ซาลาเปาตัวน้อย ทะลุมิติมามีระบบทำฟาร์มยุค 70 จนร่ำรวย - บทที่ 202 ทำเต้าหู้ หวังหลินเข้าหมู่บ้านอีกครั้ง
- Home
- ซาลาเปาตัวน้อย ทะลุมิติมามีระบบทำฟาร์มยุค 70 จนร่ำรวย
- บทที่ 202 ทำเต้าหู้ หวังหลินเข้าหมู่บ้านอีกครั้ง
บทที่ 202 ทำเต้าหู้ หวังหลินเข้าหมู่บ้านอีกครั้ง
…………….
บทที่ 202 ทำเต้าหู้ หวังหลินเข้าหมู่บ้านอีกครั้ง
วันรุ่งขึ้น เย่เสี่ยวจิ่นหยิบเมล็ดพันธุ์หลายชนิดออกมา
เธอแบ่งใส่ไว้ในถุงเล็กๆ ทุกถุงติดป้ายชื่อเมล็ดพันธุ์เอาไว้
เย่จื้อผิงค่อนข้างเข้าใจเรื่องพวกนี้ดี เธอจึงมอบหมายให้เขาจัดการทั้งหมด
ไม่นานเย่ไฉกุ้ยก็มาแต่เช้าตรู่
เขายิ้มแย้มไม่ถึงดวงตา “น้องสาม ครอบครัวนายขยันจังเลยนะ บุกเบิกที่ดินเร็วขนาดนี้เชียว?”
เย่จื้อผิงงุนงง “ใช่ครับ พี่รอง ครอบครัวของพี่ก็บุกเบิกที่ดินแล้วใช่ไหมครับ? เมื่อวานผมเห็นครอบครัวพี่ใหญ่ก็ทำไปไม่น้อยเลย”
“พวกพี่เพิ่งบุกเบิกที่ดินเมื่อวาน วันนี้ยังตื่นเช้าได้ขนาดนี้เลยเหรอ?”
เขาคาดเดาว่าเย่ไฉกุ้ยคงไม่ได้มาโดยไม่มีธุระแน่ๆ เขาครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่งก็เข้าใจแล้ว
“พี่ชาย พี่จะมาขอเมล็ดพันธุ์จากผมใช่ไหม? ผมกำลังจัดการเรื่องนี้อยู่พอดี”
คำพูดนี้เหมือนมีดแทงกลางหัวใจของเย่ไฉกุ้ยให้เจ็บปวดยิ่งขึ้น
เขาแทบจะกัดฟันพูดว่า “ฉันไม่ได้บุกเบิกที่ดิน!”
“พวกนายสองคนพี่น้องไม่มีใครบอกฉันสักคำ ฉันจะรู้ได้ยังไงว่าไปบุกเบิกที่ดินกัน?”
“พวกนายนี่เหลือเกินจริงๆ เป็นครอบครัวเดียวกัน มีเรื่องดีๆ แบบนี้ แต่กลับไม่นึกจะบอกฉัน”
เย่จื้อผิงขมวดคิ้ว “มีเรื่องแบบนี้ด้วยเหรอ? เมื่อวานผมขึ้นเขาไป เห็นพี่ยิ้มให้ ก็นึกว่าพี่รู้แล้วเสียอีก”
เย่ไฉกุ้ยยิ้มเป็นเชิงรับรู้อย่างนั้นหรือ?
เขากำลังยิ้มเยาะเย้ยว่าเย่จื้อผิงเป็นคนโง่ต่างหาก!
“ฉันไม่รู้เรื่องเลยจริงๆ” เย่ไฉกุ้ยโกรธจนแทบบ้า
เขาเองก็ไม่ได้อยากมาเรียกร้องความยุติธรรมอะไร
แค่รู้สึกไม่พอใจ อยากมาระบายความรู้สึกหน่อย
เย่จื้อผิงถอนหายใจ “งั้นก็ไม่มีทางเลือกแล้วล่ะ ผมคิดว่าพี่รู้แล้ว เรื่องนี้พี่มาโทษผมไม่ได้นะ ใครใช้ให้พี่ไม่ไปร่วมประชุมมวลชนล่ะ?”
เขาโบกมือ “ไม่ต้องมาพูดเรื่องไร้สาระพวกนี้กับผมหรอก ผมไม่มีความคิดเห็นอะไร”
เย่ไฉกุ้ยเห็นท่าทางของเขาแล้วก็รู้สึกเหมือนว่าถ้าพูดอีกสักสองสามประโยค จะดูเหมือนเป็นการเรียกร้องขอที่ดินให้ตัวเองเสียอย่างนั้น
เห็นตัวเขาเป็นคนแบบนั้นเหรอ?
“พี่รอง ผมกำลังยุ่งอยู่ พี่ไปคุยกับพี่ใหญ่แทนสิ”
เย่เสี่ยวจิ่นอยู่ในห้อง ได้ยินพ่อพูดแล้วก็แทบจะหลุดหัวเราะออกมา
พ่อของเธอยังคงเชื่อถือได้อยู่
ถึงเมื่อก่อนจะขี้ขลาดไปหน่อย แต่ตอนนี้ถือว่าไม่เลวเลย
“ได้ๆๆ ฉันจะจำไว้เลยว่าตอนนี้นายดูถูกฉันแล้ว!” เย่ไฉกุ้ยโกรธจนทำท่าจะเดินจากไป
เย่เสี่ยวจิ่นกระโดดออกมาพูด “อารอง ลูกพี่ลูกน้องออกไปเรียนทำอิฐ เรียนเป็นยังไงบ้างคะ?”
เย่ไฉกุ้ยใจหายวาบ สายตาเหลือบมองไปมา รีบพูดว่า “อะไร เธอได้ยินมาจากใคร?”
“ลูกพี่ลูกน้องของเธอไปดูแลเย่กังในเมืองต่างหาก จะไปเรียนเผาอิฐได้ยังไง?”
“ช่างเหลวไหลเสียจริง”
เย่เสี่ยวจิ่นไม่ได้ใส่ใจ “อารอง อย่าพูดแบบนั้นสิคะ พวกเราไม่ได้จะทำอะไรคุณหรอก”
“พี่ใหญ่ของฉันไม่อยู่บ้านมาหลายวันแล้ว คุณไม่สังเกตเหรอคะ?”
เย่ไฉกุ้ยสังเกตเห็นจริงๆ แต่ไม่ได้ถามอะไร
“พี่ใหญ่ของฉันไปสร้างบ้านให้คนอื่นน่ะค่ะ เขาก็กำลังเรียนเผาอิฐเหมือนกัน นี่ไง จะไปฝึกฝีมือตัวเองดูหน่อย”
เย่ไฉกุ้ยได้ยินแล้วก็ไม่อาจสงบนิ่งได้อีกต่อไป “อะไรนะ? ไปสร้างบ้านให้คนอื่นเลยเหรอ?”
“เขาไม่ได้ทำงานในไร่ทุกวันหรอกหรือ? เขามีเวลาไปเรียนรู้ได้ยังไง?”
ลูกชายของเขาก็กำลังเรียนรู้กับช่างฝีมือในเมือง แต่จนตอนนี้ก็ยังไม่จบการฝึกงาน
ทุกวันเขาติดตามอาจารย์ ผสมดินให้คนอื่น แต่ยังไม่ได้เรียนรู้ขั้นตอนหลังๆ เลย
เย่เสี่ยวจิ่นไม่ได้พูดอะไร แต่เย่ไฉกุ้ยกลับรีบร้อนจากไป
เมื่อกลับถึงบ้าน เขาก็ดุด่าลูกชายอีกครั้ง
เย่จื้อผิงเตรียมเมล็ดพันธุ์เสร็จแล้ว รอเมล็ดงอกอีกประมาณ 5-6 วัน ก็จะย้ายปลูกลงแปลงได้
ในช่วงไม่กี่วันนี้เขาจะยุ่งกับการใส่ปุ๋ยให้ที่ดิน
เย่เสี่ยวจิ่นหยิบปุ๋ยอาหารครบส่วนจำนวนมากออกมาจากช่องว่างมิติ แล้วไปทำงานบนภูเขากับพ่อ
เย่หวายเรียนหนังสือในตอนกลางวัน มีเวลาว่างแค่ช่วงสุดสัปดาห์เท่านั้น
หลิวเยว่กลับทำงานร่วมกับพวกเขา
หลี่ชุ่ยชุ่ยแบกถั่วเหลืองออกจากบ้านแต่เช้าตรู่ไปที่บ้านของหยางเจวียน
ถั่วเหลืองต้องใช้เวลาแช่น้ำนาน หล่อนจึงรอไม่ไหวและรีบออกไปแต่เช้า
หล่อนวางถั่วไว้ที่บ้านของหยางเจวียน แล้วกลับมาแบกฟืนไปอีกมัด
หยางเจวียนสั่งให้สามีนำถั่วเหลืองไปบดในโม่หลิน ส่วนตัวหล่อนเองก็คอยเติมน้ำลงในโม่หิน
การทำเต้าหู้ที่นี่ยังคงเป็นอุตสาหกรรมในครัวเรือน
ถั่วที่บดออกมาส่งกลิ่นหอมมาก
หยางลี่ลี่ไม่ยอมไปโรงเรียน หล่อนอยากดื่มน้ำเต้าหู้สักถ้วยก่อนจะไปโรงเรียน
หยางจิ่นและเย่หวายก็รออยู่ข้างๆ เช่นกัน
หยางจิ่นเริ่มหมดความอดทน “แดดแรงขนาดนี้แล้ว ถ้าไม่รีบไปก็จะสายแล้วนะ”
“เจ้าหนุ่มนี่ทำไมถึงตะกละขนาดนี้ล่ะ จะต้องรอกินเต้าฮวยให้ได้เลย?”
หยางเจวียนเตรียมถั่วของบ้านตนตั้งแต่ฟ้าสางแล้ว ตอนนี้กำลังต้มอยู่ในหม้อ
หล่อนส่งอ่างน้ำให้หยางลี่ลี่ “รอก่อนนะ ฉันจะไปทำให้เดี๋ยวนี้ เธออย่าทำให้พี่ชายของเธอกับเย่หวายต้องสายไปด้วยล่ะ”
หยางเจวียนเข้าไปในบ้าน
เธอหยิบชามสามใบ แล้วตักเต้าฮวยใส่
อีกทั้งใส่น้ำตาลเป็นปริมาณมาก
เย่หวายเองก็ได้รับชามหนึ่งใบ เขารู้สึกเกรงใจอยู่บ้าง เพราะถั่วของเขาเองยังกำลังบดอยู่เลย ส่วนที่กินเป็นถั่วของบ้านป้าหยางเจวียน
แต่หยางจิ่นก็เชิญให้เขากิน
ความสัมพันธ์ของสองครอบครัวก็สนิทกันมาก
เขาจึงไม่เกรงใจอีกต่อไป
เต้าฮวยอ่อนนุ่มละมุนลิ้นมาก พอกัดเข้าไปคำหนึ่งก็แทบไม่รู้สึกอะไร มารู้สึกได้ก็ตอนที่มันจะไหลลงคอไปแล้ว
หยางลี่ลี่ก็กินอย่างมีความสุข รสชาติหวานๆ มีกลิ่นหอมของถั่วเหลือง นี่เป็นอาหารที่หล่อนชอบที่สุด
ที่บ้านมีโม่หินมาตั้งแต่หล่อนยังเด็ก คนมากมายมาบดถั่วที่บ้านของหล่อน
หล่อนกินมาตั้งแต่เด็กจนโต ก็ไม่เบื่อเลย
ในเมื่อในชนบทไม่มีอะไรอร่อยๆ ให้กิน เต้าฮวยนี่จึงถือเป็นอาหารอร่อยที่หายากและมีค่ามาก
หลังจากกินเสร็จ หยางลี่ลี่ถึงได้สบายใจ เงยหน้าขึ้นมองดวงอาทิตย์ “โอ้โห วันนี้สายจริงๆ จะทำยังไงดีล่ะ”
“พวกเราวิ่งเร็วๆ กันเถอะ? เดี๋ยวจะสายเอานะ”
“ในห้องของพวกเรา ใครมาสายจะต้องไปขัดห้องน้ำคนเดียวเลยนะ”
หล่อนไม่ชอบขัดห้องน้ำเลย
หยางจิ่นยิ้มอย่างจนใจ “เป็นเพราะเธอช้าเองนะ ยังไม่รีบวิ่งอีกหรือ?”
ทั้งสามคนวิ่งเรียงกันเป็นแถว
เย่หวายก็วิ่งตามหลังพวกเขาไปด้วย ให้พวกเขาวิ่งนำหน้าไปก่อน
หลี่ชุ่ยชุ่ยอุ้มฟืนเดินมาพอดีกับเห็นเด็กทั้งสามคนกำลังวิ่งท่ามกลางแสงแดด
หล่อนเดินเข้าไปในลานบ้าน “นี่มันเกิดอะไรขึ้น? ทำไมถึงรีบร้อนวิ่งกันขนาดนี้”
หยางเจวียนทำหน้าจนใจ “ก็ลูกสาวฉันยืนกรานจะกินเต้าฮวยก่อนไป นี่ไงล่ะ ตอนนี้ถึงได้กลัวจะไปโรงเรียนสายขึ้นมา”
หลี่ชุ่ยชุ่ยหัวเราะพูดว่า “เดี๋ยวฉันก็จะตักเต้าฮวยกลับไปให้ลูกสาวฉันกินสักชามเหมือนกัน”
“เด็กผู้หญิงชอบกินของพวกนี้กันทั้งนั้นแหละ จิ่นเป่าก็เหมือนกัน”
หยางเจวียนพูดว่า “งั้นรออะไรอีกล่ะ ตอนนี้เต้าฮวยของฉันก็พร้อมแล้ว เธอรีบตักกลับไปให้หล่อนสักชามสิ”
หยางเจวียนเป็นคนใจกว้างมาตลอด
หลี่ชุ่ยชุ่ยกลับปฏิเสธ “ของฉันเดี๋ยวค่อยกินก็ได้ ไม่รีบหรอก คุณกินของคุณให้หมดเถอะ ไม่งั้นจะเอาอะไรไปทำเต้าหู้ล่ะ?”
ครั้งนี้พวกเขาทำเต้าหู้กันเยอะมาก
ประการแรกคือเอาไว้ผัดเต้าหู้อ่อนกิน ฤดูนี้ไม่ค่อยมีผักสดมากนัก เต้าหู้จึงเป็นกับข้าวที่ดีบนโต๊ะอาหาร
ประการที่สองคือเอาไปทอดน้ำมัน ทำเป็นเต้าหู้ทอด
เต้าหู้ทอดใส่ในหม้อแกง หอมยิ่งกว่าเนื้อสัตว์เสียอีก
เย่เสี่ยวจิ่นค่อยๆ เดินตามพ่อขึ้นเขาไปใส่ปุ๋ยอย่างไม่รีบร้อน
พอกลับมาที่บ้านในตอนเที่ยงก็ว่าเห็นในตะกร้าที่บ้านมีเต้าหู้อ่อนตากอยู่เต็ม
“จิ่นเป่า ในที่สุดก็กลับมาเสียที รีบกินเร็วเข้า ไม่งั้นมันจะแข็งก่อนนะ”
เย่เสี่ยวจิ่นเห็นว่าชามใหญ่มาก จึงแบ่งให้พ่อและพี่สะใภ้บ้าง
เย่จื้อผิงรู้สึกซาบซึ้งใจ “มีจิ่นเป่านี่แหละที่รู้จักเอาใจใส่คนอื่น”
เย่เสี่ยวจิ่นยิ้มแย้ม ตัวเธอเองไม่จำเป็นต้องกินมากขนาดนั้น แบ่งปันให้ทุกคนน่าจะดีกว่า
ส่วนหลี่ชุ่ยชุ่ยนั้นได้กินมาแล้วที่บ้านหยางเจวียน
หล่อนยิ้มพลางบอกว่า “ใส่น้ำตาลด้วยนะ กินได้เลย หวานมากเชียวล่ะ”
“ทำเต้าหู้กี่โต๊ะล่ะ?” เย่จื้อผิงถาม
“ทำไปสี่โต๊ะแล้วค่ะ ดูสิคะ นี่ก็วางไม่พอแล้ว”
ปีก่อนๆ ถั่วเหลืองทั้งหมดถูกบ้านพี่ใหญ่ขนเอาไปหมด ไม่เคยมีโอกาสดีๆ แบบนี้มาก่อนเลย
เย่จื้อผิงมองเต้าหู้นุ่มๆ “คืนนี้พวกเราทอดเต้าหู้กินกันดีไหม”
หลี่ชุ่ยชุ่ยก็เห็นด้วย
จริงๆ แล้วถ้ามีปลา เต้าหู้อ่อนต้มกับปลาจะอร่อยมาก
หล่อนไปหยิบฟางข้าวมาหนึ่งมัด กลับมาตัดหัวตัดท้ายออก เหลือไว้แต่ส่วนกลาง
นำส่วนกลางของฟางข้าวไปล้างให้สะอาดด้วยน้ำเกลือ
เย่เสี่ยวจิ่นได้ยินเสียงน้ำกระฉอก จึงเข้าไปดูใกล้ๆ “แม่ พวกเราเอาฟางข้าวมาทำอะไรเยอะแยะเลยคะ?”
หลี่ชุ่ยชุ่ยยิ้ม “ทำเต้าหู้ขนจ้ะ”
“ดูสิ แม่หั่นเต้าหู้เป็นชิ้นเล็กๆ เยอะแยะ แล้วเอาไปตากบนตะแกรงใหญ่”
เย่เสี่ยวจิ่นมองดู ก็เห็นเป็นอย่างนั้นจริงๆ
เต้าหู้ขนนี่กินกับข้าวได้อร่อยดี
ผ่านไปหนึ่งวันหนึ่งคืน เต้าหู้ก็แห้งดีแล้ว
หลี่ชุ่ยชุ่ยเก็บกวาดของบนโต๊ะทั้งหมดออกไป
หล่อนใช้โอ่งใบใหญ่ปูด้วยฟางข้าวหนึ่งชั้น แล้วใส่เต้าหู้เป็นก้อนสี่เหลี่ยมอีกชั้นหนึ่ง
ทุกอย่างถูกจัดเรียงอย่างเป็นระเบียบเรียบร้อย วางเต้าหู้และฟางเรียงสลับกันเป็นชั้นจนเต็มโอ่งใบใหญ่
เย่เสี่ยวจิ่นถามอย่างสงสัย “แค่นี้ก็ใช้ได้แล้วเหรอ?”
หลี่ชุ่ยชุ่ยปิดผนึกปากโอ่ง
“ใช่แล้ว รอจนกว่าจะมีเชื้อราสีขาวขึ้นมาเป็นชั้นบางๆ ก็ใช้ได้แล้ว”
เย่เสี่ยวจิ่นทำหน้าเหยเก “ขึ้นราแล้วยังกินได้อีกเหรอ?”
“บางที่เขาบอกว่ายิ่งขึ้นราเยอะ ยิ่งหมักจนดำปี๋ ยิ่งเป็นเต้าหู้ขนที่อร่อยจ้ะ”
เย่เสี่ยวจิ่นรีบส่ายหน้า “หนูว่ามันขึ้นราหมดแล้ว ต้องไม่ดีแน่ๆ”
หลี่ชุ่ยชุ่ยลูบศีรษะของเธอ แล้วยิ้มไม่หยุด
หล่อนยกถังเต้าหู้ขึ้นมา แล้วพูดกับเย่เสี่ยวจิ่นว่า “ในฤดูหนาวพวกเราไม่มีจูเฉ่าเหลือแล้ว ต้องไปหาในหุบเขา”
เย่เสี่ยวจิ่นพยักหน้า พลางคิดว่าจูเฉ่าในแถบนี้ก็มีในฤดูนี้เหมือนกัน แค่มีน้อยลงเท่านั้น
ส่วนใหญ่จะขึ้นริมน้ำ ซึ่งอุดมสมบูรณ์มาก
เย่เสี่ยวจิ่นยังคงไปใส่ปุ๋ยกับพ่อตามปกติ
และก็ถึงเวลาที่นักเรียนมัธยมปลายจะกลับบ้านเดือนละครั้งอีกแล้ว
คราวนี้เย่เหวินชางพาหวังหลินมาด้วย
พอหวังหลินมาถึงหมู่บ้าน ก็เห็นคนกำลังยุ่งอยู่ในโรงเรือน
หล่อนกระซิบพึมพำอย่างอดไม่ได้ “พวกเขายังวุ่นวายอยู่กับอะไรกันนะ ในเมื่อไม่มีใครกล้ารับซื้อผลไม้ของพวกเขาอยู่แล้ว”
“หรือว่าพวกเขายังคิดว่านอกจากสหกรณ์แล้ว จะมีคนอื่นมารับซื้อได้อีกหรือ?”
“ใครใช้ให้พวกเขามาทำให้คุณไม่พอใจล่ะ ถ้าใครกล้ารับซื้อ ฉันจะบอกให้พี่ชายฉันไปทำให้เรื่องพังอีกครั้ง”
หวังหลินแค่นเสียงอย่างภาคภูมิใจ “พี่ชายฉันเป็นถึงผู้จัดการโรงงาน มีเส้นสายเยอะแยะเลยนะ”
………………………………………………………………………………………………………………………….
สารจากผู้แปล
มีแต่เมนูเต้าหู้น่าอร่อย แต่เต้าหู้ขนนี่ยังไม่เคยกิน หากินได้ที่ไหนบ้างคะ
ยัยคุณหนู เธอนึกว่าพี่ชายเป็นท่านผู้นำหรือไงคะ ถึงได้มั่นอกมั่นใจว่าจะโค่นคนอื่นเขาได้ขนาดนั้น?
ไหหม่า(海馬)
…………….