะเป็นของขวัญจาก ‘แฟนหนุ่ม’ ของเธอด้วย”
สองบ้านเยนสำหรับต่างหูนี่มันสมเหตุสมผลเเล้วเรอะ เจ้าพวกคนรวยติดอันดับเนี่ย ไม่รู้ซะเเล้วว่าโลกมันเป็นยังไง ฉันจะสอนให้รู้คุณค่าของเงินทุกบาททุกสตางต์เอง เดี๋ยวก่อนนะ พ่อของเธอพึ่งจ่ายเรามาห้าพันล้านนี่นา
“เเต่เราจะไม่ได้เป็นคนเจาะหูเธอเองใช่ไหม”
“พ่อของเธอน่าจะพาเธอไปเจาะหูที่คลีนิคการเเพทย์สักที่เเหละ เเต่ว่าการที่ไม่ได้ใช้ของขวัญที่ได้รับมาทันทีมันน่าเศร้านะ”
มิโยฃิส่งเสียงอะแฮ่มอย่างตั้งใจ
“เพราะเเบบนี้ฉันเลยมีเเผนสำรองไว้ตลอดเวลาไงล่ะ มีจี้อันเล็กนี่ที่มีดีไซน์เหมือนกัน”
“จี้หรอ”
“เชื่อฉันสิ วันนี้เธอต้องใส่ชุดเดรสที่มีคอเว้าเเน่ๆ เเต่เธอจะไม่มีเครื่องประดับอะไรใส่”
“เธอรู้ได้ยังไง”
“เพราะจนถึงตอนนี้ เธอต้องซ่อนร่างกายเอาไว้ตลอด เเต่ถ้าดูจากความสวยของอาช่าเเล้ว เธอจะต้องใส่อะไรหรูหราที่เข้ากับงานปาร์ตี้เเน่ๆ”
สรุปคืออาช่าไม่มีเครื่องประดับเพราะเธอไม่เคยจะต้องการพวกมัน อืม ผมเคยสาบานไว้เเล้วนี่ว่าจะไม่สงสัยสัญชาตญาณของมิโยชิอีก
“อ้อ เเล้วก็รุ่นพี่จะต้องเป็นคนใส่จี้นี่ให้เธอนะ”
“ทำไมต้องฉันล่ะ”
“เธออายุมากเกินกว่าจะให้พ่อเธอใส่ให้เเล้ว เเล้วก็คนอื่นในงานก็เป็นผู้หญิงหมดด้วย”
อ๊ะ จริงด้วย เดี๋ยวก่อนนะ ผมเป็นพระเอกนิยายฮาเร็มไปตั้งเเต่เมื่อไร
“ถ้าเราคอยประจบอาเหม็ดเเล้วล่ะก็…” มิโยชิพูดไม่จบ ทำหน้าเหมือนน้ำลายสอ
“เอาผ้าเช็ดปากไหม คุณราชินีการค้า”
“ไม่นะ ฉันไม่ได้คิดจะให้เขาเหมาร้านลาโอซิเย่ในครั้งหน้าเลยสักนิด สาบานได้!”
มีบริษัทเครื่องสำอางค์แห่งหนึ่งมาเปิดร้านอาหารที่มีชื่อว่า ลาโอซิเย่ในกินซ่า ร้านมีรูปร่างเป็นทรงกลม พนักงานก็จะคอยวิ่งวุ่นกันเป็นวงกลม อย่างไรก็ตาม ร้านนี้เป็นหนึ่งในร้านตัวเเทนอาหารฝรั่งเศษในญี่ปุ่น การคิดว่าจะเหมาทั้งร้านนั้น สำหรับผมเเล้วเเทบจะเป็นไปไม่ได้เลย
“จะว่าไป นี่เป็นการเปลี่ยนเรื่องเลยนะ เเต่ว่า…”
“เเต่ว่า”
“ฉันสามารถเอารถบัสยี่สิบคันใส่เข้าไปในสโตเรจได้หมดเลยนะ”
จริงดิ ยี่สิบคันเลยหรอ
“น-นี่มันสุดยอดไปเลย ถ้าของสองร้อยตันสามารถเข้าไปอยู่ในสโตเรจได้ ฉันก็นึกไม่ออกเลยว่ามันจะมีลิมิตไหม”
“เเล้วตอนเอาของออกจากสโตเรจ ฉันสามารถวางมันยังไงก็ได้ตามใจชอบ ถึงจะวางไกลหน่อยก็ยังได้ น่าสนใจดีมั้ยล่ะ”
“เธอไปทำให้ลานจอดรถบัสกลายเป็นสนามเด็กเล่นมารึไง”
“สะ-สนามเด็กเล่น” มิโยชิตอบด้วยการเลียนเสียงเป็นหุ่นยนต์ “ขออภัย ไม่สามารถทำความเข้าใจคำถามได้”
มิโยชิไม่ยอมสบตาผม เเต่ถ้าผมกกดดันเธอต่อไป มันก็จะเเค่เพิ่มผู้กระทำความผิดจากหนึ่งเป็นสองคนเท่านั้นเอง ไม่ล่ะ ไม่มีอะไรดีหรอก
ผมไม่รู้เรื่องอะไรทั้งนั้นนะครับ คุณตำรวจ
“เราจะไปทดสอบกับรถไฟหรือรถถังต่อไหมล่ะ ถ้าสามารถเอาใส่เข้าไปได้จริงๆ ต้องเป็เรื่องใหญ่กว่าการขนของเถื่อนเล็กๆน้อยๆเเน่ ตอนนี้เราหาเก็บไว้อย่างเดียวน่าจะดีกว่า ยังไม่ต้องเอาไปขาย”
“ก็ดีนะ”
หลังจากพูดคุยทุกเรื่องเสร็จเเล้ว ผมก็ยังมีเวลาเหลืออยู่อีกมาก คนขับที่จ้างมาจะมาถึงในอีกสี่ชั่วโมง
“งั้นเอาล่ะ”
“เอาอะไร”
“ตอนนี้พึ่งเที่ยงเอง เดี๋ยวฉันจะออกไปข้างนอกนะ”
“จะไปหาทางมัดใจมิตสึรุกิรึไง”
“รู้ได้ยังไงเนี่ย เธอมีพลังจิตหรอ”
“เเค่จากที่คุยกันก็รู้เเล้ว รุ่นพี่น่ะอ่านออกง่ายจะตายไป”
“ปัดโธ่ ตามที่เธอพูดนั่นเเหละ เอ้อ ถ้างั้น ฉันจะให้อะไรเธอดีล่ะ”
ไม่ใช่เรื่องที่ผมภูมิใจหรอกนะ เเต่ผมไม่ค่อยเก่งเรื่องพวกนี้ ไม่รู้ว่าจะให้ของขวัญอะไรกับนางเเบบดี
“นี่รุ่นพี่จะให้ฉันคิดให้หรอว่าควรจะให้ของขวัญอะไร ถ้าเราจะฉลองที่เธอสามารถเป็นนางเเบบได้ อัญมณีน่าจะดีที่สุด สำหรับสาวสวยผมสั่น เธอน่าจะมาในชุดนางเเบบ ถ้ารุ่นพี่ซื้อต่างหูให้ ฉันเเนะนำว่าให้เป็นไข่มุกเล็กๆน่าจะดี เอ๊ะเเต่ไข่มุกใหญ่ก็ดูหรูดี ให้ความรู้สึกหนักเเน่น”
“งั้นหรอ ฉันควรจะไปซื้อที่ไหนล่ะ”
“รุ่นพี่นี่เหลือเชื่อจริงๆเลย เเต่ถ้าไม่เคยซื้อมาก่อน ที่มิกิโมโตะน่าจะดี สาขาหลักจะอยู่ที่กินซ่าเขตสี่”
“เอาล่ะ ไข่มุกลูกใหญ่ที่มิกิโมโตะสินะ สมเเล้วที่ฮันไว้ใจเธอ ตัวเเทนของฉัน”
“พยายามอย่าทำพังเองละกัน” มิโยชิถอนหายใจ
ด้วยเหตุนี้ ผมเลยท่องไปยังโลกที่ไม่รู้จัก เเน่นอนว่าไม่ได้ไปช่วยโลกไม่ให้ถูกทำลายหรอกนะ