ซาลาเปาตัวน้อย ทะลุมิติมามีระบบทำฟาร์มยุค 70 จนร่ำรวย - บทที่ 217 ปีใหม่ใกล้เข้ามาแล้ว
บทที่ 217 ปีใหม่ใกล้เข้ามาแล้ว
…………….
บทที่ 217 ปีใหม่ใกล้เข้ามาแล้ว
วันที่ 24 เดือนสิบสอง
หลี่ชุ่ยชุ่ยปลุกทุกคนในบ้านตั้งแต่เช้าตรู่
ข้างนอกอากาศหนาวมากแล้ว แต่ยังไม่มีหิมะตก ก่อนหน้านี้เคยมีลูกเห็บตกลงมาแต่ก็ไม่ได้ทำให้อากาศเปลี่ยนแปลงอะไรมากนัก
“แม่ตื่นแต่เช้าตรู่แบบนี้ เกิดอะไรขึ้นหรือครับ?” เย่ฉางอันถามพลางถูมือไปมา เขาสวมเสื้อขนสัตว์ตัวใหม่เอี่ยม เสื้อตัวนี้ใส่สบายมาก พอสวมใส่แล้วก็รู้สึกอุ่นขึ้นอย่างรวดเร็ว
“ทำไมลูกถึงใส่เสื้อผ้าบางแบบนี้ ลูกเองก็ใส่เสื้อผ้าหนาๆ หน่อยสิ” หลี่ชุ่ยชุ่ยพูดพลางชี้ไปที่หม้อที่กำลังมีไอน้ำลอยกรุ่นในครัว “ที่แม่ตื่นเช้าก็เพราะจะนึ่งข้าวเหนียว วันนี้พวกเราจะทำสือปา*กัน”
(*糍粑 ก้อนเค้กข้าวเหนียว คล้ายๆ กับโมจิของญี่ปุ่นหรือต๊อกบกกีของเกาหลี)
“จิ่นเป่าชอบกินของหวาน แม่เลยเตรียมไส้ถั่วแดงไว้บ้าง”
“แม่เห็นว่าที่บ้านยังมีงาอยู่ ก็เลยคั่วงาให้หอมด้วย ไม่รู้ว่าสือปางาจะมีรสชาติยังไง”
เย่ฉางอันคิดในใจ ไม่แปลกใจที่แม่ไม่รู้สึกหนาวเลย ก็เพราะว่ายุ่งมาตั้งแต่เช้าแล้วนี่เอง
แม้แต่ครกหินที่ใช้โม่แป้งข้าวเหนียวก็ยังล้างสะอาดเอี่ยม
“งั้นผมไปเรียกพี่ใหญ่ตื่นดีกว่า”
หลี่ชุ่ยชุ่ยหัวเราะเบาๆ แล้วพูดอย่างขบขัน “พี่ใหญ่ลูกน่ะตื่นแต่เช้าแล้ว ไปที่ถ้ำเก็บของแล้วล่ะ”
“ในช่วงฤดูหนาวแบบนี้ไม่มีจูเฉ่าแล้ว ผักที่เราปลูกเองก็อร่อยมาก ไม่ควรปล่อยให้เน่าเสียไป”
“แม่เลยเตรียมจะเอาผักที่หมู่บ้านแบ่งมาให้ทั้งหมดไปเลี้ยงหมู หรือไม่ก็เอาไปต้มกับรำข้าวทำเป็นอาหารหมู ลูกคิดว่ายังไง?”
เย่ฉางอันหัวเราะเบาๆ “ถ้าเอาไปเลี้ยงหมู หมูพวกนี้คงได้กินดีมากเลยนะครับ”
“เมื่อก่อนตอนที่เราไม่มีข้าวกิน เราก็อาศัยสิ่งเหล่านี้แหละประทังชีวิตในช่วงเวลาที่ยากลำบาก”
“แต่ก็จริงนะ ปีก่อนๆ พวกเราไม่ได้เลี้ยงหมู นี่ก็เป็นอาหารสำหรับพวกเรากินเอง แต่ปีนี้มีผักมากขนาดนี้ เอาไว้เลี้ยงหมูก็ดีเหมือนกัน”
“ถ้าเก็บไว้ในถ้ำนานๆ พอถึงเวลาอากาศอุ่นขึ้น มันก็จะเน่าเสียหมด”
หลี่ชุ่ยชุ่ยหัวเราะพลางพูดว่า “จริงๆ แล้วแม่ก็รู้สึกว่ามันสิ้นเปลืองไปหน่อย นี่มันเป็นอาหารสำหรับคนกิน เอาไปให้หมูกินแล้วรู้สึกผิดยังไงไม่รู้”
“ไม่เป็นไรหรอก ยังไงของที่บ้านเราเองก็กินไม่หมด ของในหมู่บ้านก็ไม่อร่อย เอาไปให้หมูกินเพื่อให้มันอ้วนขึ้น พอถึงเวลาพวกเราก็จะได้กินเนื้อเพิ่มอีกสองสามชั่ง”
ในขณะที่กำลังพูดอยู่นั้น เย่เสี่ยวจิ่นก็ออกมาจากห้องเช่นกัน
ทันทีที่ออกมา เธอก็รู้สึกถึงลมหนาวเย็นยะเยือก รีบเอามือขึ้นปิดแก้มของตัวเองทันที “โอ้ย หนาวจังเลย”
“หนาวจะแย่อยู่แล้ว”
หลี่ชุ่ยชุ่ยเดินไปยกเตาไฟออกมา แล้วหยิบถ่านที่เผาจนแดงก่ำจากเตามาใส่ วางไว้ตรงที่มักจะทำสือปา
เย่เสี่ยวจิ่นไม่รอช้า รีบหยิบเก้าอี้เล็กๆ มานั่งข้างๆ เตาไฟอย่างไม่เกรงใจ เธอหรี่ตาลงอย่างสบายใจ ขณะที่เจ้าลูกสุนัขตัวน้อยก็เข้ามาเบียดอยู่ข้างๆ เธอ
ขนทั้งตัวของเสี่ยวฮุยฮุยดูพองฟูไปหมด มองดูแล้วยังมีฝุ่นเกาะอยู่เต็มไปหมด เห็นได้ชัดว่าเมื่อคืนนี้มันคงไปมุดเข้าไปนอนในเตาไฟ
“รู้ทั้งรู้ว่าข้างนอกหนาวแล้วยังจะไปมุดเข้าไปในเตาไฟอีกเหรอ” หลี่ชุ่ยชุ่ยบ่นพลางพูดต่อว่า “ตั้งแต่คืนนี้เป็นต้นไป ให้เจ้าหมาน้อยไปนอนในห้องลูกแล้วกัน”
“ข้างนอกหนาวเกินไป ขืนปล่อยมันไปนอนเบียดในเล้าไก่ ระวังไก่จะจิกเอา” เย่เสี่ยวจิ่นตกลงรับปาก
หลี่ชุ่ยชุ่ยเป็นคนใจดี หล่อนไม่อยากเห็นลูกหมาตัวนี้ต้องทนหนาวอยู่ข้างนอก แม้ว่าก่อนหน้านี้ครอบครัวของพวกเขาจะยากจนจนแทบไม่มีอะไรกิน ไม่เคยเลี้ยงแมวหรือหมาเลยก็ตาม แต่นี่ถือเป็นหมาตัวแรกที่บ้านเลี้ยง หล่อนจึงเอ็นดูเป็นพิเศษ
“ตอนเด็กๆ ที่บ้านแม่ก็เคยเลี้ยงหมาเหมือนกัน แต่พอมันโตขึ้นก็ถูกคนซื้อไปทำหม้อไฟเนื้อหมา” หลี่ชุ่ยชุ่ยพูดอย่างเศร้าสร้อย “คนพวกนั้นช่างโหดร้ายไร้จิตสำนึกจริงๆ โชคดีที่สมัยนี้ไม่เป็นแบบนั้นแล้ว”
อย่างน้อยสุนัขที่บ้านหล่อนก็น่ารัก ซื่อสัตย์และทำหน้าที่อย่างดี ไม่ต้องกลัวว่าจะโดนขาย
“แม่คงไม่รู้สินะว่าเมื่อวานนี้สุนัขที่บ้านของวังเอ้อร์หู่ก็ถูกขายไป พวกขี้เมาหลายคนรวมเงินกัน เอาไปทำหม้อไฟเนื้อหมา”
หลี่ชุ่ยชุ่ยขมวดคิ้ว รู้สึกสงสารอยู่บ้าง “ทำไมถึงเป็นแบบนี้ล่ะ หมาที่บ้านของหวังเอ้อร์หู่ซื่อสัตย์ที่สุดเลยนะ”
“แต่ก่อนตอนหวังเอ้อร์หู่ไปเรียนหนังสือ หมาตัวนั้นก็ตามเขาไปโรงเรียนทุกวัน ตอนเย็นก็ตามเขากลับมาด้วย”
“หมาตัวนั้นก็อายุไม่น้อยแล้ว ทำไมถึงกินทุกอย่างเหมือนผีอดโซอย่างนั้น”
เย่เสี่ยวจิ่นขยี้หัวเสี่ยวฮุยฮุยอย่างแรง “ได้ยินไหม? แกโตขึ้นเมื่อไหร่ฉันจะเอาแกไปทำหม้อไฟเนื้อหมาล่ะ”
เธอแกล้งพูดเล่นๆ แต่เสี่ยวฮุยฮุยดูเหมือนเข้าใจคำพูดของเธอ มันพลันมีท่าทางกระสับกระส่ายและส่งเสียงหอนครวญครางราวกับขอความเมตตา
“แม่ครับ คิดว่าหมาตัวนี้ยังเข้าใจภาษาคนอยู่หรือเปล่า?” เย่ฉางอันถามอย่างสงสัยพลางนั่งยองๆ ลงข้างๆ
“พวกลูกก็อย่าได้พูดถึงหม้อไฟต่อหน้าหมาสักตัวบ่อยๆ สิ มันเกินไปแล้วนะ”
เย่ฉางอันพยักหน้าพลางลูบคาง “ก็ได้ งั้นเราไปพูดลับหลังมันดีกว่า”
ตอนนี้เย่หวายก็ตื่นแล้ว
ในช่วงปิดเทอมฤดูหนาวนี้ เย่หวายช่วยงานบ้านอยู่ตลอด เมื่อคืนเขาอ่านหนังสือเพลินเกินไป ทำให้นอนดึกและตื่นสาย
ไม่เพียงเท่านั้น เขายังเผาเทียนไขไปหนึ่งเล่มอย่างน่าเสียดาย ทำให้รู้สึกเจ็บปวดใจไม่น้อย
“เจ้าสาม นายแรงเยอะหรือเปล่า?” เย่ฉางอันเอ่ยถาม
“ทุกปีพี่ใหญ่กับพ่อจะตำข้าวเหนียวด้วยกัน แต่ตอนนี้ทั้งพี่ใหญ่และพ่อไม่อยู่บ้าน ไม่รู้ว่าพวกเราสองคนจะลองดูไหม?”
ก่อนหน้านี้ เย่ฉางอันรู้สึกสนุกมากที่ได้เห็นผู้ใหญ่ตำข้าวเหนียว แต่ไม่เคยได้ลองทำด้วยตัวเองเลย คราวนี้จึงถือว่าเป็นโอกาสทอง ถ้าเขาไม่มาตำข้าวเหนียว ก็คงเสียดายที่ตื่นแต่เช้าเปล่าๆ
“ผมน่าจะไหวมั้ง?” เย่หวายตอบ แต่ก็ไม่ค่อยมั่นใจนัก
ท้ายที่สุดแล้ว พ่อและพี่ชายคนโตต่างก็มีแรงมาก พวกเขาตำข้าวเหนียวจนละเอียดเป็นเนื้อเดียวกันได้อย่างง่ายดาย ส่วนเย่หวายนั้นไม่เคยลองมาก่อน จึงไม่อยากทำให้ข้าวเหนียวเสียเปล่า
หลี่ชุ่ยชุ่ยเปิดฝาหม้อออก เผยให้เห็นข้าวเหนียวที่นึ่งสุกเรียบร้อยแล้ว กลิ่นหอมของข้าวเหนียวลอยฟุ้งกระจายออกมาทันที
“จิ่นเป่า หิวหรือยังจ๊ะ? มากินข้าวเหนียวปั้นรองท้องก่อนสิ” หลี่ชุ่ยชุ่ยปั้นข้าวเหนียวร้อนๆ เป็นก้อน รีบวางลงในถ้วยเล็กๆ เพราะร้อนจนแทบจะถือไม่ไหว
“จิ่นเป่า ร้อนมากนะ รอให้เย็นลงหน่อยค่อยกิน อย่าลวกปากล่ะ”
เย่เสี่ยวจิ่นรับชามและตะเกียบมา “หอมจังเลย หนูชอบกินข้าวเหนียวที่สุดเลย”
“เท่าที่เห็นคือเธอชอบกินทุกอย่างนั่นแหละ ตอนกินแป้งย่างเธอก็บอกว่าชอบกินแป้งย่างที่สุด” เย่ฉางอันแฉน้องสาวตัวน้อยที่เป็นนักกินตัวยงอย่างไม่ไว้หน้า
“ตอนนี้เธอกินข้าวเหนียวไปแล้ว เดี๋ยวพอสือปาทอดเสร็จ เธอก็จะกินไม่ลงแล้ว”
“ไม่มีทางหรอก แค่ข้าวเหนียวก้อนนิดเดียว กินไปแค่รองท้องเท่านั้นเอง” เย่เสี่ยวจิ่นค้านอย่างมั่นใจพร้อมกับเท้าเอว
“จะกินตอนนี้แล้ว พวกพี่รีบๆ ทำงานกันเถอะ พอหนูกินข้าวเหนียวก้อนนี้หมด ก็จะได้กินสือปาทอดต่อ”
เย่ฉางอันอดไม่ได้ที่จะอุทานออกมา “นี่เธอเป็นโจรหรือไง หรือว่าเป็นโจรภูเขา? ทำไมถึงได้สั่งคนอื่นแบบนี้?”
“ถ้ายังชักช้าอยู่ก็ให้หนูมาตำข้าวเหนียวแทนดีกว่า รับรองว่าหนูทำเร็วไม่ด้อยกว่าพี่แน่นอน”
เย่เสี่ยวจิ่นตั้งใจจะแหย่พี่ชายเล่นๆ
“งั้นเธอก็มาสิ ฉันอยากรู้เหมือนกันว่าเธอมีแรงมากแค่ไหน” เย่ฉางอันถือค้อนไม้ใหญ่ไว้ กอดอกยืนด้วยท่าทางเหมือนรอดูน้องสาวทำตัวน่าขัน
เย่เสี่ยวจิ่นนึกถึงสำนวนประโยคหนึ่งที่ว่าเสียเงินไม่ว่าเสียหน้าไม่ได้ เธอจะยอมให้พี่ชายดูถูกแบบนี้ได้อย่างไร
“ดูลูกสิเจ้ารอง น้องสาวกำลังกินข้าวอยู่ แกล้งเล่นกับหล่อนทำไม”
“เดี๋ยวถ้าต่อไปน้องไม่กินข้าว แม่จะทุบหัวลูกเองนะ”
เย่ฉางอันรู้สึกว่าตัวเองมีสถานะในครอบครัวนี้ต่ำลงเรื่อยๆ
เย่เสี่ยวจิ่นวางชามลง ถูมือเล็กๆ ที่เย็นเล็กน้อยแล้วคว้าด้ามค้อนไม้ใหญ่ไว้
จากนั้นเย่ฉางอันก็ได้แต่อ้าปากค้างมองน้องสาวที่ลงมือทำงานอย่างคล่องแคล่ว ไม่ได้ด้อยไปกว่าตัวเองสักนิด
เย่เสี่ยวจิ่นอดไม่ได้ที่จะยิ้มออกมา เมื่อเร็วๆ นี้เธอได้รับคะแนนพลังจากการสุ่มรางวัลมากมาย
ต่อให้เป็นของหนักร้อยห้าสิบชั่ง เธอก็ยกได้สบายๆ การตำข้าวเหนียวแค่นี้ก็เป็นเรื่องง่ายดายสำหรับเธอ
“รู้แล้วใช่ไหมว่าหนูเก่งแค่ไหน”
“รู้แล้ว รู้แล้วน่า!” เย่ฉางอันชูนิ้วโป้งให้เธอ ยอมรับจากใจจริง
………………………………………………………………………………………………………………………
สารจากผู้แปล
จิ่นเป่ามีสูตรโกงนะคุณพี่ชาย อย่าไปท้าทายน้องแบบนั้น
ไหหม่า(海馬)
…………….