ซาลาเปาตัวน้อย ทะลุมิติมามีระบบทำฟาร์มยุค 70 จนร่ำรวย - บทที่ 15 เวลาเธอด่าคนก็มีชั้นเชิงเหมือนกัน (รีไรต์)
- Home
- ซาลาเปาตัวน้อย ทะลุมิติมามีระบบทำฟาร์มยุค 70 จนร่ำรวย
- บทที่ 15 เวลาเธอด่าคนก็มีชั้นเชิงเหมือนกัน (รีไรต์)
บทที่ 15 เวลาเธอด่าคนก็มีชั้นเชิงเหมือนกัน (รีไรต์)
บทที่ 15 เวลาเธอด่าคนก็มีชั้นเชิงเหมือนกัน (รีไรต์)
“พูดแบบนี้ออกมาได้ ก็แน่ไม่เบาเหมือนกันนะ” เย่เสี่ยวจิ่นหรี่ตาลงพร้อมกับพูดจิกกัด “อย่าทำตัวเป็นคนตื้นเขิน เห็นอะไรดีไม่ได้ เหมือนกับไม่ได้เห็นของดีมาแปดชาติ”
“เห็นของคนอื่นก็อยากได้เป็นของตัวเอง”
“น่าอับอาย!”
หลี่ชุ่ยชุ่ยเป็นคนซื่อ พูดไม่เก่ง
อย่าว่าแต่ด่าคนเลย แม้แต่โดนรังแก ส่วนใหญ่ก็มักจะยอมทนเงียบ ๆ
ไม่มีใครเหมือนกับหลี่กุ้ยฮวาที่เป็นเหมือนประทัด จุดติดง่าย ปากก็ไว แถมยังชี้หน้าด่าคนอื่นได้
หลี่กุ้ยฮวาหน้าบึ้งตึง “แกนี่มันเด็กสารเลว ไม่เจียมตัว กล้าด่าฉันงั้นเหรอ อยากโดนตบใช่ไหม!”
หลี่ชุ่ยชุ่ยใจหายวาบ…
ผู้หญิงคนนี้ขึ้นชื่อเรื่องลงไม้ลงมืออยู่แล้ว
เย่เสี่ยวจิ่นไม่ได้หวาดกลัวแม้แต่น้อย “อยากทำอะไรเชิญเลย”
“ใคร ๆ ก็รู้ว่าหนูป่วยหนัก ป่านนี้คงใกล้ตายแล้ว”
“ถ้าป้าใหญ่ตีหนูตาย ก็เตรียมตัวติดคุกหัวโตได้เลย!”
หลี่กุ้ยฮวาเป็นคนชอบรังแกคนที่อ่อนแอกว่า เมื่อเจอคนที่ไม่เกรงกลัวอย่างเย่เสี่ยวจิ่น จึงไม่กล้าทำอะไรมาก
เพราะกลัวว่าถ้าเด็กนี่เป็นอะไรไป หล่อนจะต้องชดใช้
“ดีจริง ๆ เลยนะ หลี่ชุ่ยชุ่ย สอนลูกสาวให้ด่าฉันแบบนี้”
“คอยดูเถอะ!”
พูดจบ หลี่กุ้ยฮวาก็จากไป
แต่เมื่อหล่อนหมายตาเจ้าฝ้ายปุย ๆ ไว้แล้ว มีหรือที่จะอยู่เฉย ๆ ปล่อยให้มันหลุดลอยไป!
หลี่ชุ่ยชุ่ยมองลูกสาวอย่างสงสัย “จิ่นเป่า ใครสอนหนูพูดแบบนี้?”
“เรื่องแบบนี้… ต้องมีคนสอนด้วยเหรอคะ?” เย่เสี่ยวจิ่นทำหน้าซื่อตาใส
หลี่ชุ่ยชุ่ยหัวเราะเบา ๆ แล้วลูบหัวเย่เสี่ยวจิ่น
เมื่อแม่ของเธอวุ่นวายกับงานบ้าน เย่เสี่ยวจิ่นจึงถือโอกาสแอบไปที่เล้าไก่ โดยอ้างว่าจะออกไปเล่นหิมะ แล้วแอบเอาอาหารไก่ไปให้แม่ไก่กิน
เธอมองแม่ไก่ในเล้า “พวกแกกินเร็ว ๆ เข้าล่ะ อย่าให้แม่ฉันเห็นเชียว”
“ฉันต้องทำอาหารไก่มาก ๆ หน่อย คราวหลังแม่จะได้ให้พวกแกทีเดียวตอนเช้า”
“ไม่งั้นถ้าแม่จับได้ ฉันไม่รู้จะอธิบายยังไงแล้ว”
เย่เสี่ยวจิ่นขมวดคิ้ว คงบอกไม่ได้หรอกนะว่าอาหารไก่ก็ได้มาจากเทพเซียนเหมือนกัน?
ยิ่งไปกว่านั้น สมัยนี้ยังไม่นิยมใช้อาหารไก่กันสักหน่อย
เธอขมวดคิ้วมุ่น มองดูแม่ไก่จิกกินอาหารจนหมดไม่เหลือแม้แต่เศษผง เธอถึงได้ยอมผละออกไปด้วยความพอใจ
ไม่นานนัก ยามบ่ายคล้อย หลี่ชุ่ยชุ่ยก็ลงมือเย็บผ้าทำปลอกผ้านวม
ตามธรรมเนียมแล้วควรจะใช้เส้นด้ายมาทอเป็นผืน เพราะจะทำให้ผ้านวมไม่ร่วงเป็นก้อน ๆ และคงรูปทรงได้นาน
ทว่า ในยามอากาศหนาวเหน็บเช่นนี้ การทอผ้านวมคงเป็นเรื่องยากเย็น
หล่อนจึงตัดสินใจนำฝ้ายมาสางให้ฟู นำไม้ตีให้ฟูฟ่อง แล้วจึงยัดลงในปลอกผ้านวมที่ทำไว้
จากนั้นก็ใช้เข็มกับด้าย เย็บเป็นช่องสี่เหลี่ยมบนผ้าห่ม เพื่อยึดฝ้ายไว้ด้านใน
เมื่อเย็บตรึงไว้เช่นนี้ ฝ้ายก็จะไม่จับตัวเป็นก้อนอีกต่อไป
งานเย็บปักถักร้อยนั้นไม่ใช่เรื่องง่าย ยิ่งหลี่ชุ่ยชุ่ยเย็บอย่างประณีตบรรจงด้วยแล้ว ยิ่งใช้เวลานานขึ้นไปอีก
ฟ้าเริ่มมืดลงแล้ว ช่วงเวลาดี ๆ กำลังจะเริ่มต้นขึ้น
หลี่ชุ่ยชุ่ยวางเข็มเย็บผ้าลงแล้วนวดคลึงดวงตาที่อ่อนล้า หล่อนโอบกอดผ้าห่มปูลงบนเตียง สวมปลอกผ้านวมลายดอกไม้ผืนใหญ่ จากนั้นจึงตบเบา ๆ บนผ้านวมนุ่ม ๆ
“จิ่นเป่า มานี่สิ ลองดูสิ อุ่นหรือเปล่า”
เย่เสี่ยวจิ่นปีนขึ้นไปบนเตียง ผ้านวมผืนใหม่นุ่มฟู เธอเพิ่งจะกอดได้ครู่เดียวก็รู้สึกอบอุ่นไปทั่วร่าง
เธอเอ่ยด้วยความดีใจอย่างเปี่ยมล้น “อุ่นจังเลย! คืนนี้ไม่หนาวแล้ว”
เย่เสี่ยวจิ่นกอดผ้าห่มอย่างมีความสุข กลิ้งไปมาบนเตียง ราวกับดักแด้ตัวน้อยที่ถูกห่อหุ้มอยู่ในรังอย่างปลอดภัย
นี่เป็นครั้งแรกที่เธอได้รู้ว่าผ้านวมที่ทำจากฝ้ายก็นุ่มละมุนและอบอุ่นได้ถึงเพียงนี้
ที่ผ่านมา หลี่ชุ่ยชุ่ยและสามีจะนอนร่วมเตียงกับลูกสาว ส่วนลูกชายทั้งสามคนนอนเบียดกันบนฟูกปูพื้นในห้องอีกห้องหนึ่ง
“ลูก ๆ โตกันหมดแล้ว ไม่เหมือนตอนเด็ก ๆ ที่เบียดกันนอนบนเตียงเดียวกันได้”
“กว่าหิมะจะละลายก็คงอีกหลายวัน”
“รอแม่ทำให้หนูเสร็จแล้ว แม่จะทำผ้านวมหนา ๆ สักสิบผืน”
“พอพี่ชายของหนูกลับมา ทุกคนก็จะมีผ้าห่มผืนใหม่ไว้ห่มกัน”
“แม่ทำให้ตัวเองก่อนดีกว่า หนูไม่หนาว” เธอโผล่หัวออกมาจากผ้าห่ม ดวงตาของเธอดูว่าง่าย
“แม่ไม่กลัวหนาวหรอก” หลี่ชุ่ยชุ่ยพูดด้วยน้ำเสียงอ่อนโยน ก่อนจะบีบจมูกเธอเบา ๆ “แม่ร่างกายแข็งแรง ส่วนหนูไม่ค่อยแข็งแรง”
“เพราะฉะนั้นหนูต้องใส่เสื้อผ้าให้อุ่น ๆ ทานอาหารให้อิ่ม ๆ จะได้หายป่วยเร็ว ๆ ไงล่ะ”
“ถ้าหนูป่วย แม่คงใจสลาย”
หลี่ชุ่ยชุ่ยพูดพลางกอดเธอไว้ เหมือนตอนที่เธอยังเป็นทารก
หล่อนโยกตัวไปมาพร้อมกับกล่อมเย่เสี่ยวจิ่น “ลูกของแม่เป็นถึงเทพเจ้าแห่งวรรณกรรม จะต้องมีอายุยืนยาวแน่นอน”
เย่เสี่ยวจิ่นสังเกตเห็นแววตาอันโศกเศร้าที่ซ่อนอยู่ลึก ๆ ในดวงตาของแม่
เธอพยักหน้า “ใช่แล้ว เทพเซียนบอกว่าโรคของหนูจะหายเร็ว ๆ นี้”
“แม่ต้องเชื่อหนูนะ”
“แม่เชื่อหนูอยู่แล้ว” หลี่ชุ่ยชุ่ยหัวเราะ “หนูเป็นลูกสาวคนเดียวของบ้าน พ่อกับพี่ชายรักหนูมาก”
“รอก่อนนะ พอพ่อกลับมา พ่อจะพาหนูไปรักษาตัวที่เมือง”
เธออยากจะบอกว่าไม่ต้องหรอก แต่ก็ไม่ได้พูดอะไรออกไป
ในใจเธอรู้สึกซาบซึ้งใจ ในยุคสมัยนี้ ชนบทส่วนใหญ่ล้วนให้ความสำคัญกับลูกชายมากกว่าลูกสาว
แต่ครอบครัวของเธอกลับไม่เป็นเช่นนั้น
มีลูกชายติดกันถึงสามคน กว่าจะมีลูกสาวตัวน้อย ๆ แบบเธอได้
ถึงแม้ว่าครอบครัวจะยากจน แต่ทุกคนก็รักและเอ็นดูเธอมาก
“จิ่นเป่าคืนนี้อยากกินอะไรจ๊ะ”
เย่เสี่ยวจิ่นนึกครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่งพลางเอานิ้วเกี่ยวเล่นกัน “กินไข่เจียวต้นหอมก็แล้วกันค่ะ อร่อยดี”
เนื้อแดดเดียวสองชิ้นนั้น เธอไม่ควรกินจนหมดเกลี้ยง
รอให้พี่ชายกับพ่อกลับมาค่อยกินด้วยกันดีกว่า
หลี่ชุ่ยชุ่ยรู้ว่าเธอเป็นเด็กมีเหตุผล “ถ้าจิ่นเป่าอยากกินเนื้อ ก็ได้นะ…”
หล่อนยังพูดไม่ทันจบประโยค
จู่ ๆ ก็มีเสียงดุดันดังขึ้น ทำลายบรรยากาศอบอุ่นระหว่างแม่ลูก
“หลี่ชุ่ยชุ่ย แกออกมาเดี๋ยวนี้เลยนะ!”
หลี่กุ้ยฮวาพาหลิวต้าเม่ยกับเย่ฉู่เฉียงมาด้วย
ทั้งสามคนเดินอาด ๆ เข้ามาในบ้าน
เสียงตวาดก้องของเย่ฉู่เฉียงดังลั่นใส่หลี่ชุ่ยชุ่ย “นังผู้หญิงเห็นแก่ตัว เจ้าสามไม่อยู่คิดจะทำอะไรก็ได้อย่างนั้นรึ!”
“ฉันเป็นพ่อพวกแก ใครหน้าไหนจะกล้าขัดขืน!”
หลิวต้าเม่ยเองก็ออกโรงข่มขวัญ “ใช่แล้ว มิน่าล่ะ เจ้าสามถึงได้ผอมกะหร่องแบบนั้น ที่แท้นังสารเลวนี่แอบเอาเงินไปซื้อฝ้ายหมด”
“แกใช้เงินของตระกูลเย่ซื้อฝ้าย มันก็ต้องเป็นของตระกูลเย่สิ”
“รีบ ๆ เอาออกมาให้เหวินชางใช้ซะ!”
สองสามีภรรยาคู่นี้ทำนาบนหลังคนมาทั้งชีวิต
พอเห็นคนมีการศึกษาหน่อย ได้เป็นผู้ใหญ่บ้าน เป็นหัวหน้าทีม ก็รู้สึกอิจฉาตาร้อน
พวกเขาก็หวังให้เย่เหวินชางไปเรียนให้จบมัธยมปลาย
จะได้เป็นครอบครัวของเจ้าหน้าที่รัฐบ้าง!
กว่าเย่เหวินชางจะสอบเข้ามัธยมปลายได้ ก็เรียนซ้ำอยู่ตั้งปี
สิ่งของที่ได้มายาก ย่อมต้องทะนุถนอมเป็นธรรมดา!
ความสำเร็จของเขา ชาตินี้ทั้งครอบครัวของเจ้าสามไม่มีทางเทียบได้หรอก
พวกเขาไม่รู้หรอกว่าถ้าเทียบกันจริง ๆ แล้ว หลานสาวที่พวกเขาดูถูกที่สุดคนนี้ เป็นเด็กเรียนเก่งที่คว้ารางวัลจากการสอบมาตั้งแต่เด็ก!
หลี่กุ้ยฮวาโบกมือใหญ่ “หลี่ชุ่ยชุ่ย อีกหน่อยเหวินชางสร้างชื่อเสียงให้ตระกูล แกเองก็จะพลอยได้หน้าได้ตาไปด้วย”
“เรื่องแบบนี้ แกจะไม่เห็นด้วยได้ยังไง”
น้ำเสียงของหลี่กุ้ยฮวาฟังดูเป็นเรื่องที่ถูกต้อง เหมือนกับเห็นภาพเหวินชางทำให้ตระกูลรุ่งเรืองอยู่ตรงหน้า