ซาลาเปาตัวน้อย ทะลุมิติมามีระบบทำฟาร์มยุค 70 จนร่ำรวย - บทที่ 175 เย่ฉางอันถูกแจ้งความ
บทที่ 175 เย่ฉางอันถูกแจ้งความ
……….
บทที่ 175 เย่ฉางอันถูกแจ้งความ
ทุกคนต่างเหนื่อยล้ามาก
ตอนกลางคืนทุกคนเข้านอนกันแต่หัวค่ำ
เช้าตรู่ ขณะที่ฟ้ายังสลัว ประตูห้องกลับถูกเคาะอย่างรุนแรงกะทันหัน
“ปัง ๆๆ”
เสียงดังสนั่นทำให้ทุกคนสะดุ้งตื่นจากความฝัน
หลี่ชุ่ยชุ่ยรีบไปเปิดประตู เห็นคนหนุ่มสาวหลายคนสวมเสื้อผ้าสีเขียว มีผ้าแดงติดที่แขนเสื้อยืนอยู่หน้าประตู
หล่อนนึกขึ้นได้ทันทีว่านี่คือหน่วยยุวชนแดงที่รับผิดชอบเรื่องปรับทัศนคติ
พวกเขาเป็นคนที่ทุกคนในหมู่บ้านพยายามหลีกเลี่ยง
หลี่ชุ่ยชุ่ยรู้สึกกลัวเล็กน้อย “พวกคุณ…มีธุระอะไรหรือเปล่า?”
“เย่ฉางอันอยู่ไหม?” หญิงสาวที่เป็นหัวหน้าเอ่ยด้วยน้ำเสียงใสกังวาน “มีคนไปแจ้งความที่อำเภอว่าเขาเก็งกำไร ไปขายของในตลาด ไปกับพวกเราหน่อยสิ”
หลี่ชุ่ยชุ่ยตกใจจนขาอ่อน “ลูกชายฉันไม่ได้เก็งกำไรนะ พวกเราแค่ขายผลผลิตทางการเกษตรบางอย่างเท่านั้น”
“ผลผลิตทางการเกษตรก็ไม่เป็นไร ปัญหาคือเขาขายของที่ไม่ควรขาย” หลินซูหัวเราะเยาะ “รีบๆ หน่อย พวกเรามาไกลก็เหนื่อยเหมือนกัน”
เย่จื้อผิงรีบออกมา “สหาย ต้องมีความเข้าใจผิดแน่ๆ”
“พวกคุณเข้าบ้านมานั่งก่อนสิ ในบ้านยังมีแตงโมสองลูก มีลูกท้อด้วย อร่อยนะ”
“พวกคุณคงยังไม่ได้กินข้าวเช้าใช่ไหม ผมจะต้มบะหมี่ให้”
หลินซูตวาดว่า “พวกแกคิดว่าพวกเราเป็นใคร? จะมากินข้าวที่บ้านพวกแกด้วยเหรอ?”
“พวกเราไม่ได้มาล้อเล่นกับพวกแกนะ พวกเรามาตามคำสั่ง”
“ถ้าพวกแกยังขัดขวางการทำงานของพวกเราแบบนี้ พวกเราจะพาพวกแกไปด้วยเลย”
หลี่ชุ่ยชุ่ยตาแดง รีบไปเรียกเย่ฉางอันให้ตื่น
“ฉางอัน ฉางอัน ตื่นเร็วเข้า”
หลี่ชุ่ยชุ่ยพูดด้วยน้ำเสียงสั่นเครือ “มีเรื่องร้ายแรงเกิดขึ้น ลูกต้องไปที่ตำบลด่วน”
เย่ฉางอันลืมตาขึ้น เห็นสภาพของแม่แล้วตกใจ “แม่ เกิดอะไรขึ้น? พ่อปวดขาอีกหรือ? หรือว่าจิ่นเป่าป่วย?”
“ไม่ใช่ทั้งนั้น” หลี่ชุ่ยชุ่ยเช็ดน้ำตา “มีคนแจ้งความว่าลูกฉวยโอกาสค้ากำไรเกินควร ลูกต้องไปที่ตำบล”
“ลูกลองคิดดูว่าช่วงนี้ธุรกิจดีเกินไปหรือเปล่า ไปทำให้ใครเขาไม่พอใจหรือเปล่า?”
เย่ฉางอันตกตะลึง
เขาที่เป็นคนซื่อ ๆ พอเจอเรื่องแบบนี้ก็รู้สึกตื่นตระหนกมาก
“นี่…ไม่มีนะ เป็นไปไม่ได้” เย่ฉางอันเกาหัวแกรก ๆ ขมวดคิ้ว “ผมไม่มีทางไปทำให้ใครข้างนอกไม่พอใจหรอก”
“ผมนึกไม่ออกเลยว่าไปทำอะไรให้ใครเขาไม่พอใจ…”
หลี่ชุ่ยชุ่ยรีบพูดว่า “ช่างเถอะ ลูกอย่าเพิ่งคิดเรื่องนี้เลย รีบไปเถอะ”
“เดี๋ยวแม่จะให้พี่ใหญ่กับพ่อไปด้วย”
“พวกเราจะต้องไม่เป็นไรแน่นอน พวกเราเป็นคนซื่อสัตย์ จะเกิดอะไรขึ้นได้ยังไง”
หลี่ชุ่ยชุ่ยพูดแบบนี้ ไม่ใช่แค่ปลอบใจเย่ฉางอัน แต่ยังเป็นการปลอบใจตัวเองด้วย
เย่ฉางอันโดยพื้นฐานแล้วก็เป็นแค่เด็กหนุ่มอายุ 17-18 ปี จะตกใจก็เป็นเรื่องธรรมดา
“แม่ อย่ากังวลไปเลย ผมทำถูกต้องและยืนหยัดอย่างตรงไปตรงมา ผมไม่กลัวหรอก”
เย่ฉางอันออกจากบ้านไป ไม่ได้เอาอะไรติดตัวไปเลย แค่เดินตามหลินซูและคนอื่นๆ ไป
หลี่ชุ่ยชุ่ยเอามือปิดปากและร้องไห้ “จื้อผิง เราจะทำยังไงดีล่ะ?”
“ฉันเคยได้ยินมาว่าคนที่ถูกจับไปล้วนต้องไปใช้แรงงานเพื่อปรับปรุงตัวเอง มันเหนื่อยมากเลยนะ”
“ยังจะถูกคนอื่นชี้หน้าด่าอีก ฉางอันไม่เคยเจอสถานการณ์แบบนี้มาก่อน ไม่รู้ว่าจะทนไหวหรือเปล่า”
เย่จื้อผิงรู้สึกทั้งเจ็บปวดและกังวลใจ “ครอบครัวของเราไม่มีใครเข้าใจเรื่องนี้เลย ฉันจะไปถามพี่ชายคนโตดู ลูกชายของเขาเป็นคนมีความรู้ อาจจะมีวิธีแก้ไขก็ได้”
“ดีแล้ว คุณรีบไปถามคนอื่นๆ ดูด้วย ต้องหาทางพาฉางอันกลับมาให้ได้”
เย่จื้อผิงรีบออกไปทันที
หลังจากที่เย่จื้อผิงไปตะโกนเรียกครอบครัวของเย่จื้อเฉียงให้มาฟังเรื่องนี้
ทุกคนต่างมีสีหน้าคาดเดาไม่ถูก
เย่จื้อเฉียงอดไม่ได้ที่จะพูดว่า “นี่ไม่ใช่เรื่องดีเลยนะ นายรีบไปถามดูหน่อยว่าฉางอันทำการค้ากำไรเกินควรจริงๆ หรือเปล่า”
“ถ้ายอมรับตามตรงอย่างน้อยก็อาจจะได้รับการผ่อนผันบ้าง”
“เด็กคนนั้นคงกลัวว่าพวกคุณจะด่าเขา เลยไม่ยอมบอกความจริง”
หลี่กุ้ยฮวาแสร้งทำเป็นปลอบใจอยู่สองสามประโยค แต่ในใจกลับรู้สึกสะใจมาก
ต้องรู้ไว้ว่าตอนนี้ครอบครัวของเย่จื้อผิงกำลังรุ่งเรืองมาก
เมื่อเจอเรื่องซวยแบบนี้ หล่อนยังไม่ทันได้แอบหัวเราะเลย!
ถ้าไม่ใช่เพราะครอบครัวของเย่จื้อผิงตอนนี้ไม่เหมือนเดิมแล้ว หล่อนจะต้องซ้ำเติมและเยาะเย้ยสักสองสามคำแน่ๆ
มีเพียงเย่จู๋ที่กังวลมาก “จะทำยังไงดีล่ะ? ฉันได้ยินมาว่าไปที่นั่นต้องทำงานทั้งวันทั้งคืน ตอนกลางคืนยังต้องอยู่กับคนไม่ดีอีกด้วย”
“พี่ พี่มีความรู้ พี่ช่วยคิดหาวิธีหน่อยสิ?”
“เราจะใช้เงินสักหน่อยเพื่อพาเขากลับมาได้ไหม?”
เย่เหวินชางมีสีหน้าเฉยชา “ฉันเป็นแค่นักเรียน จะมีวิธีอะไรได้? ทำหน้าที่ของตัวเองให้ดีที่สุดก็พอแล้ว”
“อีกอย่าง เกิดเรื่องแบบนี้ขึ้นมา ก็จะทำให้ชื่อเสียงของครอบครัวเราเสียหาย”
“ต่อไปอย่าเอาฉันไปพัวพันด้วยบ่อยๆ ถ้าคนที่มีปัญหาทางความคิดเป็นญาติของฉัน คนอื่นจะมองฉันยังไง?”
คำพูดของเย่เหวินชางช่างเย็นชาเหลือเกิน
แม้เย่จื้อผิงจะรู้ว่าเขาเป็นคนที่ไม่ชอบคบหาสมาคมกับใครอยู่แล้ว แต่ก็อดตกใจกับท่าทางเลือดเย็นของเขาไม่ได้
“พวกเราเป็นครอบครัวเดียวกันนะ”
เย่เหวินชางหัวเราะเบาๆ “ผมไม่ใช่ครอบครัวเดียวกับพวกคุณหรอก”
เขาพูดจบก็เดินจากไป
ในอดีต เย่จื้อผิงมักรู้สึกว่าถ้าใครในครอบครัวประสบความสำเร็จ พวกเขาที่แซ่เย่ก็จะได้รับเกียรติไปด้วย
แต่ตอนนี้ดูเหมือนจะไม่เป็นเช่นนั้น
เย่จื้อเฉียงรีบพูดกลบเกลื่อน “น้องสาม อย่าโกรธเลย ลูกชายฉันมันก็เป็นแบบนี้แหละ”
“ไม่ต้องพูดถึงฉางอันเลย แม้แต่น้องสาวตัวเองมันก็ไม่สนใจ”
“นายอย่าไปถือสาหาความกับมันเลยนะ”
เย่จื้อผิงยิ้มแหยๆ สีหน้าซีดเผือด “งั้นผมจะลองไปคิดหาทางดูอีกที ไม่รบกวนพวกคุณแล้ว”
พอเย่จื้อผิงเดินออกไป สามีภรรยาคู่นั้นก็แสดงธาตุแท้ออกมาทันที
เย่จู๋ขมวดคิ้วเมื่อเห็นพี่ชายของตัวเองยืนอยู่ข้างนอก หล่อนรีบเดินเข้าไปหาด้วยความโกรธ “พี่ คำพูดของพี่ช่างน่าฟังเสียจริง”
เย่เหวินชางหันมามองเย่จู๋
เขาดูแตกต่างจากคนในหมู่บ้าน แต่งตัวดูดี ร่างกายสะอาดสะอ้านตลอดเวลา
ทรงผมก็จัดแต่งอย่างเรียบร้อย
ทั่วร่างแผ่กลิ่นอายของบัณฑิตผู้สงบนิ่ง
แต่เขากลับยิ้มอย่างโหดเหี้ยม “น่าฟังงั้นเหรอ? ถ้าฉันบอกว่า เย่ฉางอันถูกฉันแจ้งความเองล่ะ?”
“เธอคิดว่าฉันแค่พูดจาไม่ดีหน่อย ยังรับไม่ได้อีกเหรอ?”
เย่จู๋อ้าปากค้าง มองพี่ชายด้วยสายตาไม่อยากเชื่อ
ตั้งแต่เด็ก หล่อนมองพี่ชายเป็นแบบอย่าง
ไม่เคยคิดเลยว่าเขาจะทำเรื่องต่ำช้าแบบนี้ได้
“ทำไมล่ะ? พี่ฉางอันก็ไม่เคยทำอะไรให้พี่ไม่พอใจนี่”
“พี่ใส่ร้ายเขาแบบนี้ เขาต้องเสียตำแหน่งหัวหน้าทีมแน่ๆ”
“ต่อไปนี้เวลาทำงาน เขาก็ต้องเจอสายตาดูถูกจากคนอื่น แบบนี้มันไม่ได้เป็นผลดีอะไรกับพี่เลยนะ”
เย่เหวินชางมีสีหน้าเย็นชา “ตอนนั้นแค่รู้สึกอิจฉา ก็เลยเขียนจดหมายร้องเรียนไป ตอนนี้จะมาเสียใจก็สายไปแล้ว”
“แทนที่จะมาซักไซ้ฉัน ไปช่วยคิดหาทางช่วยพวกเขาดีกว่า”
“อ้อ อย่าเอาความลับนี้ไปบอกใครเชียวล่ะ ไม่งั้นคนที่ถูกจองเวรก็ไม่ใช่แค่ฉันคนเดียว”
“ยังไงก็ไม่สำคัญแล้วว่าใครเป็นคนร้องเรียน”
เย่จู๋รู้สึกทรมานใจ “ทำไมพี่ถึงทำแบบนี้ได้ล่ะ? ฉันไม่เคยคิดเลยว่าพี่จะใจร้ายขนาดนี้!”
เย่จู๋โกรธจนวิ่งเข้าไปในบ้าน
เมื่อเข้าไปในบ้านก็ยังได้ยินเสียงพ่อกับแม่กำลังพูดคุยหัวเราะกันอยู่
หลี่กุ้ยฮวาดูเหมือนจะดีใจมาก “นี่แหละที่เรียกว่ากรรมตามสนอง ใครใช้ให้พวกเขาทำตัวเหลิงตลอดเวลาล่ะ คราวนี้โดนคนเขาแจ้งความซะแล้ว ฉันว่าคนที่แจ้งความนี่ทำดีมาก”
“โอ๊ย เรื่องนี้มันยุ่งยากจริงๆ แต่พวกเราก็ทำอะไรไม่ได้นี่นา” เย่จื้อเฉียงยักไหล่ “หวังว่าบ้านน้องสามจะคิดหาทางออกที่ดีได้นะ”
เย่จู๋มองพวกเขา เม้มริมฝีปาก กำมือแน่น
ความรู้สึกไร้พลังที่เคยเกิดขึ้นตอนที่ถูกบังคับให้เลิกเรียนหนังสือได้กลับมาอีกครั้ง
………………………………………………………………………………………………………………………….
สารจากผู้แปล
ร้ายกาจมากเหวินชาง แจ้งความกับยุวชนแดงนี่เป็นอะไรที่ร้ายแรงมากเลยนะ ไม่กลัวกรรมตามสนองตัวเองเหรอไหหม่า(海馬)
……….