ซุปเปอร์มหาเศรษฐีหน้าใหม่ - ตอนที่ 684 ไปช่วยคนที่เมืองหลวง
บทที่ 684 ไปช่วยคนที่เมืองหลวง
ไป๋ยี่เฟยนิ่งขรึมอยู่สักพัก ก่อนจะพูดขึ้น“คุณภรรยา ขอบคุณนะ”
หลี่เสว่ยิ้มให้กับไป๋ยี่เฟยเล็กน้อย ก่อนจะพูดขึ้น“ขอบคุณอะไรล่ะ? ฉันเป็นภรรยาของคุณนะ”
ไป๋ยี่เฟยได้ยินแบบนั้นก็หันไปสบตาพร้อมกับยิ้มให้กับหลี่เสว่
จากนั้นไป๋ยี่เฟยก็วางตะเกียบในมือลงอย่างแรง ก่อนจะลุกขึ้นออกประตูไป กลับเข้ามาในรถอีกครั้ง
เขาสตาร์ทรถพลางใช้หูฟังบลูทูธโทรออกไปหลายสาย
สายแรกโทรไปหาจางหัวปิน“พี่จาง เตรียมตัวเลย พวกเราจะไปช่วยคนที่เมืองหลวง”
สายที่สองโทรไปหาเฉินอ้าวเจียว“พี่เฉิน เลือกคนฝีมือดีมาประมาณยี่สิบคน แล้วมารวมตัวที่โรงจอดรถของโรงพยาบาลโว่หลง”
สายที่สามโทรไปหาเฉินห้าว“ห้าวจื่อ แจ้งไป๋หู่กับจงเหลียน ว่าให้ไปรวมตัวกันที่โรงจอดรถโรงพยาบาลโว่หลง”
สายที่สี่โทรไปหาซาเฟยหยาง“พี่ซา ผมจะไปทำธุระที่เมืองหลวง ต้องรบกวนคุณมากับผมสักหน่อย”
สายที่ห้าโทรไปหาหวังโหลว“ตอนนี้รีบช่วยเหมาเครื่องบินหน่อย ถ้าพวกเขาไม่ดำเนินการเหมาก็ซื้อไปเลย”
สายที่หกโทรไปหาฉางเชี่ยว“ผมต้องไปทำธุระที่เมืองหลวง สนใจไหม?”
สายสุดท้ายโทรไปหาหลินขวาง“น้องชาย ช่วยฉันอีกสักเรื่องสิ ช่วยฉันเช่ารถตู้ธรรมดาๆสักสิบคัน”
…….
ไป๋ยี่เฟยขับรถมาถึงโรงจอดรถของโรงพยาบาลโว่หลง ตอนที่เขาถึง ทุกคนก็มาถึงกันเรียบร้อยหมดแล้ว มองใบหน้าที่คุ้นเคยเป็นอย่างดีเหล่านี้ จู่ๆก็ถอนหายใจออกมาด้วยความตื่นเต้นทันที
ในเวลานี้เอง หวังโหลวก้าวเข้ามาพูดกับเขา“จัดการเรื่องเครื่องบินเรียบร้อยแล้ว”
ไป๋ยี่เฟยพยักหน้า จากนั้นก็กวาดสายตาไปมองผู้คนตรงนั้น พร้อมกับพูดกับทุกคน“วันนี้ผมก็ไม่ปิดบังทุกคนเลยแล้วกัน จะบอกความจริงกับทุกคน”
“หนิววั่งทรยศผม คิดว่าทุกคนน่าจะรู้เรื่องนี้กันแล้ว แต่เขาถูกบีบบังคับให้อับจนหนทาง แล้วก็เพราะว่าผม มันจึงเป็นแบบนี้ ผมสามารถเข้าใจเขาได้”
“ตอนนี้เขาถูกจับตัวไป ตกอยู่ในสถานการณ์อันตราย ผมต้องไปช่วยเขา”
“ช่วงหลายวันมานี้ ทุกคนอยู่กับผมมาตลอด ได้รับบาดเจ็บอยู่บ่อยครั้ง บาดแผลและอาการบาดเจ็บของทุกๆคนก็เป็นเขาที่ช่วยจัดการรักษาให้”
“จะต้องมีคนพูดว่า ถึงยังไงเขาก็ทรยศผม จะไปช่วยชีวิตคนทรยศทำไม?”
“แต่ที่ผมอยากจะบอกก็คือ ใช่ เขาเป็นคนทรยศ แต่เขาก็เป็นพี่น้องของผม ผมมองว่าเขาเป็นพี่ชายของผม ส่วนพวกคุณก็เหมือนกัน เป็นพี่น้องของผมกันทั้งนั้น พี่น้องทำผิดแล้วให้อภัยไม่ได้ แต่ก็ไม่ได้หมายความว่าเราจะไม่แยแสเลยว่าเขาจะเป็นตายร้ายดียังไงบ้างใช่ไหมล่ะ?”
“ผมทำไม่ได้ ปล่อยให้เขาตายไปโดยไม่สนใจไยดีไม่ได้ ไม่ว่าจะเป็นเขา หรือว่าพวกคุณทุกๆคนผมก็ทำไม่ได้ เพราะว่าพวกคุณล้วนแต่เป็นพี่น้องของผมทั้งนั้น”
“อย่างอื่นผมไม่พูดถึงแล้ว ภารกิจในครั้งนี้คือจะไปช่วยหนิววั่ง แต่ผมให้อิสระทุกคนได้เลือก คนที่เต็มใจไปกับผมก็ไป เวลาไม่รอใคร รีบขึ้นรถไปตอนนี้เลย”
พูดจบ ไป๋ยี่เฟยหันกลับขึ้นรถตู้ไป
ส่วนทุกคนที่อยู่ตรงนั้นตามเข้าไปด้วยกันทั้งหมด ไม่มีเหลือทิ้งไว้แม้แต่คนเดียว
หลังจากที่ไป๋ยี่เฟยขึ้นไปบนรถแล้วเห็นซาเฟยหยาง ก็พูดขอโทษอย่างเบาๆ“ช่วงนี้ลำบากพี่แย่เลยนะครับ”
หลังจากที่เขาช่วยซาเฟยหยางออกมาแล้ว ก็ให้ซาเฟยหยางถ้าไม่ไปปกป้องสวีลั่ง ก็ไปปกป้องเขาด้วยกันกับตนเอง ไม่มีเวลาได้มีเวลาพักมากเท่าไร
แต่ช่วงเวลาที่ได้พักฟื้นนี้ ซาเฟยหยางแทบจะได้สติปัญญากลับมาเยอะแล้ว แถมยังแอบเผยให้เห็นถึงความฉลาดที่ทำให้คนยากจะเข้าใจอีกด้วย
ซาเฟยหยางมองไป๋ยี่เฟยด้วยความรู้สึกที่ลึกซึ้ง ก่อนจะพูดยิ้มๆ“ในตอนนั้นฉันมองพลาดไป แต่มันไม่เหมือนกัน”
ไป๋ยี่เฟยพูดถามขึ้นทันที“ในตอนนั้น?”
เขาในตอนนี้จู่ๆก็นึกขึ้นมาได้เพราะว่าประโยคประโยคเดียวของนายซา จึงทำให้ไป๋หยุนเผิงกับอู๋กุ้ยเซียงพาตัวเองไปอยู่ที่ชนบท
ถ้าอย่างนั้นปัญหาก็มาแล้ว ในเมื่อเขารู้เรื่องนี้แล้ว ก็น่าจะเป็นซาเฟยหยางจริงๆ แต่หลี่เสว่ไม่มีทางหลอกเขาแน่นอน แล้วสรุปนี่มันเกิดอะไรขึ้นกันแน่?
แต่ไป๋ยี่เฟยไม่ได้เปิดปากถามเรื่องนี้ออกไปตรงๆ แบบนี้มันจะทำให้เขายิ่งสงสัยมากขึ้น ดังนั้นจึงทำได้แค่เออออตามสิ่งที่เขาพูด
“แล้วตอนนี้พี่ซากำลังยกย่องผมอยู่เหรอครับ?”
ซาเฟยหยางราวกับว่าหวนนึกถึงความทรงจำในอดีต“ตอนที่ฉันเจอนายครั้งแรกก็ยี่สิบกว่าปีก่อน ในตอนนั้นนายเพิ่งจะอายุสองขวบกว่าๆ ยังจำได้ว่านายถูกหมาตัวหนึ่งในบ้านกัดจนเป็นแผล เจ็บจนร้องไห้ตลอดเวลา”
“แม่ของนายประคบประหงมนายมาตลอด พอรู้เรื่องนี้ก็รู้สึกโมโหมาก คิดจะตีหมาที่กัดนายให้ตาย แต่กลับถูกนายห้ามเอาไว้”
“แม่ของนายก็เลยถามนาย ว่ามันกัดนาย ทำไมถึงยังปกป้องมันอยู่? สิ่งที่นายพูดในตอนนั้นคือ เพราะว่านายเป็นคนไปจับหางมันไว้เอง มันก็เลยกัดตนเอง”
ซาเฟยหยางยิ้มๆ ก่อนจะพูดขึ้นต่อ“ในตอนนั้นฉันก็รู้สึกว่าแปลกมาก นายยังไม่ถึงสามขวบเลยด้วยซ้ำ แต่กลับเข้าใจความสัมพันธ์ของเหตุและผลนี้เป็นอย่างดี แถมยังสามารถแสดงออกมาได้ด้วย เป็นเรื่องที่น่าอัศจรรย์ใจมากๆ”
“แต่ฉันในตอนนั้นรู้สึกว่า นายมีความเมตตากรุณามากเกินไป ไม่เด็ดขาด ไม่อยากให้แม่ของนายไปตีมันตาย ต่อมาก็ไม่กล้าไปแตะต้องมันอีก มันก็บอกได้ว่านายไม่รู้เลยว่าการทำแบบนี้มีความหมายอะไรกับนาย”
“พูดตรงๆก็คือ ทำในสิ่งที่ตนเองอยากจะทำ ทำอะไรตามใจของตัวเอง ถ้าอย่างนั้นในอนาคตเวลาจะทำอะไรก็จะลังเลไม่เด็ดขาด”
“แต่ในตอนนั้นนายยังเด็กมาก บางทีอาจจะเพราะว่าสภาพแวดล้อมที่เปลี่ยนไป นิสัยก็เลยเปลี่ยนตาม แต่ถึงยังไงสันดานเดิมของคน จะไม่เปลี่ยนแปลงแน่นอน”
“ดังนั้นในตอนนั้นพ่อของนายถามฉัน ว่าทายาทของตระกูลไป๋จะเลือกใครระหว่างนายกับน้องชายของนาย ฉันเลือกน้องชายของนาย”
ไป๋ยี่เฟยฟังคำพูดนี้จบ ในตาก็ครุ่นคิด จากนั้นก็ถามขึ้น“ถ้าอย่างนั้นคุณจะบอกว่าพวกเราสองพี่น้องต้องมีคนหนึ่งที่ต้องล้มเหลวกลางคันอย่างนั้นเหรอ? นี่มีหลักฐานหรือว่าพูดขึ้นมาลอยๆ?”
ซาเฟยหยางส่ายหัว“ไม่ใช่พูดมั่วซั่วเอาเอง”
พอพูดคำพูดนี้ออกมา ไป๋ยี่เฟยก็ไม่รู้ว่าจะตอบกลับไปยังไง ถึงยังไงเรื่องพวกนี้ก็เป็นเรื่องของฮวงจุ้ยเสวี๋ยนเสว เขาไม่เข้าใจเลยสักนิด ยิ่งไปกว่านั้นตัวเองไม่เชื่อเรื่องอะไรแบบนี้ด้วย
แต่ซาเฟยหยางถอนหายใจออกมาเล็กน้อยก่อนจะพูดขึ้น“ดูจากตอนนี้แล้ว สมัยนั้นฉันคงจะดูพลาดไปแล้วล่ะ”
“ทำไมถึงพูดแบบนี้ล่ะ?”ไป๋ยี่เฟยถาม
ซาเฟยหยางยิ้มๆพูดตอบกลับไป“นิสัยแบบนี้ของนายในบางแง่ก็ไม่ดีนักหรอก แต่เพราะว่าแบบนี้เอง นายทำอะไรตามใจตัวเอง จึงทำให้คนมากมายยอมติดตามนายยังไงล่ะ”
“แม้ว่านายจะไม่มีส่วนคล้ายกับจักรพรรดิ แล้วก็ไม่มีออร่าของวีรบุรุษด้วย แต่นายเกิดมาไม่ธรรมดา ใจก็ไม่ธรรมดา ในอนาคตก็ถูกลิขิตเอาไว้ให้ไม่ธรรมดาเช่นกัน!”
พอได้ฟังแบบนี้ ไป๋ยี่เฟยก็ชะงักไป ก่อนจะถามขึ้นอย่างทันที“ในอนาคตจะลิขิตให้ไม่ธรรมดาจริงๆเหรอ?”
ซาเฟยหยางอึ้งเล็กน้อย“หมายความว่ายังไง?”
ไป๋ยี่เฟยส่ายหัว“ช่างเถอะ ไม่มีอะไรครับ”
ไม่ว่าจากนี้ไปจะเป็นยังไง ตอนนี้เขาคิดแค่ว่าจะไปช่วยหนิววั่งกลับมาให้ได้ ไม่คิดถึงเรื่องอื่นก่อน
ในตอนนี้ จางหัวปินขึ้นมาบนรถ นั่งลงตรงที่นั่งข้างหลังไป๋ยี่เฟย ในมืออุ้มโน๊ตบุ๊คเอาไว้หนึ่งเครื่อง
หลังจากที่รถสตาร์ทเครื่องแล้ว เขาก็เปิดโน๊ตบุ๊คออก พิมพ์ที่แป้นพิมพ์อยู่สักพัก จากนั้นก็ถามไป๋ยี่เฟย“สะดวกไหม?”
ไป๋ยี่เฟยพยักหน้า“ว่ามาเลย”
ในเมื่อเขาพูดขนาดนี้ ถ้าอย่างนั้นก็คิดซะว่าซาเฟยหยางเป็นคนของตัวเองเลยแล้วกัน ดังนั้นเวลาที่ทำเรื่องอะไรก็จะไม่หลบเลี่ยงเขาอีก จะได้ให้ซาเฟยหยางได้เห็นถึงความจริงใจของเขาเหมือนกัน
ถึงยังไงถ้าซาเฟยหยางคิดที่จะจัดการกับเขาล่ะก็ ทำไมถึงต้องลงทุนเสแร้งแกล้งทำถึงขนาดนี้ด้วยล่ะ? ยิ่งไปกว่านั้นเขาสามารถสัมผัสได้ว่า ซาเฟยหยางไม่ได้มีเจตนาร้ายกับเขา
จางหัวปินเข้าใจเจตนาของเขา จึงพยักหน้าพูดขึ้น“ถ้าอย่างนั้นผมก็พูดตรงๆเลยแล้วกัน”
พูดจบก็หันหน้าจอโน๊ตบุ๊คไปทางไป๋ยี่เฟย“ซุนเจี้ยนหมิง อายุ53ปี รองประธานของสหพันธ์ธุรกิจเมืองหลวง”
“สหพันธ์ธุรกิจเมืองหลวงมีประธานหนึ่งคน รองประธานเก้าคน น้องชายน้องสาวก็เป็นหนึ่งในนั้น แม้ว่าจะมีรองประธานเก้าคน แต่ระหว่างรองประธานแต่ละคนก็มีการแบ่งระดับเหมือนกัน”
“แต่ระดับมันก็ไม่ค่อยชัดเจน พูดให้ชัดๆก็คือจัดลำดับการตามเงินทุน ซุนหมิงเจี้ยนเป็นรองประธานสหพันธ์ธุรกิจตั้งแต่สิบปีที่แล้ว เขาทำงานที่สหพันธ์ธุรกิจมาสิบปีแล้ว เส้นสายมากมาย ดังนั้นรองประธานคนอื่นๆเวลาทำอะไรจะเชื่อฟังเขา”
“ซุนหมิงเจี้ยนอาศัยอยู่ที่เขตคฤหาสน์สหพันธ์ธุรกิจเมืองหลวง เต้าจ่างก็อาศัยอยู่ที่เขตคฤหาสน์สหพันธ์ธุรกิจเมืองหลวงเช่นกัน เขตนี้ความปลอดภัยระดับสูงที่สุดของทั่วประเทศ ถ้าคิดจะเข้าไปล่ะก็ยุ่งยากมากๆ”
“ซุนหมิงเจี้ยนมีลูกน้องสองคนที่ต้องระวังเป็นพิเศษ คนหนึ่งชื่อว่าหมิงฮุย อีกคนชื่อหนานหนาน ทั้งสองคนล้วนแต่เป็นคนฝีมือดีระดับที่สามทั้งสิ้น คนที่ชื่อหนานหนานนั่น จัดอยู่อันดับที่สี่ของการจัดอันดับเยาวชนของเมืองหลวง”
“ยังมีอีกหนึ่งเรื่อง ในส่วนของงานอย่างเป็นทางการของสหพันธ์ธุรกิจเมืองหลวงของซุนหมิงเจี้ยน ก็คือเขาเป็นหนึ่งในผู้ช่วยของเต้าจ่าง ดังนั้นถ้าเต้าจ่างรู้เรื่องนี้จะต้องสอดมือเข้ามายุ่งด้วยแน่นอน”
“ประมาณนี้แหละครับ นี่เป็นแผนที่ความปลอดภัยของสหพันธ์ธุรกิจ คุณลองดูหน่อยสิ”
ไป๋ยี่เฟยจ้องมองแผนที่ ดูไปคร่าวๆแล้ว รอบคอบแน่นหนามากๆ ถ้าคิดที่จะบุกเข้าไปช่วยคนล่ะก็ ต้องคิดพิจารณาให้ดีก่อน วางแผนอย่างละเอียด
“ฝีมือดีระดับที่สามที่นายพูดถึงหมายความว่ายังไง?”ไป๋ยี่เฟยนึกถึงคำพูดที่เขาพูดเมื่อตะกี้
จางหัวปินรีบพูดอธิบายทันที“ก่อนหน้านี้ผมไปตรวจสอบเต้าจ่างมาแล้ว จึงรู้ว่าพวกเขามีการจัดอันดับกันในด้านของกองกำลังด้วย เพราะว่าการมีส่วนร่วมทางธุรกิจของพวกเราไม่ได้ข้องเกี่ยวกับแวดวงนั้น”
“ในตอนนั้นผมก็ทำการตรวจสอบมา จึงพบว่ามีการแบ่งระดับด้วย”
“แต่ในด้านนี้ พี่ซาน่าจะเข้าใจมากกว่า”จางหัวปินพูดพลางหันไปยังซาเฟยหยาง
ไป๋ยี่เฟยได้ฟังแบบนั้นก็มองไปด้วยความอยากรู้อยากเห็น
ซาเฟยหยางพยักหน้าเล็กน้อย ก่อนจะพูดขึ้น“มีการแบ่งระดับถูกต้องแล้ว แต่ค่อนข้างไม่ชัดเจน เพราะว่าในด้านของยุทธการโจมตีและอาวุธจะไม่เหมือนกัน”
“แต่นี่มันก็ไม่ได้ต่างกันมากนัก ให้ยกตัวอย่างล่ะก็ ในกลุ่มพวกนายมีคนที่ชื่อว่าเฉินอ้าวเจียว เขาถือว่าอยู่ในระดับระดับที่สามชั้นสูง ส่วนนาย อยู่แค่ระดับที่สามชั้นต่ำเท่านั้น”