ดั่งรักบันดาล - ตอนที่ 132
ภายในห้องทำงานของประธานบริษัท
เย่หว่านเอ๋อมีสีหน้าน้อยอกน้อยใจกำลังดึงมือของอวี้อี่มั่วอยู่ นัยน์ตาแดงก่ำ "พี่มั่วคะ ฉันไม่อยากจากพี่ไปจริงๆนะคะ……"
อวี้อี่มั่วเอ่ยแนะนำอย่างมีน้ำอดน้ำทนไปว่า "หว่านเอ๋อฟังนะครับ กลับไปที่โรงพยาบาลก่อน ตอนนี้เธอต้องพักผ่อนให้เยอะๆ"
เย่หว่านเอ๋อสบมองไปยังอวี้อี่มั่ว จมูกสั่นไหวเล็กน้อย ก่อนจะยื่นมือไปโอบกอดเข้าที่ช่วงเอวสอบของเขา "ถ้าอย่างนั้นวันนี้พี่จะต้องไปหาฉันนะคะ"
อวี้อี่มั่วยกมือขึ้นลูบไล้ไปที่ศีรษะของเธออย่างแผ่วเบา นัยน์ตาเต็มไปด้วยความอบอุ่น "ได้สิครับ เธอวางใจเถอะ"
เย่หว่านเอ๋อพยักหน้าขึ้นลง เรียวนิ้วยาวลูบไล้เป็นวงกลมอยู่ตรงตำแหน่งกลางมือของเขาไปมา ก่อนจะเอ่ยเสียงเบาว่า "จริงสิคะพี่มั่ว ฉันได้ยินมาว่าอาทิตย์นี้เป็นวันเกิดของนายท่านของตระกูลไป๋ พี่พาฉันไปด้วยได้ไหมคะ?"
"ไม่ได้ครับ" อวี้อี่มั่วมีสีหน้าเคร่งขรึมขึ้นทีนที "เธอไปได้ยินมาจากไหน?"
ช่วงนี้เขาอุตส่าห์กำชับพวกคนที่ดูแลเย่หว่านเอ๋อเป็นพิเศษแล้วนะ ว่าไม่ให้พวกเขาหลุดพูดอะไรออกมา ให้ดูแลเธอให้ดีก็พอ นึกไม่ถึงเลยว่าเธอจะรู้เข้าให้แล้ว
เมื่อเห็นสีหน้าที่แปรเปลี่ยนไปของอวี้อี่มั่ว เย่หว่านเอ๋อชะงักเงียบ ก่อนจะเอ่ยขึ้นอย่างลังเลว่า "ฉันได้ยินคุณพ่อพูดมาน่ะค่ะ……"
เมื่อได้ยินดังนั้น อวี้อี่มั่วขมวดคิ้วเบาๆ นัยน์ตาฉายถึงความเย็นยะเยือกออกมาไม่น้อย
เย่หว่านเอ๋อดูท่าจะไม่ดีแล้ว จึงกุลีกุจอเอ่ยขึ้นมาว่า "พี่มั่วคะ เมื่อวานคุณพ่อไปเยี่ยมฉัน พี่โกรธหรือเปล่าคะ?"
สีหน้าบนใบหน้าของอวี้อี่มั่วไม่เปลี่ยน แต่ทว่าภายในใจกลับแอบตีกันให้วุ่น ไม่กี่วินาทีหลังจากนั้น เขาก็เอ่ยเสียงเข้มขึ้นว่า "ไม่ครับ หว่านเอ๋อ เธอกลับไปพักผ่อนก่อนเถอะนะ"
เมื่อเห็นท่าทีของเขาที่ขึงขังขึ้นมา เย่หว่านเอ๋อรู้สึกผิดในทันที หากรู้แบบนี้ตั้งแต่แรกล่ะก็ จะไม่พูดถึงคุณพ่อต่อหน้าเขาแล้ว!
ริมฝีปากถูกขบเม้มไปมา เย่หว่านเอ๋อรู้ดีว่าเวลานี้ควรที่จะจากไปได้แล้ว ท้ายที่สุดแล้วก็ถอนหายใจออกมาเบาๆหนึ่งที
เมื่อส่งเย่หว่านเอ๋อให้ออกไปจากห้องทำงานไป สบมองเธอจากไปพร้อมๆกับคนรับใช้ที่นำทางออกไป อวี้อี่มั่วลอบถอยหายใจออกเบาๆ เขายกมือขึ้นมากดนวดเข้าที่บริเวณหัวคิ้วไปมา สุดท้ายแล้วภายในจิตใจก็ยังคงรู้สึกสับสนวุ่นวายอยู่เล็กน้อย
เขายกมือขึ้นมากดลงที่โทรศัพท์ เรียกตู้เยี่ยเข้ามาหา
"ท่านประธานอวี้ มีอะไรให้รับใช้ครับ?"
อวี้อี่มั่วหลุบสายตามองต่ำ ก่อนจะควงปากกาในมือเล่น แล้วเอ่ยขึ้นเสียงเบาว่า "วันสองวันมานี้เย่เฟิงเผิงไปที่โรงพยาบาลงั้นหรือ?"
ตู้เยี่ยรายงานอย่างตรงไปตรงมาว่า "สองวันมานี้ไปมาแล้วสองครั้งครับ เมื่อก่อนก่อนที่จะเข้ารับการผ่าตัดเขาไม่เคยไปเลย มีเพียงแค่คุณนายเย่ที่ไปบ้างเป็นบางครั้งครับ"
"ปัง!"อวี้อี่มั่วตบปากกาวางบนโต๊ะด้วยมืออย่างแรง คิ้วเข้มขมวดเข้าหากันแน่น
เย่เฟิงเผิงเจ้าสุนัขจิ้งจอก ไม่เคยที่จะให้เวลาเสียเปล่าไปกับอะไรที่ไร้ประโยชน์เลยแม้แต่น้อย คราแรกที่เย่หว่านเอ๋อป่วยหนัก ตระกูลเย่ยังหาไตใหม่ไม่ได้ แม้กระทั่งลูกสาวในไส้แท้ๆเย่เฟิงเผิงยังไม่เหลียวแลเลย มาตอนนี้เขาช่วยเหลือหว่านเอ๋อติดต่อเรื่องแพทย์ ไถ่ถามเรื่องไต่ที่จะรับบริจาค หลังจากที่การผ่าตัดเสร็จสรรพลงแล้ว เจ้าสุนัขจิ้งจอกตัวนี้ถึงจะโผล่หัวออกมาอีกครั้ง
แต่ก็ไม่ได้ใส่อกใส่ใจอะไรมากนัก เขาจะไม่รู้ได้อย่างไรว่าเจตนาของเขาคืออะไร
อวี้อี่มั่วเอ่ยด้วยน้ำเสียงเย็นยะเยือกขึ้นว่า "รอให้ผ่านไปสักวันสองวันก่อน แล้วค่อยเปลี่ยนโรงพยาบาลให้หว่านเอ๋อ"
ตู้เยี่ยได้ยินดังนั้น ก่อนจะตกปากรับคำสั่งไปว่า "ครับ"
อวี้อี่มั่วสูดหายใจเข้าลึกๆ ตัดสินใจภายในใจอยู่เงียบๆ เขาจะไม่ยอมให้เย่หว่านเอ๋อกลายเป็นหมากของเย่เฟิงเผิงเด็ดขาด ส่วนเรื่องราวระหว่างเขากับเขาครั้งที่แล้วนั้นยังไม่ทันที่จะได้คิดบัญชีเลย เขาจะต้องหาทางเอาคืนแน่
ตลอดช่วงบ่าย หร่วนซือซือสติไม่อยู่กับเนื้อกับตัว ในสมองยังคงฉายแต่ภาพของอวี้อี่มั่วกับเย่หว่านเอ๋อที่อยู่ด้วยกันตลอดเวลา
พริบตาเดียวก็ถึงเวลาเลิกงานเสียแล้ว หร่วนซือซือสบมองนาฬิกาไปมา เวลาที่เขากับอวี้อี่มั่วนัดกันยังเหลืออีกตั้งครึ่งชั่วโมงกว่า
เกรงว่าวันนี้อวี้อี่มั่วคงจะไม่สามารถไปตามนัดได้เสียแล้วกระมัง ในเวลานี้เขาจะต้องอยู่เป็นเพื่อนเย่หว่านเอ๋อแน่ๆ จะมีเวลาและกะจิตกะใจมาหาเธอที่ไหนกัน?
หร่วนซือซือหนักใจ สูดหายใจเข้าปอดลึกๆหนึ่งที นัยน์ตาสบมองเวลานัดหมายที่เริ่มเข้าใกล้ขึ้นมาทุกที เธอกัดฟันแน่น ก่อนจะหยิบกระเป๋าขึ้นมาสะพายแล้วเดินออกไปทันที
ในเมื่อรู้ทั้งรู้อยู่แล้วว่าเวลานี้เขากับเย่หว่านเอ๋ออยู่ด้วยกัน หากเธอยังจะตั้งใจที่จะไปตามนัด แบบนี้ไม่เรียกว่ารู้อยู่แก่ใจแล้วยังจะไปอย่างนั้นหรือ?
อีกอย่างหากว่าได้สบตากับนัยน์ตาสดใสคู่นั้นแล้ว เธอกลับรู้สึกไม่เป็นตัวของตัวเองและหวาดกลัว ในเมื่อนับตามช่วงเวลาแล้ว เธอนั้นแหละคือมือที่สามที่เข้าไปแทรกกลางระหว่างความสัมพันธ์ของเย่หว่านเอ๋อกับอวี้อี่มั่ว
ขบกัดฟันไปมา หร่วนซือซือเดินตรงไปเข้าลิฟต์ ก่อนจะกดไปที่ชั้นหนึ่งทันที
ในระหว่างทางกลับบ้าน เธอกำลังนั่งอยู่บนรถไฟฟ้าใต้ดิน ลอบสบมองโทรศัพท์อยู่ตลอดเวลา
เลยหกโมงแล้ว แต่ทว่าเธอกลับไม่ได้รับข้อความจากอวี้อี่มั่วเลย แม้กระทั่งโทรศัพท์ ดูท่าแล้ว เขาคงจะกำลังยุ่งอยู่จริงๆสินะ โชคยังดีที่เธอไม่ได้ไปหาเขา
ในระหว่างที่กำลังกลับบ้านอย่างไม่มีสติ หร่วนซือซือไม่มีความอยากอาหารเลย ต้มโจ๊กง่ายๆ ก่อนจะยกซดจนหมด เธอประคองถ้วยถือไว้ในมือ ก่อนจะเดินไปที่อ่างล้างจานในครัว ล้างไปพลางปล่อยใจให้สงบไปพลาง
ถึงแม้จะพูดว่าหลังจากที่ย้ายออกมาแล้วนั้น ชีวิตดูเป็นอิสระมากขึ้นจริงๆ แต่ทว่าการใช้ชีวิตคนเดียวก็ดูโดดเดี่ยวมากจริงๆ ในช่วงเวลานั้นเอง เธอกลับรู้สึกโหยหาเสียงบ่นของคุณนายหลิวขึ้นมานิดหน่อย
หร่วนซือซือหันกลับไปทางด้านหลัง สบมองเข้ากับนาฬิกาตรงผนังหนึ่งครั้ง ตอนนี้เป็นเวลาทุ่มกว่าแล้ว ในเวลานี้ อวี้อี่มั่วคงจะกำลังรับประทานอาหารค่ำกับเย่หว่านเอ๋ออยู่หรือเปล่านะ?
ในสมองฉายภาพขึ้นมา เธอกัดฟันแน่น ภานในใจกลับรู้สึกข่มขื่นขึ้นมาตามกัน
ทำไมเธอถึงรู้สึกอ่อนไหวกับเรื่องที่อวี้อี่มั่วกับเย่หว่านเอ๋ออยู่ด้วยกันมากขนาดนี้นะ? แม้กระทั่งมีอยู่หลายคราที่อยู่ดีๆก็คิดถึงพวกเขาขึ้นมาโดยไม่รู้ตัว
หร่วนซือซือไม่เข้าใจ ในตอนที่ไม่ได้สตินั้นเอง ถ้วยใบเล็กที่อยู่ในมือก็ลื่นตกลงไป ก่อนที่จะแตกกระจายลงในอ่างล้างจานทันที มีเสียงแหลมปาดหูดัง"เพล้ง"ให้ได้ยิน ในตอนนั้นเองที่เป็นตอนที่เธอหลุดออกจากภวังค์ของตัวเองกลับมา
สบมองเศษถ้วยที่แตกกระจายอยู่ในอ่างล้างจาน หร่วนซือซือขมวดคิ้ว รู้สึกอยากร้องไห้นิดหน่อย นี่คือถ้วยลายเชอร์รี่ที่เธอตั้งใจซื้อมาจากร้านเชียวนะ นึกไม่ถึงเลยว่าจะมาแตกแบบนี้!
เป็นไปอย่างที่คาดไว้ วันนี้รู้สึกโชคร้ายดีจริงๆ แม้กระทั่งดื่มน้ำเย็นก็ยังเสียวเข็ดฟันขนาดนี้!
ภายในใจรู้สึกน้อยเนื้อต่ำใจขึ้นมาทันที หร่วนซือซือแสบจมูกไปหมด สุดท้ายแล้วหยาดน้ำตาก็ไหลหยดลงมาจนได้ เธอทั้งทุกข์ทรมานทั้งข่มขื่น สองมือเต็มไปด้วยฟองจากน้ำยาล้างจาน ยังคงยืนน้ำตาไหลเงียบๆอยู่ตรงที่เดิม
"ตือดึง–"
ทันใดนั้นเองก็มีเสียงออดที่หน้าประตูดังขึ้น หร่วนซือซือที่กำลังร้องไห้น้ำตาไหลเต็มใบหน้าอยู่เงียบๆ เมื่อได้ยินเสียงดังขึ้น ก็ตกอกตกใจจนตัวแข็งขึ้นมาทันที
เธอไม่ได้ได้ยินผิดไปใช่ไหม ในเวลาแบบนี้มีคนมากดออดประตูได้อย่างไรกันนะ?
"ตือดึง–"
เสียงออดดังขึ้นอีกรอบหนึ่ง หร่วนซือซือถึงจะได้สติกลับคืนมาทั้งหมด เธอรีบล้างไม้ล้างมือ เช็ดน้ำหูน้ำตา ก่อนจะเดินตรงไปทางประตูอย่างรวดเร็ว
สภาพจิตใจที่เดิมที่ยังคงเศร้าหมองยังไม่ได้ถูกจัดการให้กลับเป็นปกติ หางตายังคงเปียกชื้นอยู่เล็กน้อย เธอเช็ดมืออย่างลวกๆ ก่อนจะกุลีกุจอไปเปิดประตู
ประตูถูกเปิดออก เมื่อรอให้หร่วนซือซือสบมองคนที่ยืนอยู่ด้านนอกอย่างชัดเจนแล้ว กลับยืนตกตะลึงอยู่พักใหญ่
อวี้อี่มั่ว…เขามาทำอะไรที่นี้?
หร่วนซือซือกันฟันแน่น นัยน์ตาแดงก่ำแข็งกร้าวขึ้นมาทันที ก่อนจะแสร้งเอ่ยเสียงเยือกเย็นขึ้นว่า "คุณมาทำไมคะ?"
"เธอลองทายดูสิ?" อวี้อี่มั่วขมวดคิ้ว สายตาเย็นชาสบมองไปยังเธอ
เขารอเธออยู่ที่ลานจอดรถใต้ดินจนใกล้จะครบชั่วโมงหนึ่งแล้ว เธอกล้าที่จะปล่อยให้เขารอเก้อ!
หร่วนซือซือหลบสายตา ยืนขวางทางอยู่หน้าประตูไม่ถอยห่าง ไม่มีท่าทางที่จะเชิญเขาเข้ามาเลยแม้แต่น้อย
เมื่อสบมองไปยังหางตาที่กระทบแสงไฟเบาๆกับปลายจมูกที่ดูแดงก่ำเล็กน้อยนั่น อวี้อี่มั่วรู้สึกว่ามีบางอย่างไม่ปกติ นัยน์ตาของเขาสั่นไหวเล็กน้อย ก่อนจะเอ่ยปากถามขึ้นว่า "เธอร้องไห้ทำไม?"
หร่วนซือซือรีบปฏิเสธในทันที "ใครร้องไห้กันคะ?"
นึกไม่ถึงเลยว่าจะโดนเขาจับได้เสียแล้ว
ไม่รอให้เธอได้มีปฏิกิริยาตอบกลับมา ข้อมือของเธอก็ถูกจับแน่นขึ้นในทันที กึ่งลากกึงจูงให้เธอเข้ามาในตัวห้อง
"คุณ……"หร่วนซือซือยังไม่ทันที่จะได้พูดจบ ประตูที่อยู่ทางด้านหลังของอวี้อี่มั่วก็ถูกปิดสนิทเสียแล้ว
เธอเริ่มมีโทสะ "นี่คือบ้านของคุณหรือไงคะ!"
อวี้อี่มั่วไม่พูดอะไรออกมาสักคำ สาวเท้าเดินก้าวตรงไปข้างหน้า ไล่บี้เธอเข้าไปใกล้ขึ้นเรื่อยๆ ก่อนจะเอ่ยปากถามขึ้นอีกว่า "พูดสิ ร้องไห้ทำไม?"
เมื่อสบมองนัยน์ตาแดงก่ำแบบนั้นของเธอแล้ว ภายในจิตใจของเขาก็รู้สึกว้าวุ่น
"ฉัน……" หร่วนซือซือมองไปทางห้องครัวทันที ไม่มีเสียงอะไรตอบกลับไป พูดอะไรออกไปไม่ออกแล้ว
อวี้อี่มั่วเข้าใจ ก่อนจะสาวเท้ายาวก้าวไปทางห้องครัว เมื่อสบมองไปรอบหนึ่ง ก็พบว่างภายในอ่างล้างจานมือถ้วยแตกเป็นเสี่ยงๆอยู่ ก่อนที่จะเข้าใจได้ในเวลาต่อมา
เขาหันไปสบมองหร่วนซือซือที่เดินตามมา อดไม่ได้ที่จะเลิกคิ้วเบาๆ ก่อนที่จะเอ่ยด้วยน้ำเสียงขบขันเล็กน้อยว่า "ไม่ใช่ว่าเธอ เป็นเพราะสิ่งนี้ถึงร้องไห้หรอกใช่ไหม?"
ในภาพจำของเขา หร่วนซือซือไม่ได้อ่อนแอขนาดนี้นี่