ดาบผู้พิทักษ์ปริศนาของบุตรชายตระกูลบารอน - ตอนที่ 4
เลกซ์รู้สึกเหมือนอะไรก็ช่างเป็นใจ
เขามองไปยังแอลผู้เป็นน้องชายของคริสต์ด้วยรอยยิ้มที่บิดเบี้ยว
ถึงจะไม่รู้ว่าเด็กหนุ่มพบฐานลับและเข้ามาถึงคุกใต้ดินได้ยังไง แต่เมื่อเข้ามาให้เชือดถึงที่แล้วเขาก็ยินดี เพราะก่อนหน้าเขามีความคิดที่อยากจะทรมานคนในครอบครัวของคริสต์ต่อหน้าเธอเป็นการแก้แค้นอยู่พอดี และเด็กนี่ก็มาในจังหวะที่เหมาะเจาะ
แม้จะกังวลอยู่ลึก ๆ เกี่ยวกับความสามารถของแอลที่น่าจะเป็นคนจัดการกับทหารเฝ้าระวังกว่าสิบนายเพื่อบุกเข้ามาถึงที่นี่ แต่ตอนนี้เขามีทั้งดาบมนตราและมีปรมาจารย์ดาบอย่างเดอาโกอยู่ข้างกาย การที่เขามากลัวเด็กที่ไม่รู้ความสามารถเพียงแค่คนเดียวก็ดูจะประเมินค่าแอลสูงเกินไป
แค่เด็กอายุสิบสาม ถึงแม้มันจะเป็นอัจฉริยะ แต่จะเก่งขนาดไหนกันเชียว
“เดอาโก ยืนดูตรงนี้แหละ ฉันจะเล่นกับเจ้าเด็กนี่หน่อย” เลกซ์พูดเช่นนั้น ก่อนจะเดินก้าวเท้าขึ้นไปข้างหน้าหนึ่งก้าวและควงดาบมนตราอย่างช่ำชอง
เขาจ้องมองไปที่เด็กหนุ่มพลางคิดเกี่ยวกับดาบในมือ
ดาบมนตรา ‘มิดการ์เดอร์’ เอาจริง ๆ เขาไม่ได้รู้เกี่ยวกับความสามารถของมันเลย สิ่งที่เขาพูดไปก่อนหน้านี้อย่างการที่มันเป็นดาบที่สามารถเพิ่มความหนาแน่นของพลังเวทเป็นทีคูณและสามารถถ่ายเท่พลังเวทลงไปในตัวดาบได้ถึงร้อยเปอร์เซ็นต์ นั้นล้วนแล้วแต่เป็นความสามารถพื้นฐานของดาบมนตราที่เขาได้รู้มาจากที่อื่นทั้งสิ้น
เขารู้มาว่าดาบมนตราแต่ละเล่มล้วนแล้วแต่มีความสามารถอันเป็นเอกลักษณ์ของตัวเอง แล้วเอกลักษณ์ของดาบมนตรามิดการ์เดอร์ในมือของเขานี่ล่ะ มันจะมีความสามารถเป็นยังไง
งั้นลองพิสูจน์มันในการต่อสู้กับเด็กนี่เลยแล้วกัน!
“อย่ามาแพ้เอาง่าย ๆ ซะล่ะ!”
เลกซ์พุ่งทยานเข้าหาแอลด้วยความรวดเร็วพร้อมกับถ่ายพลังเวทเข้าไปในดาบมนตรา ตัวแอลที่เห็นคมดาบกำลังวาดมาถึงตนได้เอี่ยวตัวหลบอย่างน่าหวาดเสียว ซึ่งเขาไม่แปลกใจเท่าไหร่ที่เด็กหนุ่มสามารถหลบได้และเริ่มโจมตีด้วยดาบที่อัดพลังเวทใส่แอลอย่างต่อเนื่อง
แต่ไม่ทันที่เขาจะได้ออกกระบวนท่าต่อไป สายตาของเขาก็สบกับดวงตาที่เบิกกว้างด้วยความตกใจของคู่ต่อสู้ และเมื่อเขากลับมาดูดาบในมือของตน เขาก็พบว่ามันกำลังเปล่ง ‘ออร่า’ สีแดงเด่นชัด ซึ่งสิ่งที่ปรากฎก็ทำให้เขาตกตะลึงไม่แตกต่างจากแอล
“นี่เหรอพลังของดาบมนตรา…!?” เขาถีบพื้นถอยร่นออกมา
‘ออร่า’ ทุกคนรู้ว่ามันเป็นสิ่งที่เกิดมากจากพลังเวทที่ถูกอัดแน่นและควบคุมอย่างเหนือชั้น ซึ่งมันช่วยเสริมพลังทำลายในการโจมตีอย่างมหาศาล โดยคนที่ทำได้นั้นมีเพียงผู้ที่ถูกเรียกว่า ‘ปรมาจารย์ดาบ’ เพียงเท่านั้น แต่การที่คนที่ไม่ใช่ปรมาจารย์ดาบอย่างเลกซ์สามารถใช้ออร่าได้ ทั้งหมดนั้นเป็นเพราะดาบมนตราในมือของเขาอย่างไม่ต้องสงสัย
มันช่วยเพิ่มหนาแน่นของพลังเวทที่เขาถ่ายไปเสียยิ่งกว่าทวีคูณและควบคุมพลังเวทนั้นด้วยตัวเองอย่างอัตโนมัติจนปรากฎเป็นออร่าสีแดงเข้มข้น เขาทั้งตกตะลึงและลำพองใจ
“หึหึ เป็นอะไรไป รู้สึกกลัวขึ้นมารึไง?” เลกซ์เอ่ยเยาะเย้ยแอลที่เต็มไปด้วยความเคร่งเครียด
ตอนนี้เขารู้สึกเหมือนตัวเองสามารถเอาชนะได้ทุกอย่างเพราะเขามีพลังของปรมาจารย์ กะอีแค่เด็กหัววานซืนตรงหน้าไม่มีทางคะน้ามือเขาหรอก
“…ถ้าจะสู้ก็รีบ ๆ เข้ามา” แอลพูดออกมาอย่างใจเย็นออกมา ก่อนจะเหลือบมองไปยังชายวัยกลางคนที่ยืนนิ่งไม่ขยับเขยื้อนเพราะกำลังมองดูการต่อสู้ของพวกเขาอยู่
“แกจะปากดีได้ก็แค่ตอนนี้แหละ!”
เขาได้พุ่งเข้าไปหวังจะฟันตัวแอลให้ตายด้วยดาบที่เต็มไปด้วยออร่าสีแดง เขาเห็นสายตาที่ละไปสนใจอย่างอื่นของเด็กหนุ่มตรงหน้า มันทำให้เขาไม่พอใจที่แอลทำการหยามหน้าเขาแบบนี้ ทั้ง ๆ ที่สถานการณ์ของตัวเองกำลังตกอยู่ในวิกฤตเพราะตัวเขาแท้ ๆ
“จงรับรู้ซะว่าแกกำลังสู้อยู่กับใคร!?”
ร่างของแอลไม่ขยับเขยื้อนไปไหนเหมือนยอมรับความพ่ายแพ้ เลกซ์มองดูเด็กหนุ่มด้วยความเหยียดหยาม ทั้ง ๆ ที่ปากดีขนาดนั้นแท้ ๆ แต่กลับหวาดกลัวจนก้าวไม่ออก งั้นเขาจะสงเคราะห์ให้โดยการผ่าร่างอันกระจ้อยร่อยนั่นออกเป็นสองส่วนก็แล้วกัน!
“—เลิกเล่นกันสักที” เสียงของแอลก้องกังวาน
ซึ่งทันทีที่เด็กหนุ่มพูดขึ้นเช่นนั้น สิ่งที่เกิดขึ้นก็กลับกลายเป็นอะไรที่ไม่ใช่สิ่งที่ตัวเลกซ์คาดหวัง เพราะแทนที่ร่างของแอลจะขาดออกเป็นสองท่อนด้วยคมดาบของเขา แต่มันดันกลายเป็นร่างของเขาเองที่ขาดเป็นสองท่อน ไม่สิ…
…ระเบิดออกเป็นสองท่อนต่างหาก
—๏๏๏—
ผมมองไปยังร่างของเลกซ์ที่เคยมีชีวิต
มันถูกแบ่งเป็นสองส่วนและกองรวมกันอย่างเวทนา ใบหน้าก่อนสิ้นใจของเขานั้นเต็มไปด้วยคำถามถึงสิ่งที่เกิดขึ้นกับเขาแทนที่จะเป็นผมที่ต้องตาย
แปะ แปะ แปะ ผมได้ยินเสียงตบมือ ซึ่งเมื่อผมหันไปทางต้นเสียงผมก็พบกับชายวัยกลางคนที่ยืนนิ่งมาโดยตลอดกำลังเดินเข้ามาแสดงความชื่นชมต่อสิ่งที่ผมทำลงไป โดยข้างหลังของเขานั้นมีร่างของทหารเฝ้าระวังที่ผมเห็นว่าอยู่กับพวกเขาก่อนหน้านี้นอนจมกองเลือดอยู่
“น่าทึ่งจริง ๆ เมื่อครู่เจ้าทำได้ยังไง?” เขาพูดด้วยรอยยิ้ม
“…คุณดูไม่ทุกข์ไม่ร้อนที่เจ้านายคุณตายเลยนะ” แถมยังฆ่าคนตัวเองแบบไม่รู้สึกอะไรเลยด้วย
เขาเหลือบตามองดูศพอันเวทนาของเลกซ์อย่างไร้อารมณ์
“เจ้าเด็กนี่ตายด้วยความไร้ความสามารถของตัวเอง ทั้ง ๆ ที่มีดาบมนตราอยู่ในมือแท้ ๆ แล้วเจ้านายของข้าคือ ‘องค์ชาย’ ต่างหาก อย่าเข้าใจผิด”
องค์ชาย ไม่ใช่เคาน์งั้นเหรอ…?
เขาชะงักเท้าลงเมื่อเดินมาถึงระยะหนึ่งห่างจากผมประมาณหกก้าว
“เกือบลืม ข้ามีชื่อว่าเดอาโก แล้วเจ้าล่ะ” เดอาโกพูดแนะนำตัว
“แอล—คุณพอจะปล่อยให้ผมพาพี่สาวหนีไปได้รึเปล่า?” ผมขอถึงคำขอที่ไม่มีทางเป็นไปได้ เพราะตลอดการสนทนาเขาไม่ได้ลดแรงกดดันที่ทำให้บรรยากาศอึดอัดลงเลย
“เห็นทีจะคงไม่ได้ เพราะข้ามีหน้าที่ทำให้มั่นใจว่าภารกิจสำเร็จไปได้ด้วยดี”
เขาค่อย ๆ ชักดาบที่เหน็บอยู่ข้างเอวออกมาอย่างเชื่องช้า แรงกดดันที่แผ่ออกมารุนแรงขึ้นในทันทีที่คมดาบถูกชักออกมารับอากาศ ออร่าสีเขียวสดใสที่อยู่ ๆ ก็ปรากฏขึ้นรอบคมดาบ มันบ่งบอกอย่างชัดเจนว่าชายคนนี้เป็น ‘ปรมาจารย์ดาบ’
ผมถีบพื้นทิ้งระยะออกอย่างรวดเร็ว
ผมไม่แปลกใจที่ชายตรงหน้าจะเป็นปรมาจารย์ เพราะรู้สึกได้ตั้งแต่แรกว่าเขาแข็งแกร่ง แต่ผมก็ไม่นึกว่าตัวเองจะซวยมาเจอคนที่แข็งแกร่งขนาดนี้ ผมทำได้เพียงตั้งท่ายกดาบเตรียมสู้ เพราะจะให้หนีไปทั้ง ๆ แบบนี้ก็ไม่ได้ ผมต้องช่วยพี่สาว
“คิดจะสู้กับข้างั้นเหรอ?”
“ผมมีทางเลือกที่ไหนล่ะ” ผมเหลือบไปมองพี่สาวที่ยังคงสลบไสลอยู่
สถานการณ์แบบนี้นั้นชวนให้นึกถึงตอนที่ผมและพี่สาวไปบุกรังโจร เธอพลาดและสลบไสลลงแบบนี้เลย แต่บรรยากาศของตอนนั้นกับตอนนี้นั้นคนละเรื่องเลย
ผมโดนแรงกดดันกดทับจนแทบหายใจไม่ออก ท้องเองก็รู้สึกแน่น และที่หนักที่สุดคือความรู้สึกเสียวสันหลัง แบบนี้เขาเรียกว่าจิตสังหารสินะ
ผมไม่มั่นใจจะชนะชายตรงหน้าเลยจริง ๆ แม้ว่าจะใช้ไพ่ตายที่ตัวเองมี แต่ถ้าพลาดก็จบ คู่ต่อสู้แข็งแกร่งกว่าผมเกินไปและไม่ได้ดูประมาทเหมือนเลกซ์ทำให้ผมไม่มีทางจะจัดการกับเขาได้ง่าย ๆ อย่างน้อย ๆ ผมก็ต้องได้รับบาดเจ็บไม่ก็แผลฉกรรจ์
แต่ก่อนที่ผมจะตกอยู่ในสภาพแบบนั้น ผมก็ต้องล้มเขาก่อน
“ไม่เข้ามาเหรอ?” เดอาโกถามขึ้น ผมไม่ตอบเพราะกำลังรวบรวมสมาธิ
การต่อสู้ตัดสินที่ชั่วพริบตา ผมไม่มีทางต่อสู้แบบยืดเยื้อได้ เพราะทั้งความเร็ว พลัง ความสามารถ และประสบการณ์ของเขานั้นมากกว่าผมเกินไปและผมก็ไม่มีทางรับมือกับมันได้ ฝืนยืดเยื้อการต่อสู้ไปก็มีแต่จะแพ้ ดังนั้นในตอนที่ยังตั้งตัวได้ผมต้องใช้ไพ่ตายนี้ล้มเขา
ผมจับจ้องไปที่ชายตรงหน้าและอัดพลังเวทไปไว้ที่ปลายดาบจุด ๆ เดียว สิ่งที่ผมกำลังทำนี้คือไพ่ตายผมคิดค้นขึ้นเพื่อใช้ในการล้มศัตรูที่แข็งแกร่งกว่าผม สาเหตุเป็นเพราะผมรู้ดีว่าทักษะดาบของผมนั้นไม่ได้เก่งกาจพอที่จะเอาชนะใคร ผมจึงหันไปเอาดีด้านพลังเวทเมื่อสังเกตเห็นว่าตัวเองมีความสามารถในการควบคุมพลังเวทเหนือกว่าคนอื่น
‘อินเทอร์เนิลดิสทรัคชั่น’ คือชื่อของไพ่ตายนี้
มันเป็นการส่งพลังเวทเข้าไปในร่างศัตรูผ่านการแทงก่อนจะทำให้พลังเวทนั้นระเบิดออกเพื่อทำลายภายในของศัตรู มันช่วยให้ผมสามารถล้มศัตรูได้อย่างง่ายดาย เพราะถึงแม้นักดาบเวทคนนั้นจะเก่งกาจขนาดไหน ร่างกายก็ยังคงเป็นมนุษย์ที่ไม่สามารถทนการระเบิดจากภายในร่างกายได้
ถึงแม้มันเป็นท่าที่ดูเรียบง่ายแต่ที่จริงนั้นยากมาก เพราะการควบคุมพลังเวทที่ถูกส่งเข้าไปในร่างกายของศัตรูให้คงสภาพอยู่และระเบิดออกได้นั้นต้องใช้สมาธิเป็นอย่างมาก เพราะโดยปกติทันทีที่พลังเวทออกจากร่างกายมันก็จะสลายกลายเป็นละอองเวทในทันที นั่นคือเหตุผลที่ในโลกนี้ไม่มีจอมเวทเพราะการใช้พลังเวทภายนอกนั้นเป็นอะไรที่เป็นไปได้ยากเกินไป
ผมยัดมันเข้าไปอัดมันเข้าไป ใส่ทุกอย่างที่มีไปรวมไว้ที่ปลายดาบและรวมสมาธิไว้ที่จุด ๆ เดียวเหมือนกับตอนต่อสู้กับเลกซ์ แต่มันต้องเร็วและแรงกว่านั้นเพราะจะได้ล้มเดอาโกได้ในทันทีที่เขาเคลื่อนไหว ผมจะพลาดไม่ได้แม้แต่นิดเดียว
“ถ้าไม่เข้ามา ข้าจะเข้าไปก่อนล่ะนะ” เขาพูดเช่นนั้นก่อนจะหายไปต่อหน้าต่อตา
คาดเดาทิศทางของศัตรูตามละอองเวทที่ปั่นป่วนก่อนจะแทงออกไปให้สุดแรง หากไม่มีอะไรผิดพลาดชายที่หายตัวไปจะปรากฎตัวขึ้นต่อหน้าต่อตาของผม
มาแล้ว! ตอนนี้แหละ—!!
—ฉึก!!
เสียงคมดาบที่แทงทะลุร่างเนื้อดังกึกก้องไปทั่วในคุกใต้ดินที่เงียบงัน
“เจ้ามั่นใจในตัวเองเกินไปนะ” เขาพูดเช่นนั้นขณะที่ปรากฎตัวขึ้นตรงหน้าพร้อมกับดาบที่เต็มไปด้วยออร่าสีเขียวสดใสที่ได้แทงทะลุท้องของผมไป มันเป็นการแทงที่ผมไม่ทันจะรู้สึกตัวด้วยซ้ำ
“เพราะเจ้าเอาแต่มือสั่นนั่นแหละ”
ผมมองมือของตัวเองที่กำดาบอยู่ มันกำลังสั่น …เพราะว่าผมกลัวเขาเหรอ?
“เคยฆ่าคนครั้งแรกงั้นสินะ เลยเอาแต่พะว้าพะวัง”
“อึก…!” ผมยอมรับในสิ่งที่เขาพูดและสำลักเลือดออกมา
ก่อนหน้านี้ที่ผมบุกเข้ามาที่นี่ ผมรู้ดี ผมได้ฆ่าคนที่เป็นทหารเฝ้าระวังไปหลายนาย ผมยังรู้สึกได้ถึงสัมผัสของคมดาบที่เฉือนผ่านเนื้อ มันเป็นความรู้สึกที่กระอักกระอ่วนและหนักอึ้ง ยิ่งตอนที่ผมได้ระเบิดร่างเลกซ์ขาดเป็นสองท่อนและเขาก็สิ้นใจลงต่อหน้า ความรู้สึกต่าง ๆ ก็ยิ่งแย่ลง
ผมพยายามเก็บงำมันไว้และจดจ่ออยู่กับแค่ตรงหน้า แต่มันก็ไม่ได้สินะ แม้จะพยายามทำเป็นลืมแค่ไหน มันก็ยังอยู่ในตัวผมเพราะผมเก็บมันเอาไว้ตลอดเวลา แบบนั้น็หมายความว่ามันก็ยังมีอิทธิพลกับผม และหากผมจัดการความรู้สึกที่มีอิทธิพลเหล่านั้นไม่ได้
สิ่งที่ผมต้องการก็คงไม่มีทางเกิดขึ้น
“ในทุกครั้งหากตัดสินใจทำอะไร เราต้องตัดบางอย่างทิ้ง เจ้าที่ตัดสินใจจะช่วยพี่สาวของเจ้า แต่กลับไม่สามารถตัดความรู้สึกผิดที่มีต่อศัตรูไปได้นั้น …ช่วยพี่สาวของเจ้าไม่ได้หรอก” เขาพร่ำสอนราวกับอาจารย์สอนศิษย์รัก ก่อนจะชักดาบออกอย่างนุ่มนวล
“น่าเสียดายจริง ๆ ”
ในทันทีที่ดาบถูกดึงออกจาก ร่างกายของผมก็พยุงตัวให้ยืนหยัดไม่ได้อีกต่อไป ผมคุกเข่าลงกับพื้นก่อนจะใช้มือที่สั่นระริกคำยันตัวเองและเงยหน้าขึ้นมองใบหน้าของชายตรงหน้าที่ตอนนี้ไม่รู้ว่าเขากำลังแสดงความรู้สึกออกมาอย่างไรเพราะดวงตาของผมที่เบลอจนมองอะไรไม่ชัด
นี่ผมกำลังจะตายงั้นเหรอ…? ผมคิดด้วยสติที่เริ่มพล่ามัว
ผมรู้สึกได้ถึงเลือดอุ่น ๆ ที่ไหลออกมาจากท้องและกลิ่นคาวนั้นก็คละคลุ้งไปทั่วจนเตะจมูก แม้ดวงตาจะมัวหมอง แต่ตัวผมกลับรู้สึกอย่างชัดเจน อย่างไรก็ตาม ในขณะที่ผมกำลังสิ้นหวังลงเพราะความจริงที่ปรากฎนั้นเสียงหนึ่งก็ได้ดังขึ้นเอ่ยปฏิเสธขึ้นมา…
[ไม่ เจ้าจะไม่ตาย]
ผมได้ยินเสียงใครบางคน มันเป็นเสียงที่ผมไม่เคยได้ยินไม่ว่าจากที่ไหน จะว่าสดใสก็สดใส จะว่าโศกเศร้าก็โศกเศร้า จะว่าเย็นชาก็เย็นชา ช่างเป็นเสียงที่มีเอกลักษณ์และคาดเดาไม่ได้ ที่ผมได้ยินเสียงอะไรแบบนี้คงเพราะผมกำลังจะตายอย่างช้า ๆ งั้นสินะ
[ก็ข้าบอกว่าเจ้าจะไม่ตายไง! ฟังภาษาคนไม่รู้เรื่องเรอะ?!]
“…ใคร กัน?” ผมเค้นเสียงพูดออกมาขณะที่คิดว่าตัวเองกำลังหูฝาด
[หันไปทางดาบมนตราที่ขวามือของเจ้าสิ]
ผมเลื่อนสายตาที่พล่ามัวไปตามที่เสียงนั้นบอก ณ จุดที่ร่างของชายที่ผมได้ฆ่าไปกองอยู่ สติที่เลือนรางนั้นแทบจะทำให้ผมมองไม่เห็นตัวดาบ แต่เพราะความสามารถในการมองเห็นละอองเวทในอากาศทำให้ผมยังมองเห็นออร่าสีแดงที่ดูสุขสกาวกว่าปกติของมันได้
[ไปหยิบตัวข้าขึ้นมา แล้วข้าจะช่วยให้เจ้ารอดพ้นจากความตายเอง!]
ถึงจะบอกมาแบบนั้น แต่น้ำเสียงดูไม่น่าเชื่อถือเอาซะเลย
[ใครบอกให้เจ้าคิดแบบนั้นกัน?! ตัวข้าสามารถทำให้เจ้าเอาชนะศัตรูของเจ้าและช่วยพี่สาวของเจ้าได้เลยนะ!] มันเป็นคำพูดที่ราวกับกำลังโดนปิศาจหลอกลวง
น้ำเสียงที่ฟังยังไงก็ไม่น่าเชื่อถือ แต่ผมจะยอมเชื่อ เพราะผมอยากช่วยพี่สาวและไม่ได้อยากตายเพื่อหนีไปจากปัญหาอีกแล้ว เพราะมันไม่ช่วยอะไรเลยสักนิด มันเพียงแต่สร้างความรู้สึกตกค้างที่กวนใจอยู่ตลอดเวลาและไม่สามารถทำให้หายไปไหนได้
“อึก…!!” ผมพยายามฝืนใช้เรี่ยวแรงของร่างกายที่เจ็บปวดและสูญเสียเลือดเป็นจำนวนมาก ซึ่งเป็นอย่างที่คิดมันไม่พอที่จะทำให้ผมลุกขึ้น …งั้นก็มีแต่ต้องคลานไปเท่านั้น
[นั่นแหละ! ดีมาก! พยายามเข้า!] ราวกับเห็นภาพสาวน้อยน่ารักให้กำลังใจ
ตัวผมคลานเข้าไปใกล้ดาบมนตรามิดการ์เดอร์โดยไม่สนใจสายตาของเดอาโก อันที่จริงผมไม่รู้ด้วยซ้ำว่าเขากำลังมองผมยังไงหรือไม่ได้มองผม ผมแค่คลานต่อไปไม่กี่อึดใจจนถึงและไม่รอช้าที่จะยกมือที่เปื้อนไปด้วยเลือดของตัวเองจับมัน ซึ่งทันทีที่มือของผมสัมผัสกับตัวดาบ
[ในที่สุดเจ้าก็เจอข้าสักที! ท่าน ‘ผู้หวนคืนพันธสัญญา’ !!]
พลังเวทอุ่น ๆ ก็ไหลเข้าสู่ร่างกายพร้อมกับคำพูดที่ไม่อาจจะเข้าใจของเสียงปริศนา
ยังไม่ตรวจคำผิด