ซื่อจิ่น หวนรักประดับใจ (จบบริบูรณ์) - ตอนที่ 383 ข่าวลือ
กว่าจะได้มีเวลาพักผ่อนเป็นจริงเป็นจัง เจียงซื่อก็เกือบลืมเรื่องของจี้ฉงอี้ไปเสียสนิท แต่เพราะอาหมานเอ่ยถึงจวนอันกั๋วกง เรื่องนี้ถึงได้ย้อนกลับเข้ามาในความทรงจำของนางอีกครั้ง
ในปีนี้เมื่อชาติที่แล้วขณะที่เริ่มเข้าสู่ปลายฤดูใบไม้ผลิ จี้ฉงอี้มอมเมาด้วยฤทธิ์สุราหนักเข้าขั้นจนแทบลืมตาไม่ขึ้น
คนเล่ากันว่า หลังจากที่เขาฟาดน้ำเมาไปไม่ยั้ง เขาก็เอาแต่พร่ำร้องชื่อของเฉี่ยวเหนียง
ความจริงนั่นก็เป็นเรื่องปกติ นางเองเคยได้ยินกับหูมาไม่ต่ำกว่าสามครั้งสามครา และเนื่องจากจี้ฉงอี้เสียชีวิตลงเช่นนั้น เรื่องนี้ถึงได้กลายเป็นเรื่องตลกในชีวิตของนาง
ซานเซ่าไหน่ไนช่างไร้ความสามารถ แม้แต่สตรีที่เสียชีวิตไปแล้วยังสู้ไม่ได้ ปล่อยให้สามีตัวเองเพรียกหาหญิงอื่นจนกระทั่งวินาทีสุดท้ายของชีวิต
อันกั๋วกงฮูหยินก็ระทมทุกข์ยิ่งนัก นางตำหนิด่าทอเจียงซื่อทั้งน้ำตา พร้อมบอกว่าหากทำตามความปรารถนาของบุตรชายแต่แรก เขาคงไม่ต้องจบชีวิตลงเช่นนี้
จวบจนทุกวันนี้ เจียงซื่อยังคงจำความคับแค้นและความอัปยศนั้นได้ขึ้นใจ ซึ่งทั้งหมดทั้งมวลนั้นไม่ได้เกิดจากสูญเสียสามีแต่อย่างใด
ในเวลานั้น ความรู้สึกเดียวที่นางมีต่อจี้ฉงอี้มีเพียงความเกลียดชัง
แต่เมื่อได้กลับมามีชีวิตอีกครั้ง นางมิได้รู้สึกเกลียดชังชายผู้นี้อีกแล้ว เพราะนางเห็นเขาเป็นเพียงคนแปลกหน้าคนหนึ่งเท่านั้น
จี้ฉงอี้ที่ยังสุขสบายดีในชาตินี้ อีกทั้งยังแตกต่างไปจากในชาติที่แล้วโดยสิ้นเชิง ทำให้เจียงซื่อต้องเก็บมานั่งคิด
เหตุใดถึงได้เปลี่ยนไปเพียงนี้
จริงอยู่ที่นางมิได้คาดหวังให้จี้ฉงอี้เสียชีวิตก่อนวัยอันควร เพียงแต่เรื่องที่เขายังมีชีวิตอยู่ก็ทำให้รู้สึกสับสนไม่น้อย
หลังจากขบคิดอยู่นาน เจียงซื่อก็หัวเราะกับตัวเอง
ความจริงก็มิใช่เรื่องแปลกแต่อย่างใด
จี้ฉงอี้รักเฉี่ยวเหนียงออกปานนั้น ในเมื่อชาติที่แล้วไม่ได้แต่งงานกับนางตามใจปรารถนา ถึงได้เฝ้าคิดคะนึงจนตรอมใจไปพร้อมฤทธิ์สุรา
ในชาตินี้ เมื่อได้ลิ้มรสชาติของการสมหวังดั่งปรารถนาแล้วก็ย่อมกระโดดโลดเต้นเป็นธรรมดา
ครั้นคิดตกเช่นนั้นแล้ว เจียงซื่อก็สลัดความคิดออกจากหัว และกลับไปใช้ชีวิตอย่างสุขสงบของตัวเองดังเดิม
แต่ในช่วงเวลาเดียวกัน ผู้คนทั้งตำแหน่งเล็กใหญ่ในตำหนักฉือหนิงต่างก็ใช้ชีวิตหนึ่งวันที่ดูคล้ายกับยาวนานเหมือนหนึ่งปี
นับวันอาการของไทเฮาก็ยิ่งแย่ลง
จะว่าไปแล้วน่าแปลกตรงที่หลังจากงานเลี้ยงชมดอกเหมยผ่านไปได้ไม่นาน ไทเฮาก็เริ่มล้มป่วย นางเริ่มใช้เวลาอยู่บนเตียงนานขึ้น แพทย์หลวงที่มาถวายการรักษาก็ไม่สามารถหาสาเหตุที่แน่ชัดได้
จิ่งหมิงฮ่องเต้เสด็จมาที่พระตำหนักฉือหนิงถี่ขึ้น ส่วนเหล่าพระชายาและพระสนมต่างก็มาน้อมทัก ถึงแม้มิได้เข้าเฝ้าไทเฮาก็ตามแต่
เพราะหากพวกนางมา ไม่แน่ว่าอาจบังเอิญได้พบฝ่าบาทก็เป็นได้ หรือต่อให้ไม่พบ ให้ฝ่าบาทได้รับรู้ว่าพวกนางมาเยี่ยมไทเฮาก็ยังดี
“ฝ่าบาท…” นางกำนัลรีบถวายความเคารพทันทีที่เห็นฮ่องเต้เดินมา
ข้าหลวงเตรียมอ้าปากกล่าวรายงานทว่าถูกห้ามไว้เสียก่อน “ไม่ต้อง”
จิ่งหมิงฮ่องเต้สาวเท้าก้าวใหญ่เข้าไปยังบริเวณที่บรรทมของไทเฮา
ภายในตำหนักฉือหนิงมีม่านระบายซ้อนหลายชั้น ยิ่งเดินเข้าไปใกล้ กลิ่นด้านในก็ยิ่งชัดขึ้น
วินาทีที่เห็นไทเฮา ความรู้สึกภายในใจจิ่งหมิงฮ่องเต้พลันหนักอึ้ง
ใครต่างก็ว่า เมื่ออายุมากเข้า ก็ไม่มีผู้ใดหลีกหนีความเจ็บป่วยไปได้ ต่อให้เป็นสตรีสูงศักดิ์ค้ำฟ้าก็ล้วนแต่ต้องเผชิญกับความเป็นไปของสังขารทั้งสิ้น
ไทเฮาอาการย่ำแย่ยิ่งนัก
จิ่งหมิงฮ่องเต้ถอนหายใจแต่เพียงในใจ โทษที่ตัวเองเอาแต่คิดเลอะเทอะ เขารีบก้าวเท้าเข้าไปหาพร้อมกับกุมมือไทเฮาเอาไว้ “เสด็จแม่ ทรงดีขึ้นแล้วหรือไม่”
ไทเฮาพยายามลืมตาขึ้นมอง นางกล่าวเอ่ยด้วยน้ำเสียงอ่อนโยน “ก็ยังเหมือนๆ เดิม เหตุใดฝ่าบาทถึงเสด็จมาอีก เรื่องบ้านเมืองถือเป็นสำคัญ อย่าได้มัวเสียเวลาอยู่กับข้าเลย”
จิ่งหมิงฮ่องเต้ทุกข์ระทมยิ่งนัก ทว่ามิได้แสดงออกทางสีหน้า เพียงแต่ส่งยิ้มให้ผู้เป็นมารดา “เสียเวลาที่ไหนกัน อีกอย่าง หาได้มีสิ่งใดสลักสำคัญไปกว่าพลานามัยของเสด็จแม่ พวกหมอไร้ประโยชน์พวกนั้น ข้าจะสั่งหวัดหัวให้หมด…”
ไทเฮาออกแรงบีบมือฝ่าบาท “ฝ่าบาทอย่าได้โทษพวกหมอหลวงเลย ข้าเองก็แก่แล้ว เพียงแต่ลมพัดใบไม้ไหว ร่างกายของข้าก็ตามไม่ทันเสียแล้ว คงถึงเวลาแล้วกระมัง…”
จิ่งหมิงฮ่องเต้รีบห้ามไม่ให้ไทเฮาพูดต่อ เขานั่งเฝ้าอยู่ครู่หนึ่ง เมื่อเริ่มเห็นว่านางเริ่มเพลียจึงขอตัวกลับไป
ระหว่างทางกลับ กลิ่นของใบหญ้าที่ต้องสายฝนจนชุ่มแฉะปะทะเข้าที่ฆานประสาท ทว่าความรู้สึกของจิ่งหมิงฮ่องเต้ในยามนี้กลับมิได้เบิกบานเฉกเช่นฤดูร้อนที่กำลังมาเยือน
ฤดูกาลแวะเวียนมาอีกปี ส่วนไทเฮาก็ย่างเข้าช่วงวัยไม้ใกล้ฝั่ง
หรือว่าไทเฮาที่คอยปกป้องและรักทะนุถนอมเขาจักไม่อาจหยัดยืนได้อีกต่อไปแล้ว
เสียงกระซิบกระซาบแว่วมารั้งให้ฝีเท้าของจิ่งหมิงฮ่องเต้หยุดชะงัก
“รู้หรือยังว่าความจริงแล้ว พระอาการประชวรของไทเฮามิได้เกิดจากโรค แต่เพราะได้รับการกระทบกระเทือน”
เมื่อเห็นว่าพานไห่กำลังจะเอ่ยพร้อมใบหน้าเย็นชา จิ่งหมิงฮ่องเต้ก็รีบปรามไว้ก่อนจะรีบกระโจนเข้าไปหลบหลังพุ่มไม้
ครั้นเห็นฮ่องเต้เข้าไปแอบเช่นนั้น หัวหน้าขันทีอย่างพานไห่ก็ต้องตามเข้าไปด้วยความจำใจ
ทั้งคู่พยายามเงี่ยหูฟัง
“หื้ม ได้รับการกระทบกระเทือนงั้นหรือ แล้วไปโดนอะไรเข้าล่ะ”
“ได้ยินว่าเป็นเพราะงานอภิเษกขององค์ชายครั้งเมื่องานชมดอกเหมย”
เสียงร้องตกใจของคู่สนทนาดังขึ้น “เอ้อ จริงซี พระวรกายของไทเฮาเริ่มไม่สู้ดีนับตั้งแต่งานเลี้ยงนั่น…แล้วเป็นเพราะงานอภิเษกขององค์ชายองค์ไหนกันเล่า”
หลังจากงานชมดอกเหมยก็มีกระแสรับสั่งพระราชทานงานสมรสให้แก่สู่อ๋องและเยี่ยนอ๋องออกมาพร้อมกัน อีกทั้งสองงานก็จัดห่างกันเพียงแค่หนึ่งเดือนเท่านั้น
“นี่ยังต้องให้ข้าบอกอีกหรือ ก็ต้องเป็นของผู้นั้นยังไงเล่า…”
“ผู้ไหน”
“เจ็ด…”
ห้วงประโยคหลังสำลักอยู่ในลำคอของนางเมื่อสายตาหันไปเห็นบุคคลตรงหน้า
นางในอีกคนไหวพริบดีกว่า จึงรีบดึงสหายให้คุกเข่าพร้อมกับถวายความเคารพฮ่องเต้
ใบหน้าของฮ่องเต้หมองหม่นคล้ายจมอยู่ในน้ำลึกถามขึ้น “ผู้ไหน”
เมื่อเห็นว่านางในทั้งสองก้มหน้าไม่พูดไม่จา พานไห่จึงสะบัดเท้าใส่พวกนาง “ฝ่าบาทตรัสถาม เป็นใบ้หรืออย่างไร”
นางในหนึ่งในสองคนนั้นที่ถูกเท้าของขันทีสะบัดเข้าให้ รีบลุกแล้วหมอบจนหน้าผากติดพื้นด้วยเนื้อตัวสั่นเทา “กะ…กราบทูลฝ่าบาท เป็นเพราะงานอภิเษกสมรสของเยี่ยนอ๋องเพคะ…”
จิ่งหมิงฮ่องเต้ได้ยินดังนั้นก็ยกเท้าขึ้นแล้วเดินจากไป
นางในทั้งสองทราบดีว่า บัดนี้พิบัติมาใกล้ถึงตัว ทั้งคู่ยังคงซบหน้าลงถึงพื้นวิงวอนขอความเมตตา
ด้วยสถานะนี้ แม้ว่ายามผู้คนอยู่ต่อพระพักตร์ของฮ่องเต้จะให้เกียรติและนอบน้อมเพียงใด แต่ในสายตาคนอื่นๆ แล้ว ช่างเป็นบุคคลที่เลือดเย็นยิ่งนัก
พานไห่เหลือบมองไปที่นางในทั้งสองอย่างตรวจตราก่อนจะโบกมือ “พาตัวไป”
มีข้าหลวงอีกสองคนปรากฏตัวขึ้นห่างออกไปไม่ไกลจากบริเวณนั้น พวกเขาเดินเข้ามาปิดปากพวกนางและพาตัวไปอย่างชำนิชำนาญ
จิ่งหมิงฮ่องเต้สับเท้าเร็วขึ้น ดูเดือดดาลอย่างเห็นได้ชัด
พานไห่รีบตามไป “ฝ่าบาทอย่าเพิ่งพิโรธไปเลยพ่ะย่ะค่ะ อย่าเปลืองพระวรกายอันล้ำค่าไปกับข้ารับใช้พวกนั้นเลย”
จิ่งหมิงฮ่องเต้หยุดชะงัก พลางหันมามองพานไห่ “เหตุใดข้าถึงไม่รู้ว่ามีข่าวลือไร้สาระเช่นนี้!”
ไม่ว่าจะงานอภิเษกของสู่อ๋องหรือเยี่ยนอ๋องล้วนแล้วแต่เขาเป็นผู้ประทานให้ ครั้นจะบอกว่างานสมรสของเยี่ยนอ๋องส่งผลกระทบกระเทือนต่อไทเฮา นั่นก็หมายความว่าอาการประชวรของไทเฮาเกิดขึ้นโดยมีเขาเป็นต้นเหตุงั้นซี
จิ่งหมิงฮ่องเต้ปะทุหนักกว่าเก่า
พานไห่ลอบส่ายศีรษะเพียงลำพัง คนที่ปล่อยข่าวลือเช่นนี้ช่างโง่เขลาเสียจริง ดูเหมือนว่าจงใจจะพุ่งเป้าไปที่เยี่ยนอ๋อง ไม่รู้หรืออย่างไรว่าฝ่าบาทเป็นผู้พระราชทานงานอภิเษกสมรสนั่น หนำซ้ำฝ่าบาทยังทรงให้ความสำคัญกับไทเฮายิ่งกว่าสิ่งใด แล้วพระองค์จักไม่กริ้วได้อย่างไร
“ข้าไม่อยากได้ยินข่าวลือเหลวไหลนี่อีก”
พานไห่รีบตอบรับทันควัน
การจะสืบหาต้นตอของข่าวซุบซิบประเภทนี้ทำได้ยากยิ่ง ฉะนั้นการสั่งให้เรื่องนี้เงียบไปยังทำได้ง่ายกว่า
เพียงแต่ว่า…
พานไห่หวนคิดถึงสตรีงามผู้หนึ่งในงานชมดอกเหมยก่อนจะถอนหายใจออกมาแต่ในใจ
เกรงว่าชีวิตของพระชายาเยี่ยนอ๋องจักไม่ราบรื่นเสียแล้ว
แม้ฝ่าบาทจะไม่ใส่ใจจะท้วงติง และแม้จะห้ามปากคนไม่ให้พูดได้ แต่หาใช่ว่าจะห้ามสมองไม่ให้คิดได้ ถึงแม้ฝ่าบาทมิได้ติดใจ แต่หากเป็นฮองเฮาและเหล่าพระสนมเล่า
แล้วถ้าเป็นไทเฮาล่ะ
ข่าวลือเพียงข่าวเดียวสามารถทำลายชีวิตคนให้มอดไหม้ได้ เรื่องเช่นนี้เขาเห็นมานักต่อนักแล้ว
และแน่นอนว่าไทเฮาเองก็ต้องเคยได้ยินข่าวลือนี้มาบ้าง
นางในคนสนิทพยายามโน้มน้าว “ไทเฮา หรือว่าให้หม่อมฉันไปกราบทูลฝ่าบาทดีไหมเพคะ”
ไทเฮาส่ายศีรษะด้วยความยากลำบาก “เจ้าจะไปบอกอะไร เจ้าจะไปบอกเรื่องเหลวไหลเช่นนี้ต่อหน้าพระพักตร์และจักไม่ถูกหัวเราะเยาะงั้นหรือ”
“แต่ทว่า…”
ในทันใด ข้าหลวงก็กล่าวรายงานเสียงดัง “องค์หญิงใหญ่หรงหยางเสด็จ”