ซื่อจิ่น หวนรักประดับใจ (จบบริบูรณ์) - ตอนที่ 571 บุตรีแสนขี้เหร่ในสายตาของอวี้ชี
ฮองเฮาในฐานะซึ่งเป็นนายหญิงแห่งวังหลัง แน่นอนว่านางเป็นคนแรกที่ได้รับข่าวนี้ จากนั้นได้รับสั่งให้ประทานของกำนัลทันที อีกทั้งส่งคนให้ไปรายงานอย่างตำหนักอวี้เฉวียน
ในขณะนั้น เสียนเฟยกำลังถือกรรไกรสีเงินขนาดเล็กไว้ในมือและตัดแต่งกระถางต้นไม้ซึ่งมีดอกไม้บานงดงาม เมื่อได้ยินว่า มีคนจากตำหนักคุนหนิงเดินทางมา จึงได้ลุกขึ้นยืนแล้วกล่าวว่า “เชิญเข้ามาเถิด”
ผ่านไปสักครู่ ข้าหลวงแห่งตำหนักคุนหนิงก็ได้ตรงเข้ามาด้านใน ยิ้มขึ้นแล้วกล่าวว่า “ขอแสดงความยินดีกับเสียนเฟยด้วยพ่ะย่ะค่ะ!”
เสียนเฟยสะดุ้งเล็กน้อยในใจ แต่ใบหน้าของนางยังคงรอยยิ้มเอาไว้ดังเดิมตามความเหมาะสม “มีเรื่องน่ายินดีใดอย่างนั้นหรือ”
เป็นไปได้หรือไม่ว่าภรรยาของเจ้าเจ็ดจะให้กำเนิดบุตรแล้ว
จากนั้นก็ได้ยินข้าหลวงกล่าวว่า “เมื่อคืนนี้เวลากลางดึก พระชายาเยี่ยนอ๋องได้ให้กำเนิดธิดาแล้วพ่ะย่ะค่ะ”
“ขอบคุณกงกงที่เดินทางมาส่งข่าวดีนี้ หงอวี้…”
บ่าวรับใช้นางหนึ่งก้าวขึ้นมาแล้วมอบรางวัลให้แก่ข้าหลวงผู้นั้น
ข้าหลวงได้เอ่ยคำอวยพรซึ่งเป็นสิริมงคลออกมาอีกสองสามประโยคก่อนที่จะเดินทางจากไป
รอยยิ้มบนใบหน้าของพระสนมเสียนหุบลงทันใด ก่อนจะหยิบกรรไกรที่วางไว้ด้านข้างขึ้นมาตัดแต่งต้นไม้ดอกไม้ของนางต่อไป ริมฝีปากเผยอขึ้นเล็กน้อยแล้วกำชับว่า “จงจัดเตรียมของยาบำรุงส่งไปให้ที่จวนเยี่ยนอ๋องด้วย”
ก็เพียงแค่เด็กผู้หญิงคนหนึ่ง แน่นอนว่าไม่มีสิ่งใดควรค่าที่จะยินดีมากนัก
ยิ่งไปกว่านั้น เมื่อนางนึกถึงเรื่องนี้ก็รู้สึกเจ็บปวดใจยิ่ง
ในตอนนั้น ภรรยาเจ้าสี่และภรรยาเจ้าเจ็ดล้วนกำลังตั้งครรภ์ นางสนมคนหนึ่งได้เข้ามาเอ่ยยินดีแล้วกล่าวกับนางถึงเรื่องราวหลังจากที่ผลิดอกออกผล แต่ผลเป็นอย่างไรเล่า
ภรรยาเจ้าสี่แท้งบุตร อย่าว่าแต่ออกผลเลยแม้แต่ดอกไม้สักดอกยังไม่มีให้เห็น ภรรยาเจ้าเจ็ดจึงได้รับผลกระทบต่อโชคร้ายในครั้งนี้ด้วย และให้กำเนิดเพียงธิดาออกมา
มีอ๋องจำนวนมากมายที่ใช้ชีวิตอาศัยอยู่นอกพระราชวัง รวมไปถึงในตงกง เรียกได้ว่าให้กำเนิดธิดากันมากมายนับไม่ถ้วน คาดว่าเรื่องนี้ต่อให้ฮ่องเต้รับทราบแล้วก็คงไม่แม้แต่เงยหน้ารับรู้
เสียนเฟยทำการจัดแต่งกิ่งก้านต้นไม้ของนางต่อไป โยนเรื่องที่พระชายาเยี่ยนอ๋องให้กำเนิดธิดาออกไปจากความคิดตน
ในวันนี้เป็นวันแรกของเดือนหก หลังจากที่จิ่งหมิงฮ่องเต้ประชุมเช้าเป็นที่เรียบร้อยแล้ว ก็ได้เดินทางไปยังตำหนักของฮองเฮาด้วยความเคยชิน
“ในวันนี้ฮ่องเต้เสร็จภารกิจเร็วจริงเพคะ”
“ช่วงนี้ไม่มีเรื่องอันใดให้จัดการมากนัก จึงได้เดินทางมาร่วมเสวยอาหารกับฮองเฮา” อาจเป็นเพราะว่าระหว่างฮ่องเต้และฮองเฮามีความลับซึ่งรู้กันเพียงสองคนอยู่ แม้ว่าฮ่องเต้จะไม่ได้มีความรักต่อฮองเฮา ทว่ากลับรู้สึกสบายใจยิ่งนักเมื่ออยู่กับนาง
สามีภรรยา เท่านี้ก็เพียงพอแล้ว
“มีเรื่องน่ายินดีอยู่เรื่องหนึ่ง ไม่ทราบว่าฝ่าบาทรับรู้แล้วหรือไม่”
ฮ่องเต้ทำท่าทางสนอกสนใจ “มีเรื่องน่ายินดีใดอย่างนั้นหรือ”
ช่วงนี้งานราชการค่อนข้างยุ่ง แทบไม่มีเรื่องใดที่ทำให้เขารู้สึกเกิดความสนใจได้เลย
“เมื่อคืนนี้พระชายาเยี่ยนอ๋องได้ให้กำเนิดธิดาอย่างปลอดภัย ฝ่าบาททรงคิดว่าเรื่องนี้เป็นเรื่องน่ายินดีหรือไม่” ฮองเฮาเอ่ยถามด้วยรอยยิ้ม
จิ่งหมิงฮ่องเต้ตกตะลึงเล็กน้อย จากนั้นบนใบหน้าก็ปรากฏเป็นรอยยิ้มขึ้นมา “เป็นเรื่องน่ายินดีนัก ทุกอย่างราบรื่นก็เป็นดี”
ฮ่องเต้มีพระราชกรณียกิจมากมายในแต่ละวัน ซึ่งแน่นอนว่าเขาคงไม่มีเวลาไปใส่ใจเรื่องสะใภ้ที่อยู่นอกพระราชวังจะให้กำเนิดบุตรเมื่อไร
“ฮองเฮาอย่าลืมจัดเตรียมอาหารและยาบำรุงไปที่จวนเยี่ยนอ๋องด้วย”
“หม่อมฉันได้กำชับคนให้นำไปแล้วเพคะ”
จิ่งหมิงฮ่องเต้หวนนึกถึงคำที่เคยสัญญาไว้แล้วกล่าวกับฮองเฮาว่า “ช่วงนี้เจ้าเจ็ดสร้างผลงานได้ไม่เลวเลย ข้าตั้งใจจะตั้งชื่อให้บุตรสาวคนโตของเขา”
เรื่องที่อวี้จิ่นวางแผนจับกุมตัวตั่วหมัวมัวซึ่งเป็นผู้สร้างความโกลาหลอีกทั้งปัญหามากมายในพระราชวังได้ ประกอบกับเรื่องราวที่อำเภอเฉียนเหอ เขาแสดงออกมาอย่างโดดเด่น สิ่งเหล่านี้จิ่งหมิงฮ่องเต้ล้วนจดจำไว้ในใจ เนื่องจากเขาเป็นองค์ชาย จึงไม่อาจประทานตำแหน่งขุนนางใดให้ได้ ดังนั้นจึงทำได้เพียงชดเชยให้จากทางด้านอื่น
ฮองเฮาตกตะลึงเล็กน้อย ที่ฮ่องเต้ตรัสว่าจะตั้งชื่อนั้น แน่นอนว่าคงไม่ได้เป็นการตั้งชื่อธรรมดาๆ เช่นกับเด็กทั่วไป
การตั้งชื่อจากฮ่องเต้นั่นหมายความว่ากำลังจะแต่งตั้งยศตำแหน่งให้สำหรับเด็กทารกที่เพิ่งเกิดมา สิ่งนี้นับว่าเป็นสิริมงคลและน่าภาคภูมิใจยิ่งนัก
เนื่องจากว่าในพระราชวังมีองค์หญิงมากมาย นอกเสียจากองค์หญิงฝูชิงที่เป็นองค์หญิงสายตรง และองค์หญิงสิบห้าที่เพิ่งจากไปอย่างน่าเสียดายแล้วนั้น บัดนี้ไม่มีองค์หญิงใดที่ได้รับการแต่งตั้งเลย ล้วนรอให้บุตรสาวทั้งหลายออกเรือนแล้วจึงจะแต่งตั้งตำแหน่งให้
ในไม่ช้า ฮองเฮาก็เข้าใจถึงเหตุผลที่จิ่งหมิงฮ่องเต้ทรงทำเช่นนี้
ที่ว่ากันว่าหนี้ของบิดา บุตรต้องเป็นผู้รับใช้ ในทำนองเดียวกันหากบิดามารดาทำคุณงามความดี บุตรธิดาก็จะได้รับความชื่นชอบเช่นกัน เยี่ยนอ๋องและพระชายาช่วยคลายปัญหามากมายให้แก่ฝ่าบาท แต่เรื่องเหล่านี้กลับไม่สามารถเผยแพร่ให้แก่ผู้คนภายนอกรับรู้ได้ ดังนั้นฝ่าบาทจึงจำเป็นต้องชดเชยให้ในด้านอื่น
ฮองเฮายิ้มขึ้นแล้วกล่าวว่า “ฝ่าบาททรงคิดชื่อได้แล้วหรือยังเพคะ”
“บัดนี้ยัง ให้ข้าครุ่นคิดดูสักหน่อยเถิด” จิ่งหมิงฮ่องเต้ลูบไปที่เคราของตน ผ่านไปสักครู่เขาก็ยังคิดไม่ออกจึงได้หันมาเอ่ยกับฮองเฮาว่า “ฮองเฮาเองก็ช่วยกันคิดเถิด”
ฮ่องเต้และฮองเฮาประทับอยู่ด้วยกัน ทั้งสองช่วยกันคิดตั้งชื่อให้แก่บุตรสาวซึ่งเพิ่งจะคลอดออกมาของพระชายาเยี่ยนอ๋อง
ในขณะเดียวกัน ทั้งเจียงซื่อและอวี้จิ่นก็กำลังครุ่นคิดเรื่องตั้งชื่อให้แก่บุตรสาวเช่นเดียวกัน
เนื่องด้วยอายุยังไม่มาก ในวันที่สองเจียงซื่อก็ฟื้นตัวได้มากทีเดียว หลังจากที่ให้นมบุตรสาวของนางเรียบร้อยแล้ว ก็ได้มอบให้แก่แม่นมดูแลต่อ สามีภรรยาทั้งสองก็เริ่มสนทนาเกี่ยวกับการตั้งชื่อนี้ขึ้นอีกครั้ง
“ชื่อจริงอย่าเพิ่งรีบร้อนไป ส่วนชื่อเล่นนั้นข้าคิดเอาไว้แล้ว จงเรียกนางว่าอาฮวนซึ่งหมายถึงความชื่นชอบเถิด”
เจียงซื่อกะพริบตา “ข้าจำได้ว่าก่อนหน้านี้เจ้ากล่าวไว้ หากเป็นโอรสให้ตั้งชื่อว่าอาหลี่ หากเป็นธิดาจะให้ชื่อว่าอาเจียวไม่ใช่หรือ”
เมื่อนึกถึงใบหน้าของบุตรสาวอันยับยู่ยี่น่าเกลียด อวี้จิ่นก็ได้แต่แอบถอนหายใจออกมา
น่าเกลียดเช่นนี้จะให้ตั้งชื่อว่าอาเจียวซึ่งหมายถึงผู้งดงามได้อย่างไรเล่า…หากผู้อื่นได้ยินแล้วนำไปล้อเลียนลูกสาวของเขาจะทำเช่นไร
แต่ประโยคเหล่านี้อวี้จิ่นไม่กล้ากล่าวกับเจียงซื่อโดยตรงอย่างแน่นอน จึงได้แต่ยิ้มขึ้นแล้วกล่าวว่า “จู่ๆ ข้าก็รู้สึกว่าชื่ออาฮวนดีกว่ามากนัก ในอนาคตไม่ว่าผู้ใดเห็นลูกของเราล้วนชื่นชอบนาง นางจะได้มีความสุข”
เจียงซื่อครุ่นคิดแล้วรู้สึกว่าดูสมเหตุสมผล นางพยักหน้ากล่าวว่า “เช่นนั้นจงตั้งชื่อว่าอาฮวนเถิด ข้าเองก็รู้สึกว่าดียิ่งนัก”
“ท่านอ๋องเจ้าคะ คนจากจวนตงผิงปั๋วเดินทางมาเจ้าค่ะ”
“มีผู้ใดมาบ้าง”
อาเฉี่ยวตอบกลับว่า “มีนายท่าน ต้ากูไหน่ไน อีกทั้ง อาสะใภ้สาม”
อวี้จิ่นรีบลุกขึ้นยืนแล้วกล่าวว่า “ข้าจะไปต้อนรับท่านพ่อตาเอง”
เนื่องจากเจียงซื่อยังอยู่ในช่วงอยู่ไฟ ดังนั้นเจียงอันเฉิงจึงไม่สะดวกนักหากจะเข้าเยี่ยมบุตรสาว เขาจึงได้เห็นเพียงหลานสาวซึ่งถูกห่อไว้ในผ้าห่อตัวมิดชิดเท่านั้น
เจียงอันเฉิงรู้สึกว่ามองอย่างไรก็มองไม่พอ จึงได้ยิ้มขึ้นแล้วกล่าวว่า “อีเอ๋อร์ เจ้าดูนี่สิ เด็กคนนี้เหมือนกับน้องสาวเจ้าไม่มีผิดเพี้ยน…”
เจียงอีเข้ามาล้อมรอบทารกน้อย ยิ้มแล้วพยักหน้าเห็นด้วยว่า “นั่นสิท่านพ่อ ช่างหน้าตาคล้ายกับน้องสี่เหลือเกิน ดูคิ้วของนางสิ ราวกับแกะสลักออกมาอย่างไรอย่างนั้น ในอนาคตจะต้องโดดเด่นเช่นเดียวกับน้องสี่เป็นแน่”
เมื่อได้ยินบทสนทนาของสองพ่อลูกที่เอ่ยชมธิดาของตนไม่ขาดปาก อวี้จิ่นก็รู้สึกงุนงงยิ่งนัก
นี่เขาตาบอด หรือคนอื่นๆ ตาบอดกันเล่า
“ท่านอ๋อง ข้าขอเข้าไปเยี่ยมพระชายาหน่อยเถิด”
ทั้งเจียงอีและอาสะใภ้สามเดินเข้าไปในห้องคลอดพร้อมกัน เมื่อพบว่าเจียงซื่อสุขภาพแข็งแรงดี จึงได้สนทนากันสองสามประโยคก่อนจะเดินจากมา
ไม่ควรจะรบกวนผู้กำลังอยู่ไฟเป็นเวลานานมากนัก
ระหว่างทางกลับ เจียงอันเฉิงก็ได้ถอนหายใจออกมาอย่างไม่อาจควบคุมตนเองได้ “วันเวลาช่างผ่านไปอย่างรวดเร็วเหลือเกิน ชั่วพริบตาเดียว น้องสี่ของเจ้าก็กลายเป็นแม่คนแล้ว”
เจียงอีรู้ได้ว่าบิดาของนางคิดถึงท่านแม่ จึงได้เอ่ยปลอบโยนอยู่ไปพักหนึ่ง
เมื่อเดินทางมาถึงเรือนฉือซิน เฝิงเหล่าฮูหยินได้นั่งรออยู่ที่นั่นอย่างร้อนรน นางรีบเอ่ยถามขึ้นว่า “เป็นอย่างไรบ้าง”
“ทั้งน้องสี่และบุตรสาวของนางล้วนปลอดภัยดี ท่านย่าวางใจเถิดเจ้าค่ะ” เจียงอีตอบ
เฝิงเหล่าฮูหยินเลิกคิ้วขึ้นข้างหนึ่งเอ่ยถามว่า “แล้วท่านอ๋องเล่า”
เจียงอันเฉิงทำสีหน้าประหลาดใจ “การคลอดบุตรไม่จำเป็นที่จะต้องให้ท่านอ๋องต้องออกแรง จะมีสิ่งผิดปกติใดเกิดขึ้นกับเขาได้อย่างนั้นหรือ”
เฝิงเหล่าฮูหยินชายตามองบุตรชายของตนด้วยท่าทางเคร่งขรึม “ข้าหมายความว่าซื่อเอ๋อร์ให้กำเนิดธิดาออกมา ท่านอ๋องมีความรู้สึกไม่พอใจหรือไม่”
เจียงอันเฉิงหัวเราะขึ้นด้วยความเยือกเย็น “ซื่อเอ๋อร์ให้กำเนิดบุตรสาวหน้าตาน่ารักน่าชังแก่เขาด้วยความยากลำบาก เหตุใดเขาจึงไม่มีความสุขเล่า ท่านแม่อย่าได้กังวลเกี่ยวกับเรื่องนี้ไปเลย”
เฝิงเหล่าฮูหยินเบิกตาจ้องมองแทบสำลัก
เมื่อเจียงซื่อลืมตาขึ้นก็พบว่าอวี้จิ่นยังคงเฝ้านางอยู่ด้านข้างกาย จึงอดไม่ได้ที่จะหัวเราะออกมา “อาจิ่น เหตุใดเจ้าจึงไม่ไปทำงานของเจ้า กลับมานั่งเฝ้าข้าที่กำลังอยู่ไฟทำไมกัน”
อวี้จิ่นหัวเราะขึ้น “ที่ศาลาว่าการไม่มีสิ่งใดต้องทำมากนักจึงไม่จำเป็นต้องเดินทางไป บัดนี้เรื่องใดจะสำคัญไปกว่าการอยู่เป็นเพื่อนเจ้าอีกเล่า”
การที่สตรีอยู่ไฟเป็นเรื่องลำบากยิ่งนัก ในเดือนหกเช่นนี้ไม่อาจเปิดประตูหน้าต่างได้ เขาเพียงเข้ามาชั่วครู่ก็เหงื่อไหลไคลย้อยไปทั่วตัว น่าสงสารอาซื่อเหลือเกินที่ต้องอดทนอยู่เช่นนี้อีกหนึ่งเดือน
“อาจิ่น เจ้าช่วยเขียนจดหมายไปหาพี่รองให้ข้าฉบับหนึ่งได้หรือไม่ บอกกับเขาว่าบัดนี้เขามีหลานสาวเพิ่มคนหนึ่งแล้ว”