ดี-เจเนซิส : สามปีหลังจากดันเจียนปรากฏขึ้น - ตอนที่ 0 เล่ม 1 : บทนำ
3 ปีที่เเล้ว เนวาดา, สหรัฐอเมริกา
ประเทศสหรัฐอเมริกานั้น ได้เดิมพันกับการสร้างเครื่องเร่งอนุภาคขนาดใหญ่ที่รัฐเนวาดา โดยขนาดของเครื่องใหญ่ครอบคลุมตั้งเเต่กรูมเลค(แอเรีย51)ไปถึงภูเขาบาลด์เมาเทน โดยมีเส้นรอบวงถึง 120 กิโลเมตร
ในวันนี้ ลึกลงไปใต้ดิน150เมตร กำลังขับของเครื่องเร่งอนุภาคนั้นได้ถูกเร่งขึ้นเพื่อพิสูจน์การมีอยู่ของมิติอื่นๆ และในที่สุด เมื่อพลังงานการชนของเครื่องเร่งอนุภาคจุดที่เกินกว่าเครื่องเร่งอนุภาคฮาโลเจนเคยทำเอาไว้ลิบลับ อุปการณ์ในการวัดต่างๆก็ได้บันทึกการชนของอนุภาคออกมาได้เเละเเสดงผลบนหน้าจอ
“…พวกเรายืนยันการเกิดของหลุมดพขนาดเล็กได้เเล้ว!”
เสียงโห่ร้องยินดีดังขึ้นทั่ว เพื่อฉลองการที่พิสูจน์ทฤษฎีใหม่เสร็จสิ้น
“ทำได้เเล้วนะ ดอกเตอร์ไทเลอร์!”
นักวิทยาศาสตร์ที่อยู่รอบๆพากันกรูเข้ามาจับมือกับดอกเตอร์ทีโอดอร์ นานาเสะ ไทเลอร์ ซึ่งเป็นหัวหน้าการวิจัยนี้
“ยินดีด้วย เทด!”
ดอกเตอร์ไทเลอร์จับมือตอบ “ขอเถอะ อย่าใช้ชื่อเล่นนั้นได้ไหม” เขาพูดพร้อมกับหัวเราะไปด้วย “ผมดูเหมือนตุ๊กตาพูดได้รึไง?”
นักวิทยาศาสตร์วัยรุ่นคนหนึ่งกำลังมองสิ่งที่เกิดขึ้นด้วยความชื่นชม แต่หลังจากตื่นเต้นไปได้สักพัก เขาก็ได้สังเกตเห็นสิ่งที่เเปลกประหลาดจากบนหน้าจอคอมพิวเตอร์ที่กำลังเเสดงผลอยู่ หลังจากที่การทดลองได้เสร็จสิ้นไปเเล้ว คอมพิวเตอร์ก็ยังทำตามโปรเเกรมที่ตั้งไว้อย่างต่อเนื่องและประมวลผลออกมาในระดับเฟมโตวินาที ซึ่งตอนนี้ผลลัพธ์ที่แสดงอยู่บนหน้าจอนั้น….ไม่น่าเป็นไปได้
“ดอกเตอร์ไทเลอร์ มาดูนี่เร็ว!”
เสียงของนักวิทยาศาสตร์วัยรุ่นคนนั้นที่ตะโกนขึ้นมา -ฟังดูเหมือนกรีดร้องมากกว่า- ได้ดึงดูดความสนใจของทุกๆคน
“มีอะไร?” ดอกเตอร์ไทเลอร์ถาม
นักวิทยาศาสตร์ที่อายุยังน้อยนั้นมีโอกาสสร้างความผิดพลาดตอนไหนเมื่อไรก็ได้ ไทเลอร์นั้นเรียนรู้ความจริงข้อนี้จากประสบการณ์การทำงานของเขามามาก เเละเขายังรู้อีกว่าในเวลาเเบบนี้ การขึ้นเสียงกลับจะทำให้ปัญหาเเย่ลงกว่าเดิม
ไทเลอร์เข้าหานักวิทยาศาสตร์คนนั้นอย่างใจเย็น แแต่อย่างไรก็ตาม เขาไม่สามารถทำความเข้าใจกับคำตอบที่เขาได้รับได้
“หละ-หลุมดำขนาดเล็กมัน…” เขาลังเลก่อนที่จะตอบออกมาในที่สุด “มันยังไม่หายไป!”
ทั้งห้องตกอยู่ในความเงียบ ทุกคนคิดเหมือนกันคือ เหลวไหลน่า
ถ้าทฤษฎีถูกต้อง หลุมดำควรจะหายไปในทันทีตามทฤษฎีรังสีฮอว์กิง มวลที่ถูกใช้ในการสร้างหลุมดำนั้นมีขนาดไม่เกินโปรตอนหน่วยเดียวเท่านั้น
“หลุมดำขนาดเล็กจำนวนมากกำลังเคลื่อนตัวด้วยความรวดเร็วตามพื้นที่ว่าง มัน…!” นักวิทยาศาสตร์วัยรุ่นพยายามที่จะอธิบายสิ่งที่เขาเห็น “เหมือนกับมีพลังงานบางอย่างควบคุมอยู่!”
***
ในตอนเเรก มันไม่มีอะไรมากไปกว่าการบิดเบี้ยวของพื้นที่ในระดับควอนตัม แต่’มัน’รับรู้ถึงความบิดเบี้ยวเหล่านั้นในขณะนั้น เป็นโอกาสเดียวในช่วงชีวิตของ’มัน’ ด้วยเหตุนั้น’มัน’ จึงคว้าความบิดเบี้ยวนั้น เเละทำให้ความบิดเบี้ยวขยายตัว
กรุงวอชิงตัน ดีซี, สหรัฐอเมริกา
“มะ-มีมวลมหาศาลก่อตัวขึ้นภายในพื้นที่จำกัด…นั่นมันคืออะไรกันเนี่ย!”
ในขณะที่เสียงของคนพูดนั้นออกมาจากลำโพง มอนิเตอร์นั้นก็กลายเป็นสีขาวโพลน เเละวิดิโอที่เล่นอยู่ก็ได้จบลง
“ที่บันทึกไว้ได้มีเเค่นี้งั้นรึ?”
หลังจากถามคำถามนั้น ชายสวมสูทสามชิ้นจากร้านเชสเตอร์ บาร์รี่ ที่กระวนกระวาย ก็เปลี่ยนท่านั่งไขว่ห้าง
“ครับ,” ผู้ใต้บังคับบัญชารายงาน “นี่เป็นภาพวีดีโอที่บันทึกได้จากศูนย์ควบคุมการทดลองเครื่องเร่งอนุภาค ที่ฐานทัพอากาศกรูมเลค”
“ถ้าเป็นอย่างนั้น เเสงว่าศูนย์ควบคุมยังอยู่ดีงั้นรึ” เเล้วโรงไฟฟ้านิวเคลียร์ล่ะ ที่เป็นตัวสร้างพลังงานให้กับฐานนั่น
ฝันร้ายที่จากเหตุการณ์ “เกาะสามไมล์” นั้นได้ผุดขึ้นมาในความคิดของเขา ยังไงก็อยากจะหลีกเลี่ยงไม่ให้เกิดขึ้นอีกเป็นครั้งที่สอง
“บนพื้นผิวไม่มีความเสียหายสำคัญครับ” ผู้ใต้บังคับบัญชาพูดต่อ “เเต่ว่าไม่สามารถที่จะติดต่อกับทางส่วนใต้ดินที่เครื่องเร่งอนุภาคอยู่ได้ ส่วนโรงไฟฟ้านิวเคลียร์ปลอดภัยครับ”
“เเล้วหลุมดำขนาดเล็กนั่น?”
“ไม่ทราบครับ เเต่ถึงอะไรจะเกิดขึ้น มันก็ไม่น่าจะขยายตัวจนกลืนโลกทั้งโลกได้”
เมื่อได้ยินดังนั้น ชายใส่สูทจากร้านเชสเตอร์ บาร์รี่ค่อยโล่งใจขึ้นมาเเละพยักหน้า “ปฏิบัติการช่วยเหลือล่ะ?”
“ในตอนเเรก เจ้าหน้าที่ภายในฐานนั้นเริ่มทำการช่่วยเหลือเเล้ว เเต่ลิฟทุกตัวได้ถูกปิดทั้งหมด ไม่ขยับได้เลยเเม้เเต่นิดเดียว ดังนั้น ทีมช่วยเหลือเลยต้องใช้บันไดฉุกเฉินทางจุดสามด้านตะวันตกของภูเขาบาลด์เมาเทน เเต่ทว่า…”
ผู้ใต้บังคับบัญชาได้เเสดงภาพนิ่งหนึ่งบนหน้าจอ
“นี่มัน…” ชายใส่สูทพูดขึ้น “ฉากใหม่ล่าสุดจากหนังแอคชั่นฮอลลีวูดรึไง”
ในภาพนั้นปรากฏรูปร่างอะไรบางอย่างคล้ายมนุษย์ หน้าตาน่าสะพรึงกลัวและมีผิวหนังสีออกน้ำเงิน
“เจ้าสัตว์ประหลาดนี่สูง10ฟุต(ประมาณ300เซนติเมตร)” ผู้ใต้บังคับบัญชาตอบ “เป็นสิ่งมีชีวิตตัวเเรกที่ทีมช่วยเหลือเจอ”
ถ้านี่เป็นภาพยนต์แฟนตาซี สัตว์ประหลาดตัวนี้คงถูกเรียกว่าออร์คหรือโทรล
“ทหารสองนายเเรกที่เปิดฉากยิงทันทีได้ถูกทำร้ายจนเสียชีวิต” เขาพูดต่อ “กระสุนจากไรเฟิลGAU-5A ASDW ของกองทัพอากาศได้ผลลัพธ์พอๆกับเครื่องยิงเมล็ดถั่ว”
ชายสวมสูทที่กำลังทึ่งได้หลุดปากพูดถึงเกมที่เขาชอบเล่นสมัยเด็ก “นักวิทยาศาสตร์พวกนั้นทดลองการเทเลพอทระหว่างโฟบอสกับเดมอสรึไง” (อ้างอิงจากเกม Doom)
ถึงกระนั้น เขาส่ายหัวอย่างเร็ว เเละสั่งการคำสั่งออกไป
.***
สิ่งมีชีวิตนั้น ที่เหมือนจะมีสติปัญญา กระทำการด้วยความตั้งใจ อวัยวะของ’มัน’ สร้างวงจรกระเเสไฟฟ้าอันซับซ้อนออกมาอย่างไม่หยุด ระหว่างชั่วเวลาพริบตากับกัลปาวสาน ‘มัน’สั่นเทิ้มไปด้วยความยินดี ปลดปล่อยทรัพยากรอันกว้างใหญ่ ทั้งหมดเพื่อเติมเต็มความปรารถนาของ’มัน’เอง
ในวันนั้น 150 เมตรใต้กรูมเลค ดันเจี้ยนแห่งเเรกได้ถือกำเนิดขึ้น โดยภายหลังได้ถูกขนานนามว่า เดอะริง
ปัจจุบันม กันยายน 2018
เนวาดา, ศูนย์วิจัยดันเจี้ยนแอเรีย 51
สิ้นเดือนกันยายน อุณหภูมิช่วงเวลากลางวันของเนวาดานั้นสูงกว่า25องศาเซลเซียส ลมร้อนๆแห้งๆได้พัดผ่านผืนดิน
ในศูนย์วิจัยจากภาครัฐแห่งหนึ่ง ผู้อำนวยการอารอน ไอนส์เวิร์ท ส่งเสียง “ทฤษฎีทางผ่านดันเจี้ยนได้รับการพิสูจน์รึยัง?”
ตามทฤษฎีนี้ ดันเจี้ยนนั้นเป็นทางผ่านไปยังที่ๆหนึ่งที่ไม่มีใครรู้ว่าเป็นที่ไหน ในลักษณะเดียวกันกับทฤษฎีโลกกลวง* ในตอนเเรกทฤษฎีเหมือนจะเป็นเพียงเเค่การเดาสุ่ม ถึงอย่างนั้นก็ยังมีข่าวเเพร่กระจายเรื่องนี้ไปเพียงเเค่เพราะมันน่าสนใจ เเต่หลังจากที่เป็นที่รู้กันทั่วไปว่า ดันเจี้ยนนั้นมีอยู่ในพื้นที่ที่มีเป็นมิติจำเพาะแยกออกจากโลก ก็มีนักวิจัยหลายคนที่มาศึกษาทฤษฎีอย่างจริงจัง แน่นอนว่าผู้สนับสนุนนั้นเป็นพวกคลั่งศาสนาน่าสงสัย หรือไม่ก็พวกที่โด่งดังจากหน้าสื่อที่ประกาศตนว่าเป็น’นักวิจัย’
“ได้รับการพิสูจน์หรือครับท่าน?” เจ้าหน้าที่ประสานงานพูดขึ้น “นั่นมันอาจจะด่วนสรุปไปหน่อย”
ใต้สายตาจ้องเขม็งของอารอน เจ้าหน้าที่ก็เริ่มอธิบายอย่างกล้าๆกลัวๆ เมื่อหนึ่งเดือน ได้มีสกิลออร์บได้ถูกค้นพบที่ ลุ่มน้ำเเม่น้ำโอบในรัสเซีย ถ้าพูดอย่างเจาะจงก็คือ ถูกพบในดันเจี้ยนที่อยู่ระหว่างเมืองซูร์กูตเเละเมืองนิชเนฟนีวาโตรฟสก์ สกิลที่อยู่ในออร์บนั้นคือสกิล “การรทำความเข้าใจภาษาต่างโลก”
ผู้ที่ค้นพบสกิลออร์บดังกล่าวพยายามจะส่งออร์บไปที่กรุงมอสโควทันที เเต่ด้วยสภาพอากาศที่ย่ำเเย่เเละโชคร้ายที่พอเหมาะพอเจาะ เครื่องบินไม่สามารถขึ้นบินได้ ก่อนที่ออร์บนั้นจะหายไป มะนได้ถูกใช้โดยใครบางคนในบริเวรนั้นที่มี ดี-การ์ด
“ชื่อของผู้ที่ได้รับสกิลนั้นได้ถูกเปิดเผยเเล้วรึยัง” อารอนถาม เพราะว่าสกิลนั้นเป็นสกิลทักษะทางวิชาการ ไม่น่าจะมีทางที่จะปกปิดชื่อผู้ได้รับสกิลได้
“ถูกต้องเเล้วครับ ตามเอกสารที่ได้ถูกเผยแพร่ ชื่อผู้รับสกิลคือ อิกนัต เซเวอร์นี”
เท่าที่อารอนรู้ ไม่มีนักวัจัยดันเจี้ยนคนไหนในรัสเซียที่ใช้ชื่อนั่น
“นี่เป็นเนื้อหาของเอกสารครับ” เจ้าหน้าที่พูดต่อพร้อมกับยื่นการ์ดความจำออกมา “เอกสารนี้คือส่วนหนึ่งของบทแปลจารึกที่พบในดันเจี้ยน”
หลังจากคว้าการ์ดความจำมาจากเจ้าหน้าที่ อารอนก็เสียบมันเข้ากับเเทปเล็ต ใส่รหัสเเละเปิดไฟลล์ เนื้อหาภายในนั้นน่าตกใจอย่างยิ่ง
“ดันเจี้ยนคือเครื่องมือเเปลงสภาพเเวดล้อม?”
ตามข้อมูลในไฟลล์ ดันเจี้ยน-ลึกลงในในพื้นโลกราวกับเข็ม-นั้นมีเอาไว้เพื่อสร้างสสารที่เรียกว่า”มาจิกุล” โดยสสารนี้จะอยู่ในต่างโลก เเละเหมือนกับว่าต่างโลกนั้นต้องการที่จะมาเเปลงสภาพโลกอื่น เเละถ้าโลกอื่นนั้นไม่มี”มาจิกุล” ดันเจี้ยนจะสร้างมันออกมาในรูปแบบของมอนสเตอร์
ถ้าเป็นความจริง การกระทำดังกล่าวก็ถือว่าเป็นการเเปลงสภาพเเวดล้อมอย่างเเน่นอน อีกทั้งตามบทแปลจารึก ดันเจี้ยนที่มีขนาดมากกว่า 128 ชั้นจะเป็นทางผ่านไปสู่ต่างโลก
“ถ้านี่เป็นเรื่องจริง มันมากกว่าตกใจซะอีก” อารอนพูด “มันสามารถก่อให้เกิดจลาจลได้เลย”
“เห็นด้วยครับ”
เเต่ทว่าในตอนนี้ มีเพียงคนๆเดียว -อิกนัต เซเวอร์นี- ที่สามารถเข้าใจภาษาในจารึก ไม่มีคนอื่นที่สามารถยืนยันเนื้อหาที่คนๆนั้นเเปลออกมาได้ ในตอนนี้มีเพียงพระเจ้าเท่านั้นที่รู้ว่าเค้าใส่เนื้อหาปลอมเเปลงลงในบทแปลนั่นหรือไม่
“เพื่อยืนยันข้อมูลพวกนี้ ต้องมีคนอื่นที่ครอบครองสกิลเดียวกันเพื่อมาแปลจารึก” เจ้าหน้าที่เเสดงความคิดเห็น
“มีการยืนยันหรือยังว่ามอนเสตอร์ที่ดรอปสกิลออร์บนี้มีอยู่ในสหรัฐ?”
“มอนสเตอร์ที่ดรอปสกิลนี้ยังไม่ถูกประกาศอย่างเป็นทางการครับ แต่ออร์บนี้ดรอปใน ดีนเจี้ยนกีร์ยาส กูลเยแกน ตั้งอยู่ตรงส่วนที่เชื่อมต่อระหว่างเเม่น้ำเรกา กูลเยแกนกับเเม่น้ำโอบ อ้างอิงตามสนธิสัญญาดันเจี้ยนนานาชาติ มอนเตอร์บริเวณนั้นได้ถูกเปิดเผยต่อสาธารณะชนเเล้ว ถ้าเรามาศึกษาค้นคว้ามันทีละตัว…”
เมื่อได้ยินดังนั้น อารอนก็ถอนหายใจ “อ้อมโลกชะมัด เเต่คงไม่มีทางเลือกอื่นสินะ”
จากหน้าต่างด้านหลังโต๊ะทำงาน อารอนมองออกไปที่ทิวทัศน์ของเนวาดาในขณะที่ดวงอาทิตย์กำลังมืดลง สิ้นเดือนกันยายน อุณหภูมิจะลดลงอย่างรวดเร็วเมื่อพระอาทิตย์ตกดิน ที่เขากำลังสั่นนี่เพราะอากาศที่หนาวเย็น? หรือว่าเพราะพลังงานจากอะไรบางอย่างที่อยู่ลึกลงไป 150 เมตรใต้เท้าเขากันเเน่?
หลังจากนั้น เนวาดาก็กลายเป็นเวลากลางคืน