ซาลาเปาตัวน้อย ทะลุมิติมามีระบบทำฟาร์มยุค 70 จนร่ำรวย - บทที่ 205 วัวเหยียบแปลงผัก
บทที่ 205 วัวเหยียบแปลงผัก
…………….
บทที่ 205 วัวเหยียบแปลงผัก
หลี่ชุ่ยชุ่ยไม่คิดว่าเย่จวินจะได้หนทางทำงานเร็วแบบนี้
แต่เดิมคิดว่าเป็นการฝึกฝีมือ ใครจะคิดว่าจะสามารถหาเงินได้จริงๆ
หล่อนรู้สึกไม่อยากเชื่อ “จริงหรือเปล่า เจ้ารอง ลูกอย่ามาหลอกแม่นะ”
“แน่นอนว่าเป็นเรื่องจริง ผมจะเอาเรื่องนี้มาล้อเล่นกับพวกคุณทำไม”
หลี่ชุ่ยชุ่ยมองเย่จวิน “ดีจริงๆ จิ่นเป่าพูดถูกแล้วที่บอกให้ลูกทำอย่างนี้ พวกเราคงไม่มีวิสัยทัศน์แบบนี้หรอก ดังนั้นลูกต้องทำให้ดีๆ ถ้าต่อไปหาเงินได้อย่างมั่นคง ในอนาคตก็ไม่ต้องกังวลเรื่องปากท้องแล้ว”
เย่จวินยิ้ม “พ่อ แม่ พวกคุณวางใจได้ ผมจะทำอย่างจริงจังและมั่นคง”
เขานึกถึงบางอย่างขึ้นมา จึงถามอีกว่า “ก่อนหน้านี้ไม่ได้บอกหรือว่าพี่ว่านหยวนก็ไปเรียนเผาอิฐในเมืองเหมือนกัน”
“เขากลับมาทำเองหรือยัง ถ้าบังเอิญต้องแข่งขันกัน ผมก็ยังไม่รู้เลยว่าวิธีนอกตำราของผมจะสู้เขาได้หรือเปล่า”
เย่จื้อผิงโบกมือ “ยังอีกนานกว่าเขาจะกลับมา ได้ยินว่าการไปเรียนในเมือง ครูฝึกจะไม่สอนทุกอย่างให้ในทีเดียวหรอก แต่จะให้เรียนรู้ไปทีละน้อย ทำแต่งานหนักๆ เหมือนเป็นลูกมือให้คนอื่น ถ้าเรียนแบบนี้ แค่การเผาอิฐก็ต้องใช้เวลาเรียนรู้เกือบปีแล้ว”
เย่จื้อผิงกลับรู้สึกว่าลูกชายของตนเองฉลาดกว่า
แค่อ่านหนังสือไม่กี่เล่มก็เรียนรู้ได้ทั้งหมดแล้ว หากไม่ใช่อัจฉริยะแล้วจะเป็นอะไรล่ะ?
“เจ้าใหญ่ ลูกเก่งจริงๆ เลยนะ”
เย่จวินรู้สึกเขินอาย “ผมก็แค่ทำไปตามสบายเท่านั้นแหละ ถ้าไม่มีปัญหาอะไรก็ไม่เป็นไร”
เย่จื้อผิงตบไหล่ลูกชาย “ลูกมีนิสัยที่จะประสบความสำเร็จได้ มั่นคงกว่าน้องชายของลูกเสียอีก พวกเราทุกคนวางใจในตัวลูกมาก”
เย่จวินกลับรู้สึกว่าน้องชายของเขามีความคิดที่ว่องไวกว่า อนาคตคงจะดีกว่าแน่นอน
“พวกเราทำงานอีกหนึ่งเดือนก็จะเสร็จแล้ว”
“ตอนนั้นอีกหนึ่งเดือนก็จะถึงปีใหม่ เราจะกลับบ้านไปสร้างเตาเผาอิฐ จะเตรียมอิฐสำหรับสร้างบ้านให้อาสามให้เสร็จทั้งหมดภายในหนึ่งเดือน พอถึงปีหน้าหลังวันที่สิบห้าเดือนแรกก็จะมาเริ่มสร้างบ้านได้เลย”
หลี่ชุ่ยชุ่ยหัวเราะพลางกล่าวว่า “ดีแล้ว ในเมื่อลูกมีความคิดเป็นของตัวเอง ก็จัดการตามที่เห็นสมควรเถอะ!”
เย่เสี่ยวจิ่นเดินสำรวจไปรอบๆ เห็นว่าฝีมือของพี่ชายนั้นไม่เลวเลยจริงๆ
เธอหยิบหนังสือหลายเล่มออกมาจากกระเป๋าของตัวเอง แล้วยื่นให้เย่ฉางอัน “พี่รอง นี่ของขวัญสำหรับพี่ค่ะ”
เย่ฉางอันเรียนจบแค่ชั้นประถม แต่ในช่วงครึ่งปีที่ผ่านมาเขาเริ่มตระหนักถึงความสำคัญของการอ่านหนังสือ
ดังนั้นเขาจึงหยิบหนังสือของเย่หวายมาอ่านเป็นครั้งคราว ตอนนี้เขาอ่านออกเกือบหมดแล้ว
“นี่คืออะไร? การตลาด? มันหมายถึงอะไร?”
“แล้วเล่มนี้ล่ะ ศิลปะการเจรจาต่อรองทางจิตวิทยา…”
“อันนี้คือ สามประโยคทำลายกำแพงทางจิตใจของคู่สนทนา”
เย่ฉางอันอดไม่ได้ที่จะเกาหัวแล้วพูดว่า “จิ่นเป่า หนังสือพวกนี้ของเธอดูไม่ค่อยจริงจังเท่าไหร่นะ”
เย่เสี่ยวจิ่นพูดพร้อมรอยยิ้ม “นี่เหมาะกับพี่มากเลยนะ พี่ลองดูก็รู้เองแหละ”
หลักสูตรการตลาดที่ระบบออกแบบมาเฉพาะสำหรับเย่ฉางอัน ไม่ใช่หลักสูตรที่จัดมาแบบส่งเดชแน่นอน
“พี่รอง ยังไงตอนกลางคืนพี่ก็คงเบื่อๆ อยู่ที่นี่ ลองหาเวลาอ่านดูหน่อยสิ หนึ่งเดือนก็น่าจะพอให้พี่อ่านจบสักหนึ่งสองเล่มแล้วล่ะ”
เย่เสี่ยวจิ่นยื่นไฟฉายให้เขาอีกอัน “นี่ สำหรับพี่”
เย่ฉางอันรับไว้ “เธอนี่รอบคอบจริงๆ ฉันกำลังต้องการไฟฉายพอดี ที่นี่ใช้แต่ตะเกียงน้ำมันก๊าด อ่านหนังสือตอนกลางคืนตาคงบอดแน่ๆ”
“พี่รอง บ้านเราบุกเบิกที่ดินได้เยอะเลยนะ แถมพื้นที่ใต้ต้นหยางเหมยเมื่อก่อนก็ให้พวกเราเป็นที่ส่วนตัวด้วย”
“มันเป็นที่ลุ่ม ฉันเห็นบ้านลุงใหญ่เอาที่บุกเบิกใหม่ไปทำสระน้ำ”
“พี่ว่าพวกเราควรทำบ้างไหม?”
เย่ฉางอันคิดสักครู่แล้วพูดว่า “ที่ดินตรงนั้นไม่ใช่เล็กๆ นะ ถ้าจะทำเป็นบ่อก็ใหญ่ไปหน่อย”
“งั้นแบ่งครึ่งหนึ่งทำบ่อ อีกครึ่งปลูกเผือกสิ” เย่เสี่ยวจิ่นยักไหล่พลางพูด “รากเผือกก็กินได้ ใบก็เอาไว้เลี้ยงหมู ฉันว่าดีนะ”
“งั้นก็ได้ ครึ่งหนึ่งทำจูเฉ่า อีกครึ่งเลี้ยงปลาตะเพียนใหญ่ๆ สักหน่อย”
เย่เสี่ยวจิ่นพยักหน้า นั่นแหละคือสิ่งที่เธอคิดไว้
ครอบครัวของพวกเขามีคนเยอะ เลยได้ที่นาขนาดใหญ่มา
หลังจากดูที่ของพี่น้องตระกูลเย่เสร็จแล้ว พวกเขาก็กลับบ้าน
กลับถึงบ้านก็เป็นเวลาเที่ยงพอดี
เย่จื้อผิงไปดูต้นกล้าผักของตัวเอง ตอนนี้สูงได้หนึ่งจั้งแล้ว
“ชุ่ยชุ่ย บ่ายนี้เราไปปลูกผักพวกนี้กันเถอะ?”
หลี่ชุ่ยชุ่ยมองดูแล้วพูดว่า “ได้สิ ผักกาดขาวที่ฉันให้คุณจัดการ คุณจัดการเรียบร้อยแล้วใช่ไหม?”
“นี่ไง นอกจากผัก 4 ชนิดที่จิ่นเป่าพูดถึงแล้ว ยังมีผักกาดขาวและหัวไชเท้าด้วย”
เย่เสี่ยวจิ่นและหลิวเยว่อยู่บ้านกันสองคน
เย่เสี่ยวจิ่นชั่งน้ำหนักจอบเตรียมจะออกไปข้างนอก
“จิ่นเป่า เธอจะไปทำอะไรหรือ?”
“หนูจะไปขุดบ่อน้ำ” เย่เสี่ยวจิ่นตอบ “พี่สะใภ้ หนูตั้งใจจะเอาที่ดินส่วนตัวของเราครึ่งหนึ่งไปเลี้ยงปลาล่ะ”
หลิวเยว่ลูบหัวเธอ “ดูสิ ตัวเธอโตแค่ไหนเชียว ยังจะไปขุดบ่อน้ำอีก? ให้ฉันทำเองดีกว่า เธอบอกพ่อแม่แล้วหรือยัง?”
“บอกแล้ว พวกเขารู้แล้ว”
หลิวเยว่วางอ่างในมือลง แล้วพาเย่เสี่ยวจิ่นไปด้วยกัน
ระหว่างทาง เย่เสี่ยวจิ่นเล่าให้หลิวเยว่ฟังว่าพี่ชายได้รับงานมาแล้ว
หลิวเยว่ก็ดีใจจนยิ้มแก้มปริ “ดีจังเลย 200 หยวนเชียวนะ พี่ชายของเธอบอกไหมว่าต้องทำนานแค่ไหน?”
“พี่ชายฉันบอกว่าอย่างน้อยก็ 2 เดือน แต่ต้องรอหลังปีใหม่ถึงจะเริ่มงานได้”
“2 เดือน 200 หยวน…” หลิวเยว่คิดในใจ นี่มันช่างน่าตื่นเต้นเหลือเกิน
แต่หล่อนก็รู้ว่างานแบบนี้ไม่ได้มีทุกวัน
หล่อนเอ่ยความคิดตัวเองออกมา “ช่วงนี้ฉันตัดเสื้อผ้าไว้หลายตัว ฉันว่ามันดูดีนะ ฉันควรเอาไปขายที่ตลาดนัดไหม?”
“ได้สิ พี่สะใภ้ ฝีมือของพี่น่ะ เสื้อผ้าที่ตัดไม่ได้ด้อยไปกว่าเสื้อผ้าสำเร็จรูปในร้านสหกรณ์เลย”
หลี่ชุ่ยชุ่ยและเย่จื้อผิง แบกจอบและหาบต้นกล้าผักเดินตามทางเล็กๆ ลงไปที่เชิงเขา
ระหว่างทางพบชาวบ้านคนอื่นๆ กำลังพลิกดินในที่รกร้างของตัวเอง
“จื้อผิง ชุ่ยชุ่ย พวกเธอจะไปปลูกผักเหรอ?”
“ใช่แล้ว” หลี่ชุ่ยชุ่ยพูดพลางยิ้ม “คุณก็มาปลูกผักในที่ดินรกร้างเหมือนกันหรือ?”
“ฉันยังไม่รู้เลย ก็ลองทำไปก่อน พวกคุณเก่งกว่าฉันอีกนะที่ถางที่ดินได้มากขนาดนี้”
เขาอดไม่ได้ที่จะรู้สึกอิจฉา “มีคนในครอบครัวเยอะก็ดีกว่า ทำงานก็เร็วขึ้น”
เย่จื้อผิงหัวเราะ “ที่ดินพวกนั้นเต็มไปด้วยหินนะ ไม่ใช่ที่ดินดีๆ หรอก รวมกันทั้งหมดก็ยังสู้ที่ของคุณไม่ได้”
“ไม่ใช่อย่างนั้นหรอก ครอบครัวของคุณคงปลูกได้หลายพันชั่งแล้วสินะ? ผลผลิตยังมากกว่าของทีมผลิตเสียอีก ที่ดินนั่นดีมากเลยนะ”
พวกเขาคุยกันเล่นอีกสองสามประโยค
แล้วคู่สามีภรรยาก็เดินขึ้นเขาต่อไป
เย่ไฉกุ้ยอยู่แถวนั้น เห็นพวกเขาคุยกัน ในดวงตาเต็มไปด้วยความอิจฉาริษยา
มีแต่เขาที่ไม่มีที่ดิน
ครอบครัวอื่นๆ ต่างก็มีกันทั้งนั้น ไม่มากก็น้อย
เรื่องนี้กลายเป็นปมในใจของเขาไปแล้ว
“ไฉกุ้ย ออกมาเดินเล่นอีกแล้วเหรอ? ชีวิตดีจังนะ” ชาวบ้านคนนั้นพูด “จะไปตัดไม้ไผ่หรือ?”
“ไม่ไปหรอก ฉันแค่ออกมาเดินเล่นน่ะ” เย่ไฉกุ้ยโบกมือปฏิเสธ
ที่จริงเขาเห็นน้องชายคนที่สามอยู่ไกลๆ เลยขึ้นมาดู
ก็เห็นพวกเขาแบกต้นกล้าผักที่ดีที่สุดไปปลูกที่ไร่
เขาก็อยากปลูกผักเหมือนกัน
“ฮึ ถ้าตอนนั้นมีใครสักคนที่มีน้ำใจมาบอกหน่อย ฉันก็คงไม่ต้องสูญเสียทุกอย่างไปแบบนี้”
เย่ไฉกุ้ยยิ่งรู้สึกเกลียดชังพี่น้องทั้งสองของตัวเองมากขึ้น
แปลงผักบนภูเขาถูกขุดหลุมเตรียมไว้เรียบร้อยแล้ว แค่เอาต้นกล้าไปปลูกลงไปก็เสร็จ
เย่จื้อผิงมองดูต้นกล้าผักที่ปลูกลงไปแล้ว อดรู้สึกกังวลไม่ได้ “ต้นกล้าผักดีๆ ของพวกเราแบบนี้จะไม่มีปัญหาอะไรใช่ไหม?”
“จะมีปัญหาอะไรได้ล่ะ?” หลี่ชุ่ยชุ่ยอดขำไม่ได้ “นี่ก็ดีอยู่แล้วไม่ใช่หรือ?”
“วันนี้ปลูกต้นกล้าเสร็จหนึ่งตะกร้า พรุ่งนี้ปลูกอีกครึ่งเช้าก็เสร็จแล้ว”
เย่จื้อผิงพูดว่า “ใช่แล้ว ผมแจกต้นกล้าหัวไชเท้าไปเยอะมากก็ยังปลูกไม่หมด”
“ถึงตอนนั้นปล่อยให้มันโตไป เราก็เอาต้นอ่อนมาผัดกินได้”
“ส่วนต้นกล้าผักกาดขาวกับผักกาดเขียวนี่ยังไงก็ปลูกหมดในวันนี้แน่”
ก่อนหน้านี้พวกเขาแบกมูลวัวมาหนึ่งตะกร้า
ตอนปลูก พวกเขาโรยมูลวัวลงในหลุมก่อน แล้วกลบด้วยดินหนาๆ อีกชั้น สุดท้ายค่อยหย่อนต้นกล้าลงไป
ปลูกแบบนี้ รับรองได้ว่าต้นไม้จะอุดมสมบูรณ์มาก
ในเมื่อทำงานให้ตัวเอง ก็ย่อมมีแรงจูงใจเต็มที่
อากาศเริ่มเย็นลงเรื่อยๆ ตอนกลางคืนพวกเขาเข้านอนเร็ว เพราะวิ่งวุ่นมาทั้งวันจึงรู้สึกเหนื่อยล้าเป็นพิเศษ
ตอนเช้า พอตื่นขึ้นมาก็เตรียมนำต้นกล้าผักไปปลูกที่ไร่
ทันใดนั้นก็มีคนรีบร้อนมาหา “โอ้โห ดีจังที่พวกคุณอยู่บ้าน ผมสร้างเรื่องใหญ่ให้พวกคุณเข้าแล้ว”
คนที่มาคือหวังเอ้อร์หนิว เพื่อนของเย่จวิน
แม้จะอายุเพียง 19 ปี แต่เขาก็เป็นเด็กเลี้ยงวัวแล้ว
ทุกวันเขารับผิดชอบต้อนวัวแกะของทีมออกไปกิน
“ผมได้ยินคนบอกว่าที่หุบเขาวัวมีหญ้าเยอะ เลยบอกให้ผมต้อนวัวไปที่นั่น ไม่คิดเลยว่าพวกคุณจะปลูกผักอยู่”
“ผมเผลอแป๊บเดียว วัวก็วิ่งเข้าไปกินต้นกล้าผักของพวกคุณจนหมด”
“แปลงผักก็ถูกเหยียบย่ำจนไม่เหลือสภาพ ผมต้องขอโทษพวกคุณจริงๆ… หรือว่าคราวหน้าผมไปตลาดนัดแล้วซื้อเมล็ดพันธุ์มาให้พวกคุณปลูกใหม่ดีไหม?”
หวังเอ้อร์หนิวรู้ตัวว่าทำผิด จึงอยากชดเชยด้วยความจริงใจ
เย่จื้อผิงและหลี่ชุ่ยชุ่ยต่างตกตะลึง
ต้นกล้าที่พวกเขาเพิ่งปลูกด้วยความยินดีเมื่อวานถูกวัวทำลายจนหมด ทำให้พวกเขารู้สึกเจ็บปวดใจอย่างแสนสาหัส
“พระเจ้า ใครบอกนายว่าที่นั่นมีหญ้าเยอะ? ที่นั่นแทบไม่มีหญ้าเลยนะ”
หลี่ชุ่ยชุ่ยพูดด้วยสีหน้าเศร้าสร้อย “น่าสงสารต้นกล้าของฉันจัง เมื่อวานเราสองคนปลูกกันทั้งบ่ายเชียวนะ”
หวังเอ้อร์หนิวยืนงงอย่างไม่รู้จะทำอย่างไร
เย่จื้อผิงกลับรู้สึกว่ามีบางอย่างไม่ชอบมาพากล “จริงสิ นายบอกมาหน่อยว่าใครเป็นคนบอกนาย?”
“เอ่อ… คงเป็นเพราะคนอื่นก็ไม่รู้มั้ง” หวังเอ้อร์หนิวไม่อยากสร้างเรื่อง จึงรับผิดชอบไปเอง “ผมขอปลูกใหม่ให้พวกคุณได้ไหม?”
เย่จื้อผิงจำได้ว่าเมื่อวานเห็นเย่ไฉกุ้ยอยู่แถวนั้นด้วย
เขาถามตรงๆ “พี่รองของฉันเป็นคนบอกนายใช่ไหม?”
หวังเอ้อร์หนิวพยักหน้าอย่างเซ่อๆ “ใช่ครับ เขาเห็นผมกำลังเลี้ยงวัว ก็เลยชี้ทางให้ คงไม่คิดว่าผมจะเผลอให้วัวก่อเรื่อง”
เย่จื้อผิงหายใจหนักขึ้นเล็กน้อย
เขาโบกมือ “ช่างเถอะ นายไปทำธุระของนายเถอะ ต้นกล้าผักพวกนี้ก็ไม่ได้มีราคาอะไร คราวหน้าอย่าให้วัวมาเหยียบผักของฉันอีกล่ะ”
หวังเอ้อร์หนิวรู้สึกโล่งใจที่พวกเขาไม่ได้ตำหนิเขา
เขารีบวิ่งหนีไปทันที
หลี่ชุ่ยชุ่ยขมวดคิ้ว “ทำไมคุณถึงรู้ว่าเป็นพี่รองล่ะ? หรือว่าเขาตั้งใจทำ?”
“แน่นอนว่าตั้งใจ” เย่จื้อผิงคว้าไม้ข้างๆ มา “ผมว่าคนคนนี้ก็อิจฉาพวกเราเหมือนกัน”
…………………………………………………………………………………………………………………………
สารจากผู้แปล
มีพี่น้องขี้อิจฉาแบบนี้ก็น่าหนักใจไม่น้อยนะ แค่เรื่องที่ดินยังเล่นงานหนักขนาดนี้
ไหหม่า(海馬)
…………….