ซาลาเปาตัวน้อย ทะลุมิติมามีระบบทำฟาร์มยุค 70 จนร่ำรวย - บทที่ 218 เชือดหมู
บทที่ 218 เชือดหมู
…………….
บทที่ 218 เชือดหมู
เมื่อเย่จวินกลับมาถึงบ้าน ก็เห็นเย่หวายและเย่ฉางอันกำลังตำข้าวเหนียวอยู่แล้ว
น้องสาว แม่ และหลิวเยว่กำลังนวดแป้งข้าวเหนียวอยู่ข้างๆ ส่วนน้องสาวตัวน้อยกำลังปั้นขนมสือปาอย่างสนุกสนาน
ทุกคนในครอบครัวต่างแบ่งงานกันทำอย่างเป็นระเบียบเรียบร้อย
เย่เสี่ยวจิ่นเห็นพี่ชายกลับมาคนเดียวจึงถามว่า
“พี่ใหญ่ ทำไมพี่กลับมาคนเดียวล่ะ แล้วพ่อล่ะ”
“พ่อไปช่วยเขาเชือดหมูที่หน้าหมู่บ้าน”
โดยทั่วไปในหมู่บ้าน เมื่อบ้านไหนจะเชือดหมู ก็มักจะเรียกชายฉกรรจ์ห้าหกคนไปช่วยกันจับหมูไว้ แล้วให้คนที่กล้าหาญและมีความชำนาญเป็นคนลงมือฆ่า
ในหมู่บ้านของพวกเขาไม่มีใครเชือดหมูเป็นอาชีพ ดังนั้นโดยปกติแล้วซูต้าเฉียงจึงเป็นคนเฉือด
เขามีความกล้าหาญและลงมือทำอย่างรวดเร็ว
คนที่ไปช่วยก็มักจะได้รับส่วนแบ่งเนื้อหมูสดที่บ้านเจ้าภาพกลับมาด้วย
ทุกคนจึงยินดีที่จะไปช่วย
เมื่อเย่จื้อผิงกลับถึงบ้าน ที่บ้านก็ทำขนมสือปาเสร็จเรียบร้อยแล้ว
ในมือของเขาถือเหล้าขาวมาขวดหนึ่ง
“วันนี้ไปเชือดหมูมา พรุ่งนี้ก็ต้องไปช่วยเขาเชือดหมูอีก พอถึงวันที่ 27 ก็จะถึงเวลาเชือดหมูที่บ้านเราแล้ว” เย่จื้อผิงพูดพลางวางขวดเหล้าขาวลงบนโต๊ะ “ผมบอกทุกคนไว้แล้วนะ ว่าวันที่ 27 ให้มาช่วยกัน”
หลี่ชุ่ยชุ่ยเช็ดมือ “หมูบ้านเราเลี้ยงจนอ้วนขนาดนี้ ขายไปสักครึ่งนึงดีไหม”
“ลำพังคนในครอบครัวเรากินกันเอง กินทั้งฤดูหนาวก็คงกินไม่หมด พอถึงเวลาอากาศร้อน เนื้อก็จะเน่าเสียแล้ว”
“คุณลืมไปแล้วหรือ พวกเราทำหมูแดดเดียวได้นะ” เย่จื้อผิงพูดอย่างตื่นเต้น “เราทำหมูแดดเดียวสักสิบยี่สิบเส้น ปีหน้าจะได้กินได้นานๆ”
หลี่ชุ่ยชุ่ยรู้สึกว่าก็ไม่เลว
อย่างไรเสียต่อไปก็ต้องกินเนื้อกันอยู่แล้ว มีเนื้อแดดเดียวเก็บไว้ ก็ไม่ต้องคอยไปซื้อบ่อยๆ
พริบตาเดียวก็ถึงวันที่ 27 แล้ว
หมูในบ้านถูกไล่ต้อนออกมาจากคอก มันมีน้ำหนักกว่า 200 ชั่ง ตัวขาวอวบอ้วนน่าดู
ซูต้าเฉียงสะพายมีดเชือดหมูมา ถามอย่างแปลกใจ “หมูบ้านนายเลี้ยงมาแค่ครึ่งปี ทำไมอ้วนขนาดนี้ล่ะ? เอาข้าวให้มันกินทุกมื้อรึไง ถึงได้อ้วนปานนี้”
เย่จื้อผิงยิ้มแต่ไม่พูดอะไร “ใครจะมีเงินมากพอให้หมูกินข้าวขนาดนั้น”
ซูต้าเฉียงเห็นอาหารที่เหลือในรางหิน “นายให้หมูกินอิ่มทุกมื้อสินะ ไม่แปลกที่มันโตเร็วขนาดนี้ ใครจะเลี้ยงแบบนี้ได้”
“ก็เพราะปีนี้บ้านเราบุกเบิกที่ดินปลูกพืชไว้เยอะนี่นา”
“พูดถึงเรื่องนี้ บ้านเรามีของอร่อยๆ เยอะเลยนะ ถ้าอยากลองชิม แวะกลับบ้านไปกินได้นะ”
ซูต้าเฉียงเกาหัวพร้อมกับพูดว่า “ฉันแค่พูดเล่นเท่านั้น ช่วงปีใหม่แบบนี้ ฉันไม่กินหรอก”
ในใจเขากำลังคิดว่าเทศกาลปีใหม่ปีนี้จะกินข้าวกับเนื้อหมูให้อิ่มหนำสำราญ
ช่วงปีใหม่ที่หมู่บ้านจะมีการแจกไก่กับเนื้อหมู และจะแจกจ่ายปลาเฉ่าจากอ่างเก็บน้ำให้กับทุกคนด้วย
หลังจากเชือดหมูเสร็จ ก็มีการจุดประทัด
เย่เสี่ยวจิ่นผวาตื่นขึ้นมาบนเตียง หลี่ชุ่ยชุ่ยเข้ามาพอดี จึงเรียกเธอให้ไปกินข้าว
เย่เสี่ยวจิ่นแต่งตัวเสร็จแล้วจึงออกจากบ้าน เห็นซูต้าเฉียงกำลังแบ่งเนื้อหมูอยู่
เขาแขวนหมูทั้งตัวไว้บนคานไม้ขนาดใหญ่ เนื้อหมูทั้งหมดถูกร้อยด้วยใบตาล ทำให้สะดวกในการแขวน
และยังป้องกันไม่ให้แมวจรจัดมาขโมยกินได้ด้วย
หลี่ชุ่ยชุ่ยได้นำเนื้อหมูและเครื่องในหมูมาทำอาหารเต็มโต๊ะแล้ว
“จิ่นเป่า รีบล้างหน้าล้างตามากินข้าวเร็ว”
“ค่ะ” เย่เสี่ยวจิ่นตอบอย่างว่าง่าย แล้วเดินเข้าไปในครัว
บนโต๊ะอาหารมีทั้งซุปเลือดหมู ลำไส้หมูผัดเปรี้ยวเผ็ด ตับหมูผัดไฟแดง หัวใจหมูผัด และผัดเนื้อหมูกับขึ้นฉ่ายอีกชามใหญ่
ซึ่งอาหารทั้งมื้อนี้คือผลผลิตจากการเชือดหมู
“หอมจังเลย” เย่เสี่ยวจิ่นอดกลืนน้ำลายไม่ได้ สายตาของเธอจับจ้องไปที่ลำไส้หมูผัดเปรี้ยวเผ็ดเป็นพิเศษ มันช่างดูน่ากินเหลือเกิน
หัวไชเท้าหั่นเต๋าและพริกสับผัดรวมกัน ยิ่งขับให้ลำไส้ที่อวบอ้วนนั้นดูน่าอร่อยมากยิ่งขึ้น
เธอรู้สึกว่าแค่ลำไส้หมูจานนี้จานเดียว เธอก็กินข้าวได้อีกหลายชามเลยทีเดียว
ทุกคนต่างลงมือกินอาหารกันอย่างเอร็ดอร่อย
หลังจากอิ่มหนำสำราญกับมื้ออาหารฉลองการเชือดหมูแล้ว ทุกคนในบ้านก็เริ่มวุ่นวายกับการทำเนื้อแดดเดียว
ระหว่างนั้นก็ไปซื้อผักและของใช้ต่างๆ ที่ตลาดเพื่อเตรียมตัวสำหรับเทศกาลปีใหม่ ไม่นานก็ถึงวันสิ้นปีแล้ว
เช้าตรู่วันนี้เย่จื้อผิงไปซื้อเนื้อหมู เนื้อปลา เนื้อไก่ เนื้อเป็ด รวมถึงหัวไชเท้าขาวที่หมู่บ้านแจกมาให้ด้วย
หัวไชเท้าขาวนี่เอาไว้ตุ๋นกับเนื้อหมูอร่อยมาก วุ้นเส้นกับเต้าหู้ทอดก็เตรียมไว้พร้อมแล้ว
ข้างนอกลมหนาวพัดแรง มีหิมะตกปรอยๆ อุณหภูมิลดลงเหลือลบสามลบสี่องศา แต่ทุกครัวเรือนต่างฝ่าความเหน็บหนาวเดินย่ำบนพื้นที่เย็นเยือกและเป็นน้ำแข็งเพื่อไปยังที่ทำการหมู่บ้าน
เวลาประมาณเก้าโมงเช้า บนถนนก็คลาคล่ำไปด้วยผู้คนมากมาย
เย่เสี่ยวจิ่นถูกพ่ออุ้มเอาไว้ในอ้อมแขน เพราะเดินเองลำบาก บนพื้นแบบนี้ต้องสวมรองเท้าบูทกันฝนถึงจะเดินสะดวก แต่ที่บ้านไม่มีรองเท้าบูทขนาดที่เธอจะใส่ได้เลย
“จิ่นเป่า หนาวไหม? มือเย็นหมดแล้ว เอามือซุกในกระเป๋าเสื้อสิ”
“ไม่งั้นเดี๋ยวโดนหิมะกัดแล้วจะเจ็บเอานะ”
“จำได้ไหม? ปีที่แล้วหนูเป็นแผลหิมะกัด ร้องไห้จ้าเลย”
เย่เสี่ยวจิ่นส่ายหน้า แน่นอนว่าเธอจำเรื่องนั้นไม่ได้หรอก แต่เธอก็ยังเชื่อฟัง ยอมเอามือซุกเข้าไปในกระเป๋าเสื้อแต่โดยดี
เธอเคยได้ยินมาว่า หากโดนหิมะกัดครั้งหนึ่งแล้ว จะกลับมาเป็นซ้ำอีกทุกปี เธอต้องระมัดระวังตัวไว้บ้าง ไม่อย่างนั้นมือจะบวมและคัน ซึ่งคงจะทรมานมาก
ทุกคนต่างมาแหย่เสี่ยวจิ่น เธอเพียงแค่ยิ้มอย่างมีความสุข
หลี่ชุ่ยชุ่ยเจอหยางเจวียนระหว่างทาง “พี่เจวียน เดินช้าๆ หน่อย”
หยางเจวียนยิ้มอย่างสดใส อารมณ์ดีมาก “ชุ่ยชุ่ย วันนี้บ้านเธอก็ตื่นเช้าเหมือนกันนะ”
“วันนี้หมู่บ้านมีการแบ่งเงินปันผล เมื่อคืนคุยเรื่องนี้กับสามีจนดึกเลย”
“ว่าแต่ปีนี้พวกเราจะได้ปันผลคนละเท่าไหร่นะ?”
หลี่ชุ่ยชุ่ยคิดสักครู่ “ทุกปีก็ได้ปันผลคนละร้อยกว่าหยวน ปีนี้ก็ไม่รู้เหมือนกัน”
หยางเจวียนถูมือไปมา “เธอคิดว่าจะได้ถึง 200 หยวนไหม?”
“น่าจะถึงนะ” หลี่ชุ่ยชุ่ยพูดพร้อมรอยยิ้ม “เดี๋ยวก็รู้แล้วล่ะ”
“ไม่ใช่ว่าฉันโลภมากหรอกนะ แต่พอเข้าฤดูใบไม้ผลิ ลูกชายลูกสาวฉันก็ต้องจ่ายค่าเทอมแล้ว” หยางเจวียนถอนหายใจพลางพูดอย่างอดไม่ได้ “เลี้ยงลูกสองคนนี่ไม่ง่ายเลยจริงๆ”
“ถ้าพี่ชายของเสี่ยวจิ่นไม่ให้เงินมาช่วยปีที่แล้วนะ ลูกชายฉันคงไม่ได้เรียนมัธยมต้นปีสองหรอก” หยางเจวียนถอนหายใจ “อีกครึ่งปีก็ต้องสอบเข้าเรียนต่อแล้ว หวังว่าปีนี้เขาจะสอบได้คะแนนดีๆ อย่าให้ต้องซ้ำชั้นอีกเลย ไม่งั้นฉันคงเป็นลมตายแน่ๆ คงไม่มีปัญญาส่งเรียนแล้ว”
หยางเจวียนไม่ได้พูดเล่น ครอบครัวหล่อนต้องอยู่อย่างรัดเข็มขัดประทังชีวิตอยู่แล้ว โชคดีที่หยางเฉิงซื่อทำงานได้ดี เป็นถึงข้าราชการที่อำเภอ เมื่อรู้ว่าหยางจิ่นต้องเรียนซ้ำชั้น เขาจึงช่วยออกค่าเทอมและค่าครองชีพให้หนึ่งเทอม
หยางอวี้เจินลูกสาวของหยางเฉิงซื่อเรียนเก่งมาตลอด พ่อของหล่อนให้ความสำคัญกับการศึกษา ดังนั้นเขาจึงหวังว่าหลานชายของเขาจะได้เรียนหนังสือด้วยเช่นกัน
“ฉันก็หวังแบบนั้นเหมือนกัน” หยางเจวียนพึมพำกับตัวเอง “ดูอวี้เจินตอนนี้สิ เป็นครู ช่างสบายเหลือเกิน ทั้งยังมีหน้ามีตา แถมยังได้เงินช่วยเหลือปีละกว่าร้อยหยวนอีกด้วย”
หล่อนรู้สึกอิจฉามาก
“แล้วเสี่ยวหวายบ้านเธอพอไหวไหม? ลูกชายฉันวันๆ เอาแต่ทำงานที่บ้าน ไม่ค่อยเห็นอ่านหนังสือเลย”
“เสี่ยวหวายถ้าว่างเป็นต้องอ่านหนังสือเขียนบทความ ขยันมากเลย” หลี่ชุ่ยชุ่ยคิดสักครู่แล้วพูดว่า “เมื่อวานได้ยินจิ่นเป่าบอกว่าบทความของพี่ชายหล่อนได้ลงหนังสือพิมพ์ของเมืองด้วยนะ ได้ค่าต้นฉบับมาด้วย”
พอได้ยินแบบนั้นหยางเจวียนก็โกรธจนแทบอยากจะรีบกลับบ้านไปตีลูกชายสักที
พอเปรียบเทียบกันแล้วมันก็น่าโมโหจริงๆ!
………………………………………………………………………………………………………………………….
สารจากผู้แปล
สมัยนั้นไม่ได้มีโรงเชือดเชิงอุตสาหกรรม เนื้อหมูเลยถือว่ามีค่ามาก จะได้กินในช่วงเทศกาลใหญ่ๆ เท่านั้น
ไหหม่า(海馬)