ซาลาเปาตัวน้อย ทะลุมิติมามีระบบทำฟาร์มยุค 70 จนร่ำรวย - บทที่ 221 แต่ละครอบครัวต่างเตรียมอาหารส่งท้ายปีเก่า
- Home
- ซาลาเปาตัวน้อย ทะลุมิติมามีระบบทำฟาร์มยุค 70 จนร่ำรวย
- บทที่ 221 แต่ละครอบครัวต่างเตรียมอาหารส่งท้ายปีเก่า
บทที่ 221 แต่ละครอบครัวต่างเตรียมอาหารส่งท้ายปีเก่า
……….
บทที่ 221 แต่ละครอบครัวต่างเตรียมอาหารส่งท้ายปีเก่า
หลังจากหลี่กุ้ยฮวากับหลิวต้าเม่ยอวดกันอยู่พักหนึ่ง ก็เบนสายตาไปทางอื่น ก่อนเปลี่ยนเรื่องคุย
“แม่ วันนี้ทำไมไม่เห็นจื้อผิงกับครอบครัวเขาเลย พวกเขาเป็นยังไงบ้าง?”
พอพูดถึงครอบครัวของเย่เหล่าซาน หลิวต้าเม่ยก็ยิ้มกว้างขึ้น “พวกเธอไม่รู้อะไร ครอบครัวของเจ้าสามตอนนี้น่ะสุดยอดมาก”
“ตอนนี้เย่จวินไปสร้างบ้านให้คนอื่น สร้างหลังหนึ่งได้สองร้อยหยวนเชียวนะ”
“เย่ฉางอันยิ่งแล้วใหญ่ ซื้อรถบรรทุกคันเบ้อเร่อมาคันหนึ่ง ตอนนี้ไม่ว่าใครในหมู่บ้านอื่นจะขนของก็ต้องมาขอร้องเขา ค่าจ้างเท่าไหร่ก็ยอมจ่าย ขอแค่ให้เขาไปช่วย ฉันได้ยินมาว่า พวกเขาหาเงินได้เยอะเชียวล่ะ”
สีหน้าหลิวต้าเม่ยเต็มไปด้วยความภาคภูมิใจ “ฉันก็บอกแล้วว่าตอนนั้นครอบครัวเราเลือกทำเลฮวงซุ้ยบรรพบุรุษดี ตอนนี้ครอบครัวเราถึงได้ร่ำรวยกัน”
หลี่กุ้ยฮวาในตอนนี้ได้ยินเพียงเสียงวิ้งๆ อยู่ข้างหู เห็นเพียงปากของหลิวต้าเม่ยขยับขึ้นลง แต่ไม่ได้ยินที่หลิวต้าเม่ยพูดเลยแม้แต่น้อย
หล่อนคิดว่าเมื่อพวกเขาย้ายไปอยู่เมือง ก็จะทิ้งห่างครอบครัวของเย่เหล่าซานไปได้ไกล
เมื่ออยู่ต่อหน้าพวกเย่เหล่าซาน พวกหล่อนก็ต้องมีหน้ามีตาเหมือนคนเมือง… เหมือนที่ตั้งใจอวดหลิวต้าเม่ยแบบนี้
แต่ไม่คาดคิดเลยว่าครอบครัวของเจ้าสามจะทำได้ขนาดนี้!
นี่มันไม่ต่างอะไรกับการแบกกระสอบไปหาเงินทั่วทุกสารทิศเลยรึ!
“พวกเขาจะรวยได้ยังไง? รถบรรทุกคันใหญ่ขนาดนั้น หรือว่าจะเป็นคันที่ฉันเห็นตรงข้างถนนในหมู่บ้านกันนะ?”
หลี่กุ้ยฮวารู้สึกตาลายไปหมด ความรู้สึกอิจฉาริษยาท่วมท้นเข้ามาในใจ ทำให้รู้สึกร้อนรุ่มขึ้นมา!
รู้ทั้งรู้ว่าพวกเขาทำงานในโรงงาน แต่ละวันตั้งแต่เช้ายันบ่ายก็ยุ่งจะแย่แล้ว
และไม่กล้าหยุดแม้แต่วันเดียว
เงินที่หาได้ตลอดทั้งปีแม้จะเทียบกับชาวนาคนอื่นไม่ได้ที่หาได้คนละเจ็ดสิบหยวน แต่ก็มากพอที่จะภูมิใจได้แล้ว
แต่ครอบครัวของเย่เหล่าซานที่อยู่เฉยๆในหมู่บ้าน กลับหาเงินได้มหาศาล!
“ตอนนี้ทุกคนคงจะนับถือเย่เสี่ยวจิ่นกันมากสินะ”
หลิวต้าเม่ยพยักหน้า “แน่นอนอยู่แล้ว ไม่ต้องพูดถึงคนอื่นหรอก แม้แต่ฉันก็ยังคิดว่าหล่อนเก่ง”
“ก่อนหน้านี้ฉันคิดว่าจิ่นเป่าทำอะไรไร้สาระ สั่งงานมั่วไปหมด มาตอนนี้ได้เงินตั้งเยอะ… โอ๊ย! ฉันถึงได้รู้ว่าที่แท้หล่อนก็หัวใสจริงๆ”
หลี่กุ้ยฮวาฝืนยิ้ม “นั่นเป็นเรื่องดีจริงๆ”
แต่ไม่นานหลิวต้าเม่ยก็โยนระเบิดลูกใหญ่กว่ามาให้อีก
“ครอบครัวเหล่าซานจะย้ายไปอยู่ในเมืองหลังฤดูใบไม้ผลินี้ละ”
หลี่กุ้ยฮวาใช้เวลาช่วงบ่ายอย่างเหม่อลอย
หล่อนเอนตัวลงบนเตียง ไม่อยากสวมเสื้อโค้ทขนสัตว์ที่ซื้อมาใหม่ออกไปอวดแล้ว
เย่จื้อเฉียงคุยกับเพื่อน ๆ สักพัก แล้วกลับมาเห็นภรรยาเป็นแบบนี้ เขาก็รู้แล้วว่าเกิดอะไรขึ้น
““เป็นอะไร? ไม่สบายใจเหรอ” เย่จื้อเฉียงเอ่ยถาม
“ได้ยินว่าครอบครัวเหล่าซานสบายดีแล้วน้อยใจอีกแล้วใช่ไหม?”
“ฉันว่าเราไม่ต้องไปเปรียบเทียบกับพวกเขาหรอก ถึงเปรียบเทียบไปก็เหนื่อยเปล่า”
เย่จื้อเฉียงพูดพลางตบมือภรรยาเบาๆ
หลี่กุ้ยฮวาได้แต่ปลอบใจตัวเองแบบนี้
หลังกลับมาจากในเมืองตอนเช้า ความรู้สึกเหนือกว่าผู้อื่นก็ได้ถูกบดขยี้จนสูญสลายก่อนจะได้เจอกับเย่จื้อผิงและหลี่ชุ่ยชุ่ยเสียอีก
“เฮ้อ หวังว่าปีหน้าเย่หวายจะสอบไม่ติดโรงเรียนดีๆ”
“ไม่งั้นพวกเราก็คงสู้พวกเขาไม่ได้จริงๆ”
เย่จื้อเฉียงพยักหน้า “ไม่ต้องห่วงหรอก เขาแค่ขยันอ่านหนังสือ ท่องบทความได้สองสามประโยค”
“ถ้าพูดถึงเรื่องความฉลาด เขาก็เทียบกับเหวินชางของเราไม่ได้หรอก”
หลี่กุ้ยฮวารู้สึกสบายใจขึ้นเล็กน้อย
เย่หวายกำลังจัดหนังสือเรียนอยู่ที่บ้าน
จู่ๆ ก็อดไม่ได้ที่จะจามออกมา
“เกิดอะไรขึ้นเนี่ย? ทำไมคันจมูกจัง?”
“คงเป็นเพราะหนังสือเยอะเกินไป ปกติก็เอาออกไปตากแดดบ้าง ฝุ่นเลยเยอะหน่อย”
เย่หวายชอบอ่านหนังสือมาก เวลาขึ้นเขาไปตัดฟืน ช่วงพักผ่อนก็ยังหยิบหนังสือออกมาจากอกอ่านอย่างเพลิดเพลินข้างกองฟืน
หนังสือเหล่านี้บางเล่มยืมมาจากครู บางเล่มเก็บเงินซื้อเอง และบางเล่มน้องสาวซื้อให้
ตั้งแต่ต้นปีที่บ้านยากจนข้นแค้นจนถึงตอนนี้ ในห้องของเขาก็มีหนังสือวางอยู่เต็มชั้นโดยไม่รู้ตัว
เย่หวายลูบหนังสือเหล่านี้ราวกับลูบคลำสมบัติอันล้ำค่าของตัวเอง
แม้ว่าเขาจะอาศัยอยู่ในหมู่บ้านเล็กๆ บนภูเขาแห่งนี้ แต่โลกทัศน์ของเขาก็บินไปไกลมากแล้วพร้อมกับหนังสือเหล่านี้
เขาหวังว่าตัวเองจะสอบเข้ามัธยมปลายได้ แล้วแสดงให้เห็นถึงความสามารถภายใต้การสนับสนุนของทุกคน เพื่อไปเรียนมหาวิทยาลัยพร้อมกับความหวังของคนทั้งหมู่บ้าน
ถ้าเป็นแบบนั้น ไม่เพียงแต่จิตวิญญาณที่บินออกจากหมู่บ้านเล็กๆ นี้ได้ แม้แต่ร่างกายของเขาก็จะได้ย้ายไปยังสถานที่ที่ใหญ่กว่านี้
“ตุบ”
จดหมายเล็กๆ ฉบับหนึ่งหล่นออกมาจากหนังสือเล่มหนึ่ง
“นี่มันอะไรกัน” เย่หวายรู้สึกแปลกใจ ถือหนังสือเล่มนี้อยู่ นึกถึงตอนที่เคยให้เพื่อนในชั้นเรียนอ่าน แต่ก็นึกไม่ออกว่าใครยืมไปเป็นคนสุดท้าย
บนซองจดหมายมีลายมือที่สวยงามเขียนว่า “ถึงเย่หวาย”
เย่หวายเปิดซองจดหมาย ข้างในเป็นจดหมายรัก เขาขมวดคิ้ว ขยำจดหมายรักนั้นด้วยความหงุดหงิด แล้วรีบวิ่งออกไปโยนก้อนกระดาษนั้นลงในลำธาร
เย่หวายไม่กล้าประมาทแม้แต่น้อย
ในห้องเรียนก็มีคนที่มีความคิดแบบเด็กๆ แบบนี้อยู่จริงๆ
แต่เขามั่นใจว่าตนไม่มีทางทำอย่างนั้นแน่นอน
เย่หวายไม่รู้เลยว่าความเชื่อมั่นของตัวเองนี่เองที่ทำให้เขารอดพ้นจากหลุมพรางไปได้
“พี่ โยนอะไรน่ะ ทำท่าทางลับ ๆ ล่อ ๆ”
เย่เสี่ยวจิ่นปรากฏตัวด้านหลังเย่หวาย ในมือยังถือจอบอยู่ คาดว่าเพิ่งลงมาจากแปลงผักเล็ก ๆ ด้านหลัง
สีหน้าเย่หวายดูไม่เป็นธรรมชาติ “แค่โยนเศษหญ้าลงไปน่ะ”
…………………………………………………………………………………………………………………………
สารจากผู้แปล
ถึงเย่หวายจะเรียนตำราเก่ง แต่เขาก็ใช้ความฉลาดในทางที่ถูกนะ ไม่ฉลาดแกมโกงเหมือนลูกบางบ้านหรอก
ใครเป็นคนเอาจดหมายรักไปเสียบไว้ในหนังสือ?
ไหหม่า(海馬)
……….