ดาบผู้พิทักษ์ปริศนาของบุตรชายตระกูลบารอน - ตอนที่ 1
รถม้าที่ประดับประดาไปด้วยลวดลายอันหรูหราจอดลงตรงหน้าคฤหาสน์ตระกูลแลสเซนเนอร์
โดยคนที่เดินลงมาจากรถม้าคนนั้นมีอยู่สองคน คนนึงเป็นชายวัยกลางคนร่างอ้วนที่ร่างกายเต็มไปด้วยเครื่องประดับราคาแพง และอีกคนก็เป็นเด็กหนุ่มผมบลอนด์รูปร่างสมส่วนแข็งแรงที่เหน็บดาบลวดลายหรูหราไว้ที่เอว
“ขอต้อนรับท่านเคาน์เดเลอมาร์และนายน้อยเลกซ์”
โจเซฟยิ้มรับแขกคนสำคัญที่เดินทางมาถึงก่อนเวลา
“สวัสดีครับท่านโจเซฟ ขอโทษที่มาหาก่อนเวลานัดนะ” เคาน์เดเลอมารพูดด้วยรอยยิ้ม
“เชิญทั้งคู่เข้าไปข้างในกันเถอะครับ กระผมได้เตรียมชาดี ๆ ไว้สำหรับการพูดคุยแล้ว”
เขาผายมือทำท่าเปิดทางให้แขกทั้งสองเข้าไปในคฤหาสน์เพื่อพูดคุย ซึ่งทั้งคู่ก็ตอบรับโดยการเดินตามตัวเขาที่เดินนำทางทั้งสองเข้าสู่คฤหาสน์เพื่อพูดคุยถึงเรื่องสำคัญบางอย่าง โดยสถานที่ที่ใช้ในการพูดคุยกันของพวกเขาก็คือห้องรับแขก
ผมที่กลับมาจากสนามฝึกมองดูพวกเขาที่กำลังเข้าไปในห้องรับแขกและได้สบตากับเด็กหนุ่มท่าทางหยิ่งพยองพอตัว ดูเหมือนเขาจะยกริมฝีปากทำท่าทางเหยียดหยามมาทางผมด้วย
“พวกนั้นเป็นใครและมาทำไมเหรอ?” ผมหันไปถามเมดส่วนตัวของผม
“พวกเขาคือเคาน์เดเลอมาร์และนายน้อยเลกซ์ค่ะ…”
คุณเมดบอกว่าชายที่ชื่อเดเลอมาร์เป็นเคาน์ที่มีบรรดาศักดิ์สูงกว่าพ่อและดูเหมือนว่าจะเป็นข้าราชบริพารขององค์ชายลำดับที่หนึ่ง ส่วนนายน้อยเลกซ์ที่ส่งยิ้มให้ผมเหมือนจะเป็นลูกบุญธรรมของเคาน์เดเลอมาร์ซึ่งมีอายุอยู่ที่สิบเจ็ดปี โดยเหตุผลที่ทั้งคู่เดินทางมาพบพ่อที่เป็นขุนนางบ้านนอกที่พวกเขาไม่น่าจะให้ความสนใจ คุณเมดบอกว่าเธอไม่รู้ว่าเพราะเรื่องอะไร
“…แต่อาจจะเป็นเรื่องของท่านคริสต์ก็ได้นะคะ”
“เรื่องของพี่งั้นเหรอ…?” ผมเหมือนจะเข้าใจอะไรขึ้นมา
มีเพียงเหตุผลเดียวที่พวกเขาจะสนใจในตัวพี่สาว นั่นก็คือพรสวรรค์ของเธอ
แต่พวกเขาไม่น่าจะรู้เรื่องพรสวรรค์ของเธอได้เพราะทางตระกูลแลสเซนเนอร์น่าจะได้ทำการปิดข่าวไว้แล้วหนิ การที่พวกเขารู้ข่าวและคิดจะมาดึงตัวพี่สาวไปทั้ง ๆ ที่เธอยังไม่ได้เข้าเรียนในสถาบันนักดาบเวทแบบนี้ เป็นเพราะอำนาจขององค์ชายลำดับที่หนึ่งไม่ผิดแน่
ปกติแล้วพอบุตรหลานของขุนนางมีอายุถึงสิบห้าปี พวกเขาจะถูกส่งตัวไปร่ำเรียนและฝึกฝนในสถาบันนักดาบเวท ‘เทมพลาร์’ ตามข้อบังคับของราชอาณาจักร ‘เรเวแนนท์’ โดยหากจะมีการดึงตัวหรือสนับสนุนอะไรจากขุนนางระดับสูง มันก็ควรที่จะเริ่มที่ตรงนั้น เพราะเทมพลาร์คือสถานที่ที่มีไว้ให้บุตรหลานของขุนนางต่าง ๆ แสดงฝีมือเพื่อให้ได้รับการสนับสนุนและยกระดับสถานะ
อีกไม่ถึงเดือนพี่สาวก็ต้องไปเข้าเรียนที่สถาบันนักดาบเวทอยู่แล้วแท้ ๆ …
ผมรู้สึกไม่ไว้ใจกับแขกทั้งสองคน แม้มันจะไม่ใช่เรื่องแปลกที่พวกเขาจะอยากดึงตัวคนที่มีความสามารถอย่างพี่สาวไป แต่ผมก็รู้สึกว่าพี่สาวควรจะได้การสนับสนุนจากใครที่ดูน่าไว้ใจกว่านี้ ถึงแม้ใครที่ว่าจะไม่ได้เป็นคนสนับสนุนเธอได้เท่าข้าราชบริพารขององค์ชายลำดับที่หนึ่งก็ตาม
ตอนนี้หากจะให้ฝากความหวังไว้ที่ใครก็คงมีเพียงพ่อ ผมก็หวังว่าเขาจะปฏิเสธไปแม้จะได้รับข้อเสนออะไรก็ตาม
“ยืนทำอะไรอยู่ตรงนี้น่ะ ไม่รีบไปเตรียมตัวตามที่ฉันบอกรึไง?”
ในขณะที่ผมกำลังจมอยู่ในความคิด เสียงอันเข้มงวดของพี่สาวก็ดังขึ้นใกล้หู
“พี่คริสต์… ว่าแต่การแต่งตัวแบบนี้มัน…?”
การแต่งตัวของพี่สาวที่อยู่ในชุดฝึกตัวใหม่และเหน็บดาบจริงไว้ที่เอวดูยังไงมันก็ไม่ใช่ชุดที่น่าจะใช้ในการไปเจอกับแขกคนสำคัญ การที่เห็นแบบนี้มันทำให้ผมรู้สึกสังหรณ์ใจบางอย่าง
“นี่เหรอ? เดี๋ยวนายก็เข้าใจเองแหละ แล้วก็อย่าให้ฉันพูดซ้ำ รีบไปเตรียมตัวสักทีเถอะ” เธอพูดเช่นนั้นอออกมา ก่อนจะเดินผ่านผมไปยังห้องรับแขก
ผมมองแผ่นหลังของพี่สาวตลอดทางจนถึงตอนที่ถูกประตูห้องรับแขกบดบัง โดยตลอดการจ้องมองนั้นภายในใจของผมก็กำลังคิดถึงเหตุผลที่พี่สาวแต่งตัวแบบนั้น
เธอกำลังจะทำอะไรบ้า ๆ อย่างการท่าสู้กับแขกรึไง?
แม้จะเป็นความคิดชั่ววาบที่เข้ามาในหัว แต่มันดันกลายเป็นเรื่องจริงเสียอย่างนั้น
เพราะไม่นานหลังจากนั้น ตัวผมก็ได้มายืนอยู่ที่สนามฝึกพร้อมกับคนใช้ในบ้านและครอบครัว รวมถึงเคาน์เดเลอมาร์แขกคนสำคัญ โดยมีพี่คริสต์และนายน้อยเลกซ์ยืนประจัญหน้ากันด้วยดาบของตนกลางลานฝึก
—๏๏๏—
“ฉันไม่คิดเลยว่าตระกูลของเธอคิดที่จะตัดสินเรื่องนี้กันด้วยการต่อสู้แบบนี้”
เลกซ์มองดูเด็กสาวที่ยืนตั้งท่าจับดาบตรงหน้าด้วยใบหน้าที่แสดงถึงความหยิ่งยโสและประหลาดใจ ท่าทางสบาย ๆ ของเขาที่ไม่แม้จะตั้งท่าจับดาบนั้นบ่งบอกได้เป็นอย่างดีว่าเขาดูถูกฝีมือของฝ่ายตรงข้ามมากขนาดไหน
“ฉันเป็นถึงนักเรียนห้องคิงของสถาบันนักดาบเวทเทมพลาร์เลยนะ”
“ไม่ลองก็ไม่รู้หรอกค่ะ” คริสต์ตอบกลับด้วยความมุ่งมั่น
เมื่อเห็นท่าทีไม่รู้สถานะของตัวเองของฝ่ายตรงข้าม มันจึงทำให้เลกซ์ถอนหายใจออกมา ก่อนจะหันไปมองเดเลอมาร์ผู้เป็นพ่อบุญธรรมที่ยืนยิ้มให้เขาด้วยความมั่นใจเต็มเปี่ยม
“งั้นก็… เข้ามา” เขาละสายตาจากเดเลอมาร์ก่อนจะกวักมือเพื่อบอกให้ฝ่ายตรงข้ามเริ่มการต่อสู้และเข้ามาโจมตีสักที ซึ่งทางเด็กสาวก็ไม่ปฏิเสธและรอช้า
คริสต์พุ่งเข้าไปหาเลกซ์อย่างรวดเร็วพร้อมกับเสียงตะโกนเรียกพลัง วิชาดาบของเธอนั้นดูมุ่งมั่น พากเพียร และเต็มไปด้วยพรสวรรค์อย่างไม่อาจปฏิเสธได้ สำหรับทุกคนที่กำลังมองตัวเธอต่อสู้กับเลกซ์อยู่นั้นมองออกอย่างชัดเจน และยิ่งกับตัวของเลกซ์เองก็ยิ่งมองออก
การปะทะกันของดาบดำเนินไปอยู่ครู่หนึ่งโดยที่ไม่มีใครยอมใคร เลกซ์โชว์ฝีมืออันแพรวพราวด้วยการปัดป้องดาบของคริสต์อย่างง่ายดาย ทำให้ฝ่ายเด็กสาวไม่สามารถส่งดาบไปถึงตัวของเลกซ์ได้ อย่างไรก็ตาม ฝ่ายเลกซ์เองก็ไม่สามารถส่งดาบไปถึงตัวเธอได้เช่นกัน ทำให้เขาเริ่มคลายท่าทีสบาย ๆ ออกก่อนจะเหวียงดาบเข้าปะทะกับดาบของเธออย่างรุนแรงด้วยการเสริมพลังเวท แล้วถีบพื้นถอยร่นออกมาด้วยสีหน้าที่เริ่มจริงจัง
“ดูเหมือนว่าฝีมือดาบของเธอจะเป็นอย่างที่ได้ยินมาจริง ๆ แต่แล้วยังไง? ฉันยังไม่ได้เห็นเธอใช้พลังเวทเลยสักนิด ถ้าเธอแพ้ฉันไปทั้ง ๆ แบบนี้คงแย่ไปหน่อย”
“ไม่ต้องเป็นห่วงไปหรอกค่ะ ของจริงมันเริ่มต้นจากนี้” คริสต์พูดออกมาเช่นนั้นก่อนจะเหลือบสายตามองไปยังเด็กหนุ่มผู้เป็นน้องชายที่ยืนมองการต่อสู้ของเธออยู่ทางซ้ายสุดของกลุ่มคน
เธอนึกถึงเรื่องบางอย่างที่เขาเคยได้บอกเธอ ก่อนจะปรายตากลับมามองคู่ต่อสู้ของเธออีกครั้งและเริ่มการโจมตีรอบที่สองในทันทีด้วยความเร็วที่เพิ่มขึ้นจนน่าตกใจ
“อึก…!!” เลกซ์อดไม่ได้ที่จะส่งเสียงออกมา เพราะการโจมตีที่รวดเร็วและหนักหน่วงของฝ่ายตรงข้ามที่เพิ่มขึ้นจนผิดหูผิดตา
การต่อสู้ร้อนระอุขึ้นอย่างฉับพลัน คมดาบที่มองเห็นกันตอนแรกก็เริ่มจะกลายเป็นภาพเบลอ ความรวดเร็วในการวาดดาบของทั้งคู่ทำให้หากมีคนทำธรรมดาที่ไหนมาเห็นเข้า เขาหรือเธอคงไม่สามารถมองเห็นคมดาบที่รวดเร็วได้ชัด
เลกซ์รู้สึกกดดันกับคู่ต่อสู้ผู้เป็นเด็กสาวที่มีอายุเพียงสิบห้าปีตรงหน้า
การโจมตีของเธอนั้นหนักหน่วงและรวดเร็ว เมื่อรวมกับวิชาดาบที่ถูกขัดเกลามาอย่างดี มันก็กลายเป็นการโจมตีประณีตและจับทางได้ยากยิ่ง เขารู้สึกทึ่งในพรสวรรค์ของเธอ
ทั้ง ๆ ที่มีอายุแค่เพียงเท่านี้ แต่ฝีมือกลับแทบจะเทียบเท่ากับนักดาบเวทอันดับสูง ๆ ของสถาบันนักดาบเวทเทมพลาร์เสียแล้ว เขารู้สึกอิจฉาและเหมือนกำลังจะพ่ายแพ้
แต่มันก็แค่ความรู้สึก
การโจมตีที่หนักหน่วงซึ่งแตกต่างกับการโจมตีในตอนแรกนั้นบ่งบอกอย่างชัดเจนว่าเธอกำลังใช้พลังเวทเสริมกำลังอย่างบ้าคลั่ง ทำให้อีกไม่นานพลังเวทที่เธอมีก็จะหมดลง ซึ่งเมื่อถึงเวลานั้นแม้ว่าเธอจะพยายามยังไงหรือมีพรสวรรค์มากแค่ไหน เธอก็ไม่มีทางที่จะสามารถเอาชนะเขาได้
พรสวรรค์ในฐานะนักดาบของเธอช่างสูงยิ่ง แต่ความสามารถในการควบคุมพลังเวทนั้นช่างอ่อนด้อยนัก หากเขาทำการปัดป้องการโจมตีที่เต็มไปด้วยพลังเวทนั้นได้อีกสักพัก แม้จะสูญเสียพลังเวทไปมาก แต่อีกไม่นานเธอก็จะพ่ายแพ้
เขามั่นใจแบบนั้น แต่ความจริงที่เกิดขึ้นกลับไม่ใช่สิ่งที่เขาคาดหวัง
การโจมตีของเด็กสาวจู่ ๆ ก็หนักหน่วงขึ้นไปอีกเป็นเท่าตัว ความรวดเร็วเองก็เพิ่มขึ้นจนเขาเริ่มปัดป้องไม่ได้แล้ว พลังเวทที่ใช้ในการเสริมพลังดาบและดวงตาเพื่อรับการโจมตีที่หนักหน่วงและรวดเร็วเองก็กำลังจะหมดลงเช่นกัน หากเป็นแบบนี้เขาทนไม่ไหวแน่
เขาไม่เข้าใจว่าทำไมคู่ต่อสู้จึงยังใส่พลังเวทเพิ่มเข้าไปอีก
พลังเวทของเธอควรจะหมดได้แล้วสิ
“นายน้อยดูถูกฉันมากเกินไป” เด็กสาวพูดขึ้นขณะที่ยังคงกระหน่ำโจมตีอย่างไม่ลดละ
“ท่านคงกำลังคิดว่า ‘พลังเวทของฉันควรหมดได้แล้วสิ’ ใช่รึเปล่า”
เลกซ์จ้องมองไปยังใบหน้าของเด็กสาวที่ตอนนี้เป็นภาพเบลอเพราะการขยับตัวที่รวดเร็ว สีหน้าของเขากำลังบ่งบอกว่าทำไมถึงเกิดเรื่องแบบนี้ขึ้น ซึ่งเธอก็เข้าใจสีหน้าที่ชัดเจนนั้น
“น้องชายน่าหมั่นไส้ของฉันเคยสอนฉันไว้น่ะค่ะว่า ‘การต่อสู้ด้วยพลังเวทมันไม่ได้อยู่ที่ปริมาณ แต่มันอยู่ที่การใช้’ และนี่ก็คือผลลัพธ์ของคำสอนนั้น”
คริสต์ปัดดาบในมือของเลกซ์ทิ้งไปอย่างง่ายดาย เขาที่ตกตะลึงถึงสิ่งที่เกิดขึ้นได้คุกเข่าลง
เด็กสาวชี้ปลายดาบไปที่ใบหน้าของเลกซ์อย่างมาดมั่น
“ผลลัพธ์ก็คือ ‘ความพ่ายแพ้ของท่าน’ ยังไงล่ะ”
—๏๏๏—
ผมดูรถม้าคันหรูหราที่วิ่งออกไปจากคฤหาสน์เพราะความพ่ายแพ้ของนายน้อยเลกซ์
ผมถอนใจออกมาเงียบ ๆ ด้วยความโล่งอก เอาจริง ๆ ผมกังวลกับการต่อสู้ของพี่สาวที่ใช้ในการตัดสินข้อเสนอในการดึงตัวเธอมาก ไม่ใช่เพราะกลัวว่าเธอจะแพ้ แต่ที่กลัวคือเธอต้องไปอยู่กับพวกไม่น่าไว้ใจอย่างแขกสองคนนั้น หากพี่สาวพ่ายแพ้ขึ้นมาจริง ๆ ต่างหาก แบบนั้นใครจะยอม
ยิ่งตอนขากลับเจ้านายน้อยเลกซ์นั่นยังส่งสายตาเคียดแค้นมาที่ผมอีก
ผมจึงโล่งอกกที่พี่สาวชนะและปฏิเสธข้อเสนอได้ แต่ถึงจะเป็นอย่างนั้นความกังวลของผมก็ไม่ได้หายไปไหนจนหมด เพราะสายตาเคียดแค้นที่ผมเห็นจากนายน้อยเลกซ์อย่างที่บอกก่อนหน้านี้ มันทำให้ผมรู้สึกว่าพวกเขายังไม่ยอมรามือเพียงแค่เรื่องพ่ายแพ้การต่อสู้แน่
ด้วยเหตุนั้นผมจึงไปถามคนที่น่าจะรู้สึกแบบเดียวกับผม
“ท่านพ่อ เรื่องพี่สาวไม่เป็นอะไรแล้วใช่ไหม?” ผมถามพ่อด้วยความกังวล
“ไม่เป็นอะไรแล้วล่ะ หลังจากนี้พวกเขาจะไม่มายุ่งกับพี่สาวของเจ้าอีก”
พ่อลูบหัวผมด้วยรอยยิ้ม
“พ่อมั่นใจเรื่องนั้นได้ยังไง?” ผมเอียงคอสงสัย
“เพราะพ่อได้ติดต่อกับคน ๆ นึงไว้แล้ว ท่านเป็นคนช่วยปกป้องพี่สาวรวมถึงพวกเราได้ ลูกไม่ต้องกังวลเรื่องนี้ไปหรอกนะ ตั้งใจฝึกฝนดาบไปก็เพียงพอแล้ว”
ติดต่อกับคน ๆ นึงไว้งั้นเหรอ ใครกัน?
ผมผละตัวออกจากพ่อและเดินเข้าไปคฤหาสน์ด้วยความคิดภายในจิตใจ
เมื่อจะพูดถึงคนที่สามารถปกป้องพวกเราจากข้าราชบริพารขององค์ชายลำดับที่หนึ่งได้นั้นมีเพียงคนกลุ่มเดียว ซึ่งคนกลุ่มนั้นก็คือข้าราชบริพารขององค์หญิงลำดับที่หนึ่ง ‘อิลิยา เลอ เชเดอร์ริง’ ผู้เป็นทายาทที่มีสิทธิ์สืบทอดราชบัลลังก์อย่างถูกต้องในตอนนี้
พ่อไปติดต่อพวกเขาไว้เหรอ…?
แม้จะสงสัยว่าเป็นอย่างที่ผมคิดรึเปล่า แต่ผมคงไม่สามารถไปซักไซร้คำอธิบายอะไรได้ เพราะสถานะของผมในตอนนี้เป็นเพียงบุตรชายที่ไม่คาดหวังของคนในตระกูล หากไปยุ่งเกี่ยวกับเรื่องของผู้ใหญ่เข้าตั้งแต่อายุเท่านี้ล่ะก็ มีหวังได้ถูกคาดหวังว่าเป็นเด็กหัวดีแน่
“คิดจะไปไหนเหรอแอล~” เสียงกระซิบอันสดใสดังขึ้นใกล้หูของผม
“พะ พี่เองเหรอ?” ผมพูดด้วยเสียงตะกุกตะกักเพราะรู้เจตนาที่พี่สาวเดินเข้ามาโอบไหล่และกระซิบใส่หูด้วยรอยยิ้มใสซื่อแบบนี้ ดูเธออารมณ์ดีกว่าปกติด้วยสิ
“ไปฝึกกันต่อเถอะ สู้กับตานายน้อยนั่นไปมันยังไม่หน่ำใจเลย”
“ตะ แต่ผมว่าพี่น่าจะเหนื่อยแล้วนะ ไปพักผ่อนไม่ดีกว่าเหรอ?” ผมพูดเช่นนั้นไปทั้ง ๆ ที่น่าจะรู้คำตอบที่ได้กลับมาอยู่แล้วว่าเธอต้องปฏิเสธ
“ไม่เอา ไปกันได้แล้ว—!”
หลังจากสิ้นเสียงของเธอ ภาพที่ปรากฏหลังจากนั้นคือร่างของผู้ที่เป็นพี่สาวกำลังลากร่างของผู้ที่เป็นน้องชายที่ส่งเสียงโอดครวญอย่างไม่ขาดสายไปที่สนามฝึก ซึ่งทุกคนในคฤหาสน์นั้นล้วนส่งยิ้มอบอุ่นให้กับภาพอันน่าเอ็นดูของสองพี่น้องคู่นี้
มาช่วยกันสักครั้งมันจะเป็นไรไป?!
คงมีแค่ตัวผมที่ไม่คิดว่ามันอบอุ่นหรือน่าเอ็นดูเลยสักนิด แต่ครั้งนี้ผมจะยอมปล่อยไปตามใจพี่สาวสักครั้งก็แล้วกัน เพราะถึงแม้เธอจะส่งยิ้มสดใสออกมาแบบนี้ แต่ไม่ว่าใครในคฤหาสน์ก็เห็นว่าก่อนหน้านี้เธอเครียดกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นมากขนาดไหน
หลังจากนี้ผมคิดว่าอะไรต่าง ๆ น่าจะกลับเป็นปกติ เพราะพ่อก็ได้รับปากไว้ว่าจะมีคนมาคุ้มครองพวกเราแล้ว แบบนี้คงไม่น่าจะมีคนเจ้าเล่ห์ที่ไหนมากดดันเธออีกก่อนที่เธอจะเดินทางไปเรียนยังสถาบันนักดาบเวทเทมพลาร์ ผมคาดหวังไว้แบบนั้น
อย่างไรก็ตาม สถานการณ์ที่เกิดขึ้นกลับไม่ใช่สิ่งที่ผมคาดคิด
—พี่สาวถูกลักพาตัวไป
และความรู้สึกเก่าบางอย่างก็ได้โลดแล่นเข้าสู่จิตใจของผม
ตรวจคำผิด : 8/11/2022 : 23:20 น.
แก้ไขครั้งล่าสุด : 12/11/2022 : 00:43 น.