ซาลาเปาตัวน้อย ทะลุมิติมามีระบบทำฟาร์มยุค 70 จนร่ำรวย - บทที่ 209 เย่ฉางอันเข้าเมืองเรียนขับรถบรรทุ
- Home
- ซาลาเปาตัวน้อย ทะลุมิติมามีระบบทำฟาร์มยุค 70 จนร่ำรวย
- บทที่ 209 เย่ฉางอันเข้าเมืองเรียนขับรถบรรทุ
บทที่ 209 เย่ฉางอันเข้าเมืองเรียนขับรถบรรทุ
…………….
บทที่ 209 เย่ฉางอันเข้าเมืองเรียนขับรถบรรทุกใหญ่
เย่จื้อผิงมองเขาเงียบๆ แล้วเปิดโรงเรือนเดินเข้าไป
“รอก่อน!”
เย่ไฉ่กุ้ยไม่รู้ว่าเขาคิดอะไรอยู่
รออย่างกระวนกระวายอยู่ครู่หนึ่ง กระทั่งคิดจะหนีไป
แต่เย่จื้อผิงก็ออกมาอย่างรวดเร็ว
ในมือถือผักโขมกำหนึ่ง ยื่นให้เย่ไฉ่กุ้ย “ฉันจะบอกจิ่นเป่าว่าฉันเด็ดมาเอง พี่เอาไปเถอะ”
เย่ไฉกุ้ยเงียบไปทันที
จากนั้นก็รีบมองเย่จื้อผิงแวบหนึ่ง แล้วรีบเดินจากไปอย่างรวดเร็ว
เย่จื้อผิงรู้สึกจนปัญญาจริงๆ
วันรุ่งขึ้น เย่ไฉกุ้ยเอาไข่สิบกว่าฟองมาวางไว้หน้าบ้านเย่จื้อผิง
ถ้าไม่ใช่เพราะตะกร้าไม้ไผ่สานนี้มีแค่ที่บ้านเย่ไฉ่กุ้ยเท่านั้น เย่จื้อผิงคงไม่รู้ว่าใครเป็นคนทำ
“เจ้ารองนี่แปลกจริงๆ”
เย่จื้อผิงมองไข่ไก่แล้วก็ไม่เกรงใจ “คงจะขอบคุณที่ฉันไม่ได้ทำให้เขาเสียหน้าละมั้ง”
“คนอย่างเขาน่ะ ถ้าเสียหน้าแล้วคงจะทรมานยิ่งกว่าถูกฆ่าตายซะอีก”
หลี่ชุ่ยชุ่ยมองไข่ไก่ “แค่ผักโขมกำเดียว จำเป็นต้องไปขโมยด้วยเหรอ ถ้าเขาบอกคุณสักคำ คุณจะไม่ให้เขาหรือไง?”
“ก็เราตัดขาดความสัมพันธ์กันไปแล้วนี่นา”
เย่จื้อผิงคิดแล้วก็หยิบถุงเมล็ดผักโขมไปที่บ้านเย่ไฉกุ้ย
เย่ไฉกุ้ยเห็นเย่จื้อผิงมาอีกแล้ว แก้มทั้งสองพลันรู้สึกร้อนผ่าวด้วยความอับอาย
“นี่เมล็ดผักโขม เอาไปปลูกในกระถางตรงที่อุ่นๆ เลย เดี๋ยวก็งอกแล้ว”
“ปลูกในน้ำก็ได้นะ”
เย่จื้อผิงไม่ได้พูดอะไรมาก เขาวางเมล็ดพันธุ์ลงแล้วก็จากไป
เซี่ยวเฟินฟางมองดูเมล็ดพันธุ์แล้วพูดว่า “อะไรคือที่อุ่นๆ ในครัวหรือ?”
หล่อนไม่ได้ใส่ใจอะไรมาก ยังไงเมล็ดพันธุ์พวกนี้ก็คงไม่มีค่าอะไรอยู่แล้ว!
เย่จื้อผิงอย่าคิดว่าแค่ของเล็กน้อยจะสามารถซื้อใจพวกเขาได้
เหลืออีกแค่ 20 วันก็จะถึงเวลาเก็บเกี่ยวแตงแล้ว หรืออาจจะเร็วกว่านั้น
เย่จื้อผิงไปที่หมู่บ้านของซุนพ่านตี้ เรียกเย่ฉางอันให้กลับบ้าน ส่วนเขาอยู่ที่นั่นช่วยสร้างบ้าน
เย่ฉางอันกลับบ้านมาอย่างงงๆ
ทั้งตัวเต็มไปด้วยฝุ่นผงและดิน
เนื่องจากเสื้อผ้าสกปรกมาก เขาจึงซักเสื้อผ้าเอง แต่ก็ซักได้ไม่ค่อยสะอาด เป็นเพราะทำงานทุกวันก็เลยเป็นแบบนี้
พอเขากลับถึงบ้าน หลี่ชุ่ยชุ่ยก็รีบไปต้มน้ำร้อนให้เขาทันที
เย่เสี่ยวจิ่นยิ้มพราย กวักมือเรียกพี่ชาย ดวงตาเต็มไปด้วยความเจ้าเล่ห์ “หนูจัดการงานดีๆ ให้พี่แล้ว รับรองว่าพอพี่รู้ พี่จะต้องดีใจจนทำอะไรไม่ถูกแน่ๆ”
“อืม… อย่างน้อยก็พอให้พี่ดีใจได้ครึ่งปี แถมพี่จะกลายเป็นลูกเขยที่เนื้อหอมที่สุดในรัศมีสิบลี้แปดหมู่บ้านเลยล่ะ”
“หนูรับรองว่าภายในครึ่งเดือน คนที่มาสู่ขอพี่จะมาเหยียบธรณีประตูบ้านเราแทบพังเลยทีเดียว”
“งานอะไรกัน?” เย่ฉางอันเท้าสะเอว “ที่เธอจัดการให้ฉันก็แค่งานทำไม่ใช่เหรอ? มันจะวิลิศมาหราขนาดนั้นเลยเหรอ?”
“ฉันบอกเธอไว้ก่อนนะ ฉันสร้างบ้านไม่เป็นหรอก ฉันแค่เป็นลูกมือช่วยพี่ใหญ่เป็นเท่านั้นแหละ”
“เธออย่าได้จัดให้ฉันไปสร้างบ้านเชียวนะ ไม่งั้นฉันจะร้องไห้ให้เธอดูเลย”
เย่เสี่ยวจิ่นเรียกเขาเข้ามาใกล้ๆ กระซิบข้างหูเบาๆ “หนูจะให้พี่ไปเรียนขับรถบรรทุกในอำเภอ”
เย่ฉางอันหายใจถี่ขึ้นทันที ตาเบิกกว้าง “ฉัน ฉันจะเรียนอะไรแบบนี้ไปทำไม? ที่นี่ไม่มีใครมีรถบรรทุกสักคนนะ”
“แม้แต่ในเมืองก็ยังมีรถบรรทุกไม่มากเลย”
เย่เสี่ยวจิ่นพยักหน้าเบาๆ “และมันเป็นรถบรรทุกขนาดใหญ่ด้วย สามารถบรรทุกของได้ถึง 8,000 ชั่งเลยนะ”
เมื่อได้ยินคำพูดนี้ เย่ฉางอันรู้สึกว่ามันไม่เหมือนกับการให้เขาไปเป็นคนขับรถธรรมดา แต่เป็นการให้เขาไปขับรถบรรทุกขนาดใหญ่
แต่ก็ไม่มีใครต้องการคนขับรถบรรทุกนี่นา
ความคิดหนึ่งแวบเข้ามาในหัวของเย่ฉางอัน นั่นคือ บ้านของพวกเขามีรถบรรทุกขนาดใหญ่ให้เขาขับจริงๆ หรือ?
ทันใดนั้น เขาก็รีบสั่นศีรษะ มันจะเป็นไปได้อย่างไร?
รถบรรทุกขนาดใหญ่ต้องใช้เงินมากแค่ไหนกัน?
ต่อให้พวกเขายืมเงินจากทั้งหมู่บ้าน ก็คงซื้อล้อรถได้ไม่ครบเลย
“อีกครึ่งเดือน พี่ไปเข้าเมืองแล้วขับรถบรรทุกขนาดใหญ่ของบ้านเรากลับมา”
“ตอนนั้นพี่จะได้ขนแตงโมไปขายในเมือง แต่พี่จำไว้นะว่าต้องเรียนรู้ให้ดีก่อน ถ้ายังไม่ชำนาญ อย่าเพิ่งขับเด็ดขาด”
“ถนนบนภูเขาไม่ปลอดภัย พี่อย่าทำเรื่องเสียหายในช่วงปีใหม่นะ”
เย่เสี่ยวจิ่นไม่กล้ารับรถบรรทุกมาลอยๆ ในชนบทแบบนี้
ดังนั้นเธอจึงให้ระบบส่งรถบรรทุกไปที่ชานเมืองหวายฮวา
เมื่อถึงเวลา จะมีหลักฐานแสดงที่มาและใบเสร็จการซื้อครบถ้วน ไม่ต้องกลัวว่าจะมีใครสงสัย
เย่ฉางอันเดินไปเดินมา หน้าผากมีเหงื่อซึม ผ่านไปครู่หนึ่งเขาถามว่า “เธอไม่ได้หลอกฉันใช่ไหม?”
เขาแยกเขี้ยวยิงฟัน “เธอไม่เคยโกหกใครเลย นี่ฉันกำลังฝันอยู่หรือเปล่า?”
“รถบรรทุกคันใหญ่เลยนะ ที่นี่เรายากจนขนาดนี้ ถ้าได้ขับรถบรรทุกคันใหญ่ ไม่ว่าจะทำอะไรก็คงหาเงินได้สบายๆ แล้วสิ”
“ฮ่ะๆ ในเมื่อเป็นความฝัน กล้าหน่อยก็ไม่เป็นไรใช่ไหมล่ะ”
เย่เสี่ยวจิ่นยื่นมือออกไป ฉวยโอกาสตอนที่เขาไม่ทันระวัง หยิกเข้าที่ต้นขาของเขาอย่างแรง
“โอ๊ย!!!”
“เจ็บ เจ็บ เจ็บ!!!”
เย่ฉางอันอารมณ์ระเบิด เขากุมต้นขาของตัวเองราวกับไก่ขาเดียว กระโดดโลดเต้นไปมาด้วยความเจ็บปวด
หลี่ชุ่ยชุ่ยตกใจ รีบออกมาดู “พวกลูกทำอะไรกัน? ทำไมถึงร้องโหยหวนขนาดนั้น?”
เย่เสี่ยวจิ่นยิ้มแย้มอย่างน่ารัก แสดงสีหน้าเรียบร้อย “พี่ชายเขาทำเท้าเคล็ดเองค่ะ เจ็บมากเลย”
“ใช่ไหมคะ พี่รอง?”
“พี่รีบไปนวดเบาๆ หน่อยสิคะ เดี๋ยวเท้าจะช้ำเป็นรอยแย่”
“ลูกนี่ซุ่มซ่ามจริงๆ ไม่ระมัดระวังเลย” หลี่ชุ่ยชุ่ยอดบ่นลูกชายไม่ได้ “รีบไปอาบน้ำเถอะ น้ำต้มเสร็จแล้ว”
“แม่ยกน้ำไปไว้ที่ห้องอาบน้ำให้แล้ว รีบไปอาบเถอะ”
“ไปอยู่ที่นั่นไม่เท่าไหร่ เสื้อผ้าก็สกปรกขนาดนี้ แม่ต้องซักให้ใหม่ทั้งหมดอีกแล้ว”
หลี่ชุ่ยชุ่ยรักความสะอาดมากอย่างไม่มีที่ติ
“ผมยังไม่ได้หยิบเสื้อผ้าเลยครับ” เย่ฉางอันเดินกะเผลกกลับเข้าห้องไปหยิบเสื้อผ้า
เมื่อเขาออกมา เขาก็ถามเย่เสี่ยวจิ่นเบาๆ ว่า “มีรถบรรทุกคันใหญ่มาจริงๆ เหรอ? พ่อแม่รู้หรือเปล่า? ทำไมพวกเขาถึงไม่มีปฏิกิริยาอะไรเลย”
“พวกเขาไม่รู้หรอก มีแค่พี่ที่รู้”
“พอถึงเวลาที่พี่ขับรถกลับมา ทุกคนก็จะรู้เอง”
เย่เสี่ยวจิ่นขยิบตาให้เขา “พี่ต้องพยายามนะ พรุ่งนี้ไปเรียนที่อำเภออย่างจริงจังสัก 20 วัน น่าจะไม่มีปัญหาอะไร”
“ยังไงพี่ก็ไม่ได้โง่นี่นา”
เย่ฉางอันไม่ได้โง่แน่นอน ไม่เพียงแต่ไม่โง่ แต่ยังฉลาดหลักแหลมมากด้วย
วันหนึ่งเรียน 12 ชั่วโมง 20 วันก็น่าจะเรียนจบแล้ว
และเขาก็ไม่ได้ไปเป็นลูกมือ เขาตั้งใจจะจ่ายเงินจริงๆ เพื่อจ้างคนมาสอน
เมื่อจ่ายเงินแล้ว คนอื่นก็จะใส่ใจสอนเป็นธรรมดา
หลี่ชุ่ยชุ่ยเห็นเย่ฉางอันเพิ่งกลับบ้าน แล้วก็จะรีบออกไปอีก ถามอะไรเขาก็ไม่ยอมบอก แค่ยิ้มโง่ๆ เหมือนคนบ้าที่หัวหมู่บ้าน
พอถึงเช้าตรู่ เย่ฉางอันก็ไปแล้ว
หลี่ชุ่ยชุ่ยอดบ่นไม่ได้ “จิ่นเป่า พี่รองของลูกคงไม่ได้ไปจีบสาวหรอกนะ?”
หล่อนคิดแบบนั้นแล้วรู้สึกกังวลขึ้นมา “พี่รองของลูกไม่รู้อะไรเลย ถึงแม้จะมีความคิดเป็นของตัวเอง แต่ถ้าเกิดไปทำอะไรให้ครอบครัวฝ่ายหญิงไม่พอใจ แล้วพาสาวกลับมาไม่ได้จะทำยังไงล่ะ?”
เย่เสี่ยวจิ่นกุมท้องหัวเราะลั่น “แม่ ถ้าเขาพาลูกสะใภ้ของแม่กลับมา แม่ต้องตกใจตายแน่ๆ!”
พาคนขับรถบรรทุกขนาดใหญ่กลับมา แบบนี้ก็ได้เหรอ?
หลี่ชุ่ยชุ่ยเห็นท่าทางของเธอแบบนี้ ก็คิดว่าคงรู้อะไรบางอย่างแน่ๆ “แล้วพี่ชายของเธอไปทำอะไรล่ะ? ไม่ได้ไปจีบสาวเหรอ?”
น้ำเสียงของหล่อนมีความผิดหวังอยู่บ้าง
“เด็กคนนี้ คงไม่อยากจีบสาวจริงๆ สินะ ต่อไปคงไม่ได้โสดไปจนแก่จริงๆ หรอกนะ”
“พี่ชายหนูไปเรียนงานเทคนิคในอำเภอค่ะ”
หลี่ชุ่ยชุ่ยได้ยินแบบนั้น ก็เข้าใจขึ้นมาทันที “ไปเรียนงานเทคนิคงั้นเหรอ? ถ้าอย่างนั้นก็ไม่แปลกละ เขาเอาเงินไปด้วยไม่น้อยเลยนะ”
“แม่เห็นกระเป๋าของเขาตุงๆ นึกว่าเขาไปสู่ขอสาวซะอีก ทำเอาดีใจเก้อเลย”
เย่เสี่ยวจิ่นคิดในใจ นั่นคงเป็นเงินสำหรับซื้อน้ำมันดีเซลสินะ
สมัยนี้น้ำมันดีเซลไม่ได้ถูกเลย
แต่พี่รองก็ยอมทุ่มเทเพื่อรถบรรทุกคันใหญ่นี้แล้ว
เย่ฉางอันเจอคนในหมู่บ้านหลายคนระหว่างทาง
เมื่อมีคนทักเขา เขาก็หยุดจักรยาน
“เฮ้ นายกลับมาแล้วเหรอ? ไม่เห็นหน้านายมาเดือนกว่าแล้ว ไปไหนมาล่ะ?” ชายแก่ที่แบกจอบถาม “ไม่ได้ไปหาเมียมาหรอกนะ?”
“ไปไกลๆ เลย ลุงหนิว พูดเหลวไหลอะไรของคุณ” เย่ฉางอันถ่มน้ำลาย “ผมไปช่วยย่าสามทำงานที่หมู่บ้านข้างๆ น่ะ”
“นี่ไง เพิ่งกลับมาเมื่อวานนี้เอง”
อีกคนหนึ่งถาม “เพิ่งกลับบ้านมา แต่งตัวเรียบร้อยขนาดนี้จะไปไหนหรือ? วันนี้ก็ไม่ใช่วันตลาดนัดสักหน่อย”
“ผมจะไปเรียนวิชาชีพในอำเภอครับ” เย่ฉางอันตอบตรงไปตรงมา
ทั้งสองพยักหน้า
ลุงหนิวครุ่นคิดแล้วพูดว่า “เรียนวิชาชีพก็ดีนะ พี่เหวินชางของนายมีความรู้ เลยพาคนในครอบครัวไปอยู่ในเมืองได้หมด”
“ว่านหยวนกับเย่กังก็ไปเรียนวิชาชีพในเมือง คนหนึ่งเรียนทำอิฐ อีกคนเรียนตัดผมใช่ไหม?”
“นายก็ไปเรียนในเมืองเถอะ พอถึงเวลาก็จะได้พาคนในครอบครัวไปอยู่สบายด้วย”
เย่ฉางอันได้ยินแล้วรู้สึกว่าพวกเขาเข้าใจผิด จึงบอกว่า “ผมเรียนไม่นานก็กลับมาแล้วครับ เดี๋ยวพวกคุณก็รู้เองแหละ”
น้ำเสียงของเขามีความภาคภูมิใจอยู่บ้าง
ในชนบท คนที่ขับรถแทรกเตอร์ได้ก็ถือว่าเก่งแล้ว แล้วนับประสาอะไรกับการขับรถบรรทุกขนาดใหญ่ล่ะ!
เย่ฉางอันปั่นจักรยานมุ่งหน้าไปยังอำเภอ
ลุงหนิวและคนอื่นๆ พูดว่า “พวกตระกูลเย่นี่มีวิสัยทัศน์กันทั้งนั้นเลย แต่ละคนแย่งกันไปเรียนเทคนิคข้างนอกกันหมด”
“ใช่เลย แต่ก็ต้องมีเงินที่บ้านถึงจะไปเมืองได้นะ ผมได้ยินมาว่าว่านหยวนกับเย่กังไปเป็นลูกมือ”
“เขายังจ่ายเงินให้พวกเขาเดือนละนิดหน่อยด้วย ดีจริงๆ แต่ค่าที่พักค่าอาหารก็ต้องจ่ายเองนะ”
ชั่วพริบตาเดียว เรื่องที่เย่ฉางอันไปเรียนเทคนิคในเมืองก็แพร่สะพัดไปทั่วหมู่บ้านของพวกเขาแล้ว
หลี่ชุ่ยชุ่ยพอออกจากบ้านก็ถูกคนถามเรื่องลูกชายทันที
หลี่ชุ่ยชุ่ยยิ้มอย่างเขินๆ “ฉันไม่รู้หรอก เด็กมันมีความคิดของตัวเอง บอกว่าอีกประมาณ 20 วันก็จะกลับมา”
มีคนพูดว่า “ตระกูลเย่ของพวกคุณนี่เก่งกว่าคนอื่นไปคนละขั้นเลยนะ”
เสี่ยวเฟินฟางอยู่ในกลุ่มคน รู้สึกกังวลอยู่บ้าง
จะไม่ใช่ไปเรียนเผาอิฐหรอกนะ? เรื่องนี้เป็นเย่เสี่ยวจิ่นที่เสนอขึ้นมาในตอนนั้นนี่นา
ถ้าเย่ฉางอันไปเผาอิฐ นั่นก็เท่ากับไปแย่งธุรกิจกับลูกชายของตัวเองไม่ใช่หรือ?
หล่อยรู้สึกกระวนกระวายใจอยู่บ้าง รีบฝากคนให้ส่งข่าวไปบอกเย่ว่านหยวน
เย่ว่านหยวนติดตามอาจารย์มาหลายวันแล้ว คิดว่าถ้าเย่ฉางอันมา เขาจะหาทางแทรกแซงไม่ให้อาจารย์รับเย่ฉางอันเป็นศิษย์
แต่หลายวันผ่านไป กลับไม่เห็นแม้แต่เงาของเย่ฉางอัน
คนทำอิฐเผาแถวนั้นก็มีไม่มากจนนับคนได้ ไม่มีใครเคยเห็นคนชื่อเย่ฉางอัน
เย่ว่านหยวนกังวลอยู่หลายวัน ก่อนจะค่อยๆ ลืมเรื่องนี้ไป
เย่ฉางอันยุ่งมากทุกวัน เขาต้องรีบเรียนขับรถให้เป็น แล้วฝึกฝนให้ชำนาญโดยเร็ว
โชคดีที่อาจารย์เป็นคนซื่อสัตย์ รับเงินแล้วก็ทุ่มเทสอนอย่างเต็มที่
วันเวลาที่เย่ฉางอันเรียนรู้ในเมืองผ่านไปอย่างเต็มเปี่ยมและรวดเร็ว
ไม่ทันไรก็ผ่านไปยี่สิบวันแล้ว
………………………………………………………………………………………………………………………….
สารจากผู้แปล
ฉางอันเป็นได้มากกว่านั้นอีกค่ะ รอดูตอนเรียนจบกลับมาได้เลย
ไหหม่า(海馬)
…………….