ซาลาเปาตัวน้อย ทะลุมิติมามีระบบทำฟาร์มยุค 70 จนร่ำรวย - บทที่ 199 สร้างบ้าน
บทที่ 199 สร้างบ้าน
…………….
บทที่ 199 สร้างบ้าน
เย่ฉางอันวิ่งวุ่นไปทั่ว
เมื่อกลับมาถึงบ้าน เขาก็ออกไปข้างนอกมาครึ่งเดือนแล้ว
เขาไม่เคยออกไปคนเดียวนานขนาดนี้มาก่อน
ครั้งนี้กลับมา เขาซื้อชุดกระโปรงสีแดงสวยๆ มาให้น้องสาวด้วย
ทั้งยังซื้อถุงเท้าใหม่ให้แม่และพี่สะใภ้คนโต ซื้อถุงมือทำงานให้พ่อและพี่ชายคนโต
และยังซื้อปากกาใหม่เอี่ยมให้เย่หวาย
ทุกคนในครอบครัวต่างมีความสุข
เย่ฉางอันกินข้าวเย็นที่บ้าน รู้สึกสงสัย “พี่ชายคนโตของผมไปไหนครับ?”
หลี่ชุ่ยชุ่ยยิ้มพลางตอบ “เขาน่ะเหรอ เขาไปสร้างบ้านให้ย่าสามของเธอที่หมู่บ้านข้างๆ น่ะ”
“พี่สะใภ้บางครั้งก็ไปทำอาหารให้พวกเขา แต่ช่วงนี้พวกเขาเผาอิฐเสร็จหมดแล้วละ”
“ส่วนพ่อก็กำลังเตรียมตัวจะไปช่วยพรุ่งนี้”
เย่ฉางอันคิดอยู่ครู่หนึ่ง ไม่คิดว่าพี่ชายคนโตจะมีทักษะนี้แล้ว
เขาแอบชื่นชมในใจ ตัวเองออกไปวิ่งวุ่นมานาน ก็รู้ชัดว่าการมีทักษะเฉพาะทางสักอย่างเป็นเรื่องดี
เดิมทีทุกคนล้วนมีชีวิตเหมือนๆ กันในหมู่บ้านชงเถียนเล็กๆ
แต่พอออกไปข้างนอกถึงได้พบว่ามุมมองของตัวเองก่อนหน้านี้แคบเกินไป
เขามองไปที่เย่หวาย “เสี่ยวหวาย นายต้องตั้งใจเรียนนะ”
“ฉันได้ยินมาว่าถ้าเรียนจบมัธยมปลายแล้วออกไปข้างนอก ก็จะเรียนมหาวิทยาลัยได้อีก”
หลี่ชุ่ยชุ่ยตกใจ นี่มันเป็นเรื่องที่พวกเขาคิดไม่กล้าจะคิดเลย
“โอ๊ย จะเรียนมหาวิทยาลัยอะไรกัน มหาวิทยาลัย… เรียนจบมัธยมต้นก็ดีมากแล้ว”
เย่เสี่ยวจิ่นพูดกับตัวเองว่า “มหาวิทยาลัยต้องไปเรียนในเมืองใหญ่แค่ไหนกันนะ? ไกลบ้านขนาดนั้น ชีวิตข้างนอกจะสบายเท่าอยู่บ้านหรือเปล่า?”
เย่จื้อผิงมองเธอแวบหนึ่งแล้วพูดว่า “พูดอะไรของลูก การเรียนน่ะ ยิ่งเรียนมากยิ่งดีต่างหาก ไม่ต้องสนใจว่าจะดีตรงไหนหรอก ยังไงคนมีความรู้ไปที่ไหนก็ไม่อดตาย”
“แต่มหาวิทยาลัยรับแต่นักศึกษาที่เป็นกรรมกร ชาวนา และทหาร เรียนแค่สามปีทั้งนั้น”
“แต่ว่า…”
เย่จื้อผิงหยุดชั่วครู่แล้วพูดต่อ “ต้องได้รับการเสนอชื่อจากมวลชนถึงจะได้ไปเรียน ครอบครัวเราเป็นชาวนามาสามรุ่นแล้ว จะไปแข่งกับคนอื่นได้ยังไงล่ะ?”
เขาดูกังวลใจอยู่บ้าง
เย่เสี่ยวจิ่นรู้ว่าต่อให้จะได้รับการเสนอชื่อให้ไปเรียนในอีกไม่กี่ปีนี้หรือไม่ก็ไม่สำคัญ
ถึงอย่างไรในอีกไม่กี่ปีก็จะมีการเปิดสอบเข้ามหาวิทยาลัยอยู่ดี
รอให้พี่ชายเรียนจบมัธยมปลายก่อน อย่างมากก็รอสอบอีกสองปี
เย่หวายฟังญาติพี่น้องพูดคุยกันเรื่องเหล่านี้ เขารู้สึกว่าตัวเองโชคดีเกินไปหน่อย
ในอดีต พี่ชายคนโตก็ขยันเรียนหนังสือ แต่ยังไม่ทันจบประถมก็ต้องออกไปทำงานแล้ว
ไม่ต้องสงสัยเลยว่า ตัวเขาเองเป็นคนที่โชคดีที่สุดในครอบครัว
“พวกคุณไม่ต้องกังวลเรื่องของผมหรอก เมื่อถึงเวลา ยังไงก็ต้องมีทางออกแน่นอน”
“เรียนจบมัธยมปลายแล้วไปเป็นนักบัญชีในอำเภอก็ดีนะ”
ถ้าเป็นเมื่อก่อน เย่ฉางอันคงคิดว่าอยู่แค่ในอำเภอก็ดีเหลือเกิน
แต่ตอนนี้เขาได้ไปผจญภัยในเมืองมาแล้ว
เขาจึงยิ้มพูดว่า “แบบนั้นคงไม่ได้ นายยังไม่เคยไปเมืองใหญ่เลย มันกว้างใหญ่มากเลยนะ”
“ฉันสงสัยว่าในเมืองหลวงคงจะดียิ่งกว่านี้อีก”
“แต่มันอยู่ไกลลิบลับ ห่างจากพวกเราตั้งหลายร้อยกิโลเมตร รอให้ฉันหาเงินได้มากพอ ฉันจะต้องไปดูให้ได้แน่ๆ”
บนโต๊ะอาหารคึกคักวุ่นวาย
ข้างนอกท้องฟ้าก็ค่อยๆ มืดลง
ที่หมู่บ้านข้างๆ
เย่จวินยุ่งวุ่นวายมาทั้งวัน ตัวเหม็นเหงื่อสกปรกไปหมด
ซุนพ่านตี้ทำอาหารเสร็จแล้ว เรียกเย่จวินมากินข้าว
ลุงสามตงจากในหมู่บ้านเดินเอามือไพล่หลังมา เห็นว่าบ้านได้วางรากฐานแล้วก็รู้สึกสงสัย
“เย่จวินเอ๋ย ลุงเห็นเธอยุ่งวุ่นวายทุกวัน ใช้แค่ของพวกนี้ก็สร้างบ้านอิฐได้แล้วเหรอ?”
เขาชี้ไปที่อิฐพวกนั้น “ใกล้จะถึงฤดูหนาวแล้ว บ้านอิฐนี่จะแข็งแรงสบายกว่าบ้านไม้จริงๆ เหรอ?”
เย่จวินถือชามข้าว ช่วงนี้เหนื่อยจนผิวคล้ำลงไปบ้าง
“จะว่าสบายก็ไม่เชิง แต่สะอาดสว่างกว่าน่ะครับ”
“บ้านหลายหลังในตำบลนี้สร้างด้วยอิฐ พวกคุณก็น่าจะเห็นกันบ่อยๆ ตอนไปตลาดนัด”
“บ้านไม้หลังนี้มืดทึมและไม่ปลอดภัย ถ้าเกิดไฟไหม้ขึ้นมา ก็คงไม่เหลืออะไรเลย”
ลุงสามตงไม่ได้รู้สึกว่าปลอดภัย แต่รู้สึกว่ามันทันสมัยมาก
สาวๆ ข้างนอกล้วนอาศัยอยู่ในบ้านอิฐกันทั้งนั้น
ลูกชายของเขากำลังจะกลับมาแต่งงาน และอยากแต่งกับสาวในเมือง ก็อยากทำให้บ้านดูดีขึ้นหน่อย
คนอื่นๆ แนะนำให้เขาสร้างบ้านไม้หลังใหม่ก็พอ
แต่เขาคิดว่าไม่ได้
ถึงอย่างไรลูกสะใภ้ก็เป็นคนในเมือง เคยอยู่บ้านอิฐมาตลอด จะมาอยู่บ้านไม้มืดๆ ทึมๆ ได้อย่างไร
เขาคิดแบบนั้น แล้วก็เผยจุดประสงค์ที่มาครั้งนี้ออกมาตรงๆ
ลุงสามตงยิ้มแล้วถามว่า “บ้านที่เธอจะสร้างหลังนี้ราคาเท่าไหร่?”
เมื่อตอนเป็นหนุ่ม เขาเคยออกไปรับใช้ชาติเป็นทหารและกลับมาแล้ว
ตอนนี้เขาก็อายุ 50 ปีแล้ว
“ลองคิดดูสิว่า ถ้าจะสร้างบ้านให้มีขนาดเท่ากับบ้านเดิมของคุณย่าสามเธอ จะคิดเป็นราคาเท่าไหร่”
เย่จวินเริ่มคิดอย่างคล่องแคล่ว “ราคาอิฐ เหล็กเส้น และปูนฉาบผนัง เป็นค่าวัสดุส่วนหนึ่ง”
“ส่วนค่าแรงของผมก็เป็นอีกส่วนหนึ่ง คิดเป็นรายวัน”
“คุณคิดว่ามันสมเหตุสมผลไหมครับ?”
ลุงสามตงรู้สึกสนใจ “ประมาณตัวเลขที่แน่นอนมาหน่อยสิ”
“ทั้งหมด…สำหรับบ้านขนาดประมาณนี้ ทำห้องโถงกลาง ห้องครัว สองห้องนอน และห้องน้ำหนึ่งห้อง… ค่าวัสดุอย่างน้อยก็ต้อง 150 หยวน เพราะการขนส่งวัสดุก็เหนื่อยมากเหมือนกัน”
“นอกจากนี้ การทำงานของผมอย่างน้อยต้องใช้เวลา 2 เดือน ก็คิดเป็น 50 หยวน รวมแล้วก็ประมาณ 200 หยวน”
เย่จวินพูดพลางคิดว่านี่น่าจะเป็นราคาที่สมเหตุสมผลแล้ว
อย่างไรก็ตาม ยังต้องทาสีให้พวกเขาด้วย
ลุงสามตงคำนวณดูแล้วพบว่าราคานี้แพงเกินไป
ถ้าสร้างบ้านไม้ ไม้ก็มีอยู่แล้ว และยังไม่ต้องเสียเงินด้วย
แค่จ้างช่างไม้มาก็เสียเงินนิดหน่อยเท่านั้น
เขาคิดคำนวณว่า 200 หยวน เป็นเงินที่ชายฉกรรจ์คนหนึ่งต้องทำงาน 2 ปีถึงจะหาได้
เขามีเงินอยู่บ้างจริงๆ เพราะเป็นทหารผ่านศึก และยังเป็นหัวหน้าทีมในหมู่บ้านด้วย
แต่การจ่ายเงินค่าบ้านไป 200 หยวนก็ไม่ใช่จำนวนเล็กน้อย
ก่อนหน้านี้ลูกชายจะแต่งงานก็ต้องซื้อรถ ซึ่งใช้เงินไป 100 หยวนแล้ว
เขาหัวเราะพลางพูดว่า “งั้นฉันจะกลับไปพิจารณาดูอีกที เธอสร้างบ้านหลังนี้ให้เสร็จก่อน แล้วฉันจะมาดูอีกที”
หลังจากลุงสามตงพูดจบ เขาก็รีบเดินจากไปอย่างเร่งรีบ ราวกับว่าถ้าอยู่นานกว่านี้อีกนิด เขาจะเสียเงิน 200 หยวนไปเลย
เมื่อเขากลับถึงบ้าน ลูกสะใภ้จากในเมืองก็กำลังบ่นอุบอิบ
“คุณดูสิว่าบ้านหลังนี้จะอยู่ได้ยังไง ส้วมหลุมเนี่ยนะ มันน่าขยะแขยงจริงๆ!”
“ทำไมพวกคุณในชนบทถึงเป็นแบบนี้กันหมดล่ะ ถึงแม้ในเมืองพวกเราจะใช้ห้องน้ำสาธารณะ แต่อย่างน้อยก็ไม่ได้สกปรกขนาดนี้”
“น่ารำคาญจริง มืดมิดไปหมด ทุกที่เต็มไปด้วยคราบน้ำมันและไขมัน”
หลินไป๋เสวี่ยนั่งอยู่ที่หน้าประตูด้วยความหงุดหงิด ยิ่งคิดก็ยิ่งรังเกียจ
สมัยนี้เป็นที่นิยมให้หนุ่มสาวเลือกคู่ครองกันเอง หล่อนจึงคิดว่าการมาอยู่ชนบทก็ไม่เป็นไร
อย่างไรเสียก็มีปัญญาชนมากมายมาทำไร่ทำนาในชนบทกันแล้ว
แต่หล่อนทนสภาพแวดล้อมแบบนี้ไม่ไหวจริงๆ
ตงลิ่วจื่อมองแฟนสาวของตัวเองอย่างหมดปัญญา “แล้วจะทำยังไงล่ะ บรรพบุรุษของผมอยู่ที่นี่มาหลายชั่วอายุคน จะให้ผมไปอยู่ในเมืองกับคุณได้ยังไง”
“ผมเองก็ไม่มีเงินซื้อบ้านในเมืองนะ จะอาศัยการเช่าบ้านอยู่ตลอดไปก็คงไม่ไหว”
“หรือว่าผมจะปรับปรุงส้วมดีไหม”
หลินไป๋เสวี่ยแค่นเสียง “ทำไมไม่สร้างบ้านอิฐสักหลังล่ะ”
“บ้านไม้หลังนี้ พอฝนตกก็มืดมิดอับทึบ ดูไม่ดีเลย”
“ไม่มีหน้าต่างด้วย ยุงก็เยอะมาก”
ตงลิ่วจื่อถอนหายใจ
หลินไป๋เสวี่ยกดดัน “ฉันจะบอกให้คุณรู้นะ ถึงฉันจะสอนหนังสือที่โรงเรียนประถมในหมู่บ้านของพวกคุณ แต่หอพักที่ฉันอยู่ก็เป็นตึกอิฐนะ”
ตงลิ่วจื่อรับปาก “วันหลังผมจะออกไปถามดูว่ามีใครสร้างบ้านอิฐบ้างไหม”
“ได้ยินมาว่าหมู่บ้านข้างๆ มีบ้านหลังหนึ่งที่สร้างเป็นบ้านอิฐได้สวยมาก”
“พรุ่งนี้พวกเราไปถามดูกันไหม?”
หลินไป๋เสวี่ยจึงสงบลงเล็กน้อย “ถ้าคุณกล้าหลอกฉันละก็ ฉันจะเลิกคบกับคุณทันที”
ลุงสามตงที่อยู่ข้างๆ ได้ยินบทสนทนาของลูกชายและลูกสะใภ้แล้วก็รู้สึกกังวลใจ
จะว่าไปส้วมนี้ก็เหม็นจริงๆ แถมยังเปิดโล่งทั้งสี่ด้าน
สาวน้อยคนนี้ลำบากจริงๆ
แต่ถึงจะปรับปรุง จะทำให้ดีขึ้นได้แค่ไหนกัน? ที่นี่ก็เป็นแบบนี้กันทั้งนั้น…
เขาจึงทรุดตัวลงนั่งใต้ต้นไม้ หยิบกล้องยาสูบออกมาจากในเสื้อ
ยัดยาเส้นเข้าไป จุดไฟด้วยไม้ขีดไฟ แล้วเริ่มสูบ
กลิ่นยาสูบที่ฉุนจมูกทำให้สายตาของเขาพร่าเลือน
ทุกวันนี้การหาภรรยาสักคนไม่ใช่เรื่องง่ายเลย สินสอดที่น้อยที่สุดก็ราว 10 กว่าหยวน ซึ่งถือว่าเป็นราคาต่ำสุดที่น่าพอใจแล้ว
ที่มากกว่านั้นก็มีตั้งแต่หลักร้อยไปจนถึงหลักพัน!
ซึ่งลูกสะใภ้คนนี้เรียกสินสอดถึง 128 หยวนเชียวนะ
เขาถอนหายใจ ในหมู่บ้านเล็กๆ แห่งนี้ ทุกคนล้วนยากจน แม้แต่การกินอยู่ก็ยังเป็นปัญหา
ถ้าไม่ใช่เพราะครอบครัวของเขามีฐานะดี และในช่วงหลายปีที่ผ่านมาเขาต้องเป็นทั้งพ่อและแม่ ยืนหยัดไม่แต่งงานใหม่หลังจากภรรยาเสียชีวิต ไม่อย่างนั้นคงไม่มีเงินเก็บในกระเป๋าเหลืออยู่แล้ว
แต่การจ่ายค่าสินสอดมากขนาดนั้นเพื่อแต่งลูกสะใภ้ที่เป็นเจ้าหน้าที่รัฐและมีการศึกษาเข้าบ้านก็ถือว่าคุ้มค่า
ลูกชายของเขาเป็นชาวนา ถ้าลูกสะใภ้ไม่มีความรู้…
ต่อไปหลานก็จะเป็นแค่ชาวนาเหมือนกัน ซึ่งแบบนี้เขารับไม่ได้
เขาสูบบุหรี่อีกอึกใหญ่ เขาเป็นคนมีวิสัยทัศน์ รู้ว่าครอบครัวไม่ควรมีคนไร้การศึกษาสืบทอดกันรุ่นแล้วรุ่นเล่า
“เฮ้อ… คุ้มค่าจริงๆ!”
เขาตบขาแล้วลุกขึ้นนั่ง ไปปรึกษาลูกชายเรื่องการสร้างบ้านอิฐ
หลังจากเย่จวินตื่นนอน เขาก็เริ่มทำงานแต่เช้าตรู่
ไม่คิดว่าลุงสามตงจะมาอีกในเวลานี้
เขามองซ้ายมองขวา แล้วหยิบอิฐแดงขึ้นมาชั่งน้ำหนักดู พบว่าเย่จวินทำงานได้ดีทีเดียว
เขายิ้มแย้มพูดด้วยน้ำเสียงเป็นมิตร “เย่จวิน เมื่อวานฉันกลับไปคิดดูแล้ว ถ้าเธอสร้างบ้านได้ดี พวกเราก็จะจ้างเธอสร้างด้วย”
“ดูจากท่าทางเธอแล้ว เธอเองก็เป็นช่างใหม่ใช่ไหม?”
“พวกเราไว้ใจเธอนะ เธอช่วยสร้างห้องอาบน้ำเพิ่มให้อีกห้องได้ไหม?”
“ลูกสะใภ้ของฉันมาจากในเมือง หล่อนไม่ชินกับการอาบน้ำในเพิงเล็กๆ มันไม่สะดวกเลย”
เย่จวินคิดอยู่ครู่หนึ่ง การสร้างห้องอาบน้ำไม่ใช่เรื่องยาก
แต่เขาไม่รู้ว่าจะไปซื้อกระเบื้องกันน้ำสำหรับห้องอาบน้ำจากที่ไหน และไม่รู้ว่าราคาจะเป็นอย่างไร
เขาจึงพูดอย่างตรงไปตรงมา “ผมต้องไปดูราคากระเบื้องที่ใช้ในห้องอาบน้ำก่อน แค่ทาสีทับไปมันกันน้ำไม่ได้หรอกครับ”
“นี่ก็เป็นเงินที่ผมหามาด้วยความยากลำบากเหมือนกัน ผมไม่อาจตกลงกับคุณได้ในทันที”
“ถ้ากระเบื้องแพงเกินไป ก็คงรับทำให้ไม่ไหว”
ลุงสามตงไม่รู้เรื่องพวกนี้ จึงพยักหน้าและพูดว่า “งั้นเมื่อเธอจัดการเสร็จแล้ว ก็บอกฉันตรงๆ ก็พอ”
เย่จวินตกลง
………………………………………………………………………………………………………………………….
สารจากผู้แปล
เอาใจช่วยเย่จวินให้ได้อาชีพใหม่นะคะ นับว่าโชคเข้าข้างแล้วที่ส่งลูกค้าคนแรกมาให้
ไหหม่า(海馬)
…………….