ซวยแล้ว! ผมดันโดนเตะมาเกิดใหม่เป็นนักบุญหญิงศักดิ์สิทธิ์ - บทที่ 64 แสงแห่งนักบุญคือแสงที่ไร้ผู้ใดต่อต้าน
- Home
- ซวยแล้ว! ผมดันโดนเตะมาเกิดใหม่เป็นนักบุญหญิงศักดิ์สิทธิ์
- บทที่ 64 แสงแห่งนักบุญคือแสงที่ไร้ผู้ใดต่อต้าน
ยามร่างกายของวิหคสวรรค์ได้ปรากฏ แสงสว่างศักดิ์สิทธิ์เฉิดฉายไปทั่วบริเวณทลายคลื่นพลังสีดำมืดของจอมปีศาจให้จางหาย ความรู้สึกอันน่าอึดอัดเริ่มหายไป
ไม่ว่าใครมอง นี่ก็เป็นการปรากฏขึ้นของวิหคสวรรค์อย่างแน่นอน ขนาดตัวของเอลดรานเองยังถึงต้องยิ้มกระตุกมองเจ้าราสอย่างหวาดระแวง
“สมกับเป็นนักบุญที่ยิ่งใหญ่ที่สุดในประวัติศาสตร์จริง ๆ สามารถเรียกวิหคสวรรค์มาได้เช่นนี้ แต่คิดเหรอว่าแค่นั้นจะเพียงพอให้สู้กับมณีของข้าได้น่ะ”
“อย่างงั้นเหรอคะ แล้วอยากลองดูไหมล่ะคะ? ว่ามณีของคุณกับอำนาจของเราสิ่งใดที่อยู่เหนือกว่ากัน”
ขิงมาขิงกลับไม่โกง แน่นอนว่าผมต้องพยายามกดดันให้เขาตัดสินใจพลาดมากที่สุดเท่าที่จะเป็นไปได้ เพื่อการเข้าหาตัวของซิลวี่อย่างปลอดภัย ตัวของเอลดรานจะต้องเปิดช่องว่างให้ผม
“ได้เวลาแล้วค่ะราสเวน…. อารักษ์แห่งสวรรค์จงสยายปีกอันยิ่งใหญ่ของเจ้า เผาผลาญมารร้ายผู้ต่อต้านพระองค์ผู้ยิ่งใหญ่ให้สิ้นไป!!”
แกว้กกก
ราสคำราออกมาดังลั่น สองปีกของมันกางออกกว้างเพื่อสาดส่องแสงศักดิ์สิทธิ์สลายทุกความมืดทั้งมวลที่อยู่ภายใต้มัน
ความชั่วร้ายทั้งหลายที่เอลดรานได้เรียกมา เมื่อยามต้องกับแสงสว่างนั่นต่างเริ่มสูญสลายไป แม้แต่ตัวของเอลดรานยังต้องยกมือขึ้นมาเพื่อเรียกใช้พลังของไพลินแห่งการเปลี่ยนแปลงเพื่อเร่งสลายพลังศักดิ์สิทธิ์ทิ้งไป
“เหมือนว่าพลังศักดิ์สิทธิ์ของพระเจ้าผู้น่ารังเกียจจะชนะข้าไม่ได้นะ ที่มาถึงก็เพียงแค่แสงสว่างอันริบหรี่เท่านั้น แล้วจะทำอย่างไรต่อล่ะ”
แน่นอนว่าทั้งหมดที่ทำไปก็เพื่อหยั่งเชิงพลังของตัวเขา ดูเหมือนว่าพลังศักดิ์สิทธิ์ของผมเองก็มีถูกกรัดกร่อนได้ด้วยผลของมณีเช่นกัน ยิ่งเข้าใกล้จุดศูนย์กลางเท่าไหร่ก็ยิ่งฤทธิ์อ่อนลงจนเหลือเพียงแสงที่เข้าไปได้
แต่ว่านะ แค่นั้นมันก็พอแล้ว ใช่ พอให้แผนการของผมมันดำเนินการได้อย่างที่ต้องการ
เอาเลยราส ทางสะดวก!!
“จริงอยู่ที่พลังของเรามิอาจผ่านไปถึงได้ ถึงแม้จะด้วยเพราะพลังยังปั่นป่วนจากการปิดผนึกแต่กับวิหคสวรรค์ คุณจะหยุดมันได้เหรอคะ?”
บลัฟมาบลัฟกลับไม่โกง ผมยังคงรักษาสีหน้าของตัวเองให้นิ่งสงบรอยยิ้มอันแสนน่ารักของออโรร่าน้อยก็ยังรักษา แววตายังคงประกายมองเขาอย่างไม่เกรงกลัว… ถึงแม้ข้างในจะร้อนรุ่มอยู่รัว ๆ แล้วก็เถอะนะ!!!
“วิหคสวรรค์คือสัตว์ศักดิ์สิทธิ์ในตำนานที่มีพลังยากหยั่งถึง กับพลังครึ่ง ๆ กลาง ๆ ของคุณ คิดว่าหยุดได้ เราก็ขอดูเช่นกันค่ะ ไปเลยราสเวน”
ผมพยายามพูดกดดันเขาไปเรื่อย ๆ เพื่อพยายามสร้างความสับสนและลดความสามารถในการตัดสินใจของเขาให้มากที่สุดเท่าที่จะทำได้
ลุยเลยนกเรืองแสง ราสเอ๋ย!!!
‘รอบนี้ข้าขอเดิมพันกับเจ้าแล้วนะยัยหนู ข้าเป็นอะไรขึ้นมา วิญญาณข้ามาไล่จิกหัวเจ้าแน่’
รับรองปลอดภัยหายห่วง…. มั้งนะ
สิ้นคำของผม ราสกระพรือปีกของมันพุ่งทะยานออกไปข้างหน้าพุ่งตัวเข้าหาเอลดรานอย่างรวดรเร็ว
เจ้าปีศาจเห็นแบบนั้น แม้มันจะมั่นใจในพลังของตัวเองหรือมณีขนาดไหน แต่สุดท้ายแล้วแรงกดดันจากสารพัดคำพูดที่ผมข่มขู่ก็พอที่จะทำให้มันกังวลใจพยายามเรียกทั้งวิญญาณร้ายหรือเวทน้ำแข็งจำนวนมากพุ่งเข้าจู่โจมใส่ราส
“พระเจ้าผู้ยิ่งใหญ่ แสงของพระองค์นั้นเหนือกว่าผู้ใด สว่างกว่าสิ่งใด ขอแสงนั้นจงสว่างไสวเป็นดั่งแสงที่นำความหวังแก่หมู่มวลผู้ศรัทธา ขอแสงแห่งท่านสลายความมืดอันชั่วช้าให้สิ้น”
แต่ก็อย่างที่รู้กัน ว่าเจ้านกในตำนานที่บินอยู่นี่มันก็แค่ภาพสามมิติบินได้ ไร้ซึ่งแม้แต่ตัวตนให้ไปสัมผัส จะยิงพลังมาจากไหนก็ทะลุผ่านหมด แน่นอนว่าเพื่อความสมจริง มีอะไรที่สามารถจะเพิ่มความอลังการได้ผมก็ไม่คิดจะงก ใส่ได้ใส่หมด
และอีกอย่างที่ผมเริ่มจับทางได้ สิ่งที่พระเจ้าให้มากับพลังของผม คือยิ่งผมอวยหมอนั่นมากเท่าไหร่ พลังมันก็ยิ่งแรงเท่านั้น ถึงฟังจะดูน่าหมั่นไส้แต่หากกลับมุมมอง แม้จะเป็นเวทเล็ก ๆ น้อย ๆ แต่ยิ่งพูดเวอร์เท่าไหร่ นอกจากพลังมันจะแรงแล้วยังได้อีกสิ่งมาด้วย
ความน่าเชื่อถือ… ไม่ได้หมายถึงในฐานะนักบุญ แต่หมายถึงความยิ่งใหญ่ของพลังที่ถูกส่งออกมา ไม่ว่าจะพวกเดียวกันหรือศัตรู หากได้ยินสารพัดบทสวดยาวเหยียดและยิ่งใหญ่ ร้อยทั้งร้อยมันก็ต้องคิดว่าเป็นพลังน่ากลัวอะไรสักอย่างแน่
และด้วยเหตุผลนั้นเอง แม้ตอนนี้ผมกำลังร่ายเวทแค่ทำให้ภาพของเจ้าราสมันเรืองแสงมากขึ้นเฉย ๆ แต่ด้วยคำพูดยาวยืดประดุจบทสวดจากพระคัมภีร์ นอกจากแสงที่สว่างกว่าทั่วไปประดุจเปิดสปอตไลต์ ไม่ว่าพวกเขาจะตีลังกาอ่านหรือฟังอย่างไรก็หลงผิดคิดว่าผมร่ายเวทเสริมพลังขนาดใหญ่ไม่ก็พลังแสงพิฆาตมารอะไรแน่นอน
และด้วยความเข้าใจผิดแบบนั้นเอง นอกจากความศรัทธาอันมากมายจากพวกเดียวกัน อีกสิ่งที่ได้ก็คือ….
ความหลอนของศัตรู
“ต่อหน้าพลังศักดิ์สิทธิ์อันยิ่งใหญ่ของวิหคแห่งสรวงสรรค์ ดูท่าปีศาจในตำนานก็มิอาจทำอะไรได้สินะคะ”
“หึ นี่มันแค่เริ่มต้น พลังของข้าเริ่มฟื้นคืนมาแล้ว ดูซะนี่คือพลังที่แช่แข็งอารยธรรมมากมาย!!”
พายุหิมะเริ่มก่อตัวมากขึ้น พวกมันหมายพุ่งเป้าไปที่เจ้าราส ซึ่งมันก็รู้หน้าที่ของตัวเองดี ทันทีที่เห็นอีกฝ่ายรายเวทมันก็บินขึ้นไปให้เวทที่ยิงมาไม่ทะลุไปโดนพวกเดียวกัน
พลังดูน่าจะแรงอย่างเอลดรานบอก แม้จะอยู่ห่างและมีแวทคุ้มกัน แต่ผมก็สัมผัสได้ถึงไอเย็นมหาศาลที่แผ่ออกมาจากเวททำลายล้างนั่น
นั่นล่ะคือความหลอนของศัตรู ยิ่งคิดมากว่าผมใช้พลังมหาศาลก็ยิ่งหาทางตอบโต้ พอยิ่งตอบโต้แล้วไม่เป็นผลก็ยิ่งงัดสารพัดพลังของตัวเองออกมาเพื่อพยายามเอาชนะจนยิ่งหลอนไปกว่าเดิม
ความอนาถอันแสนน่าเศร้าที่ยิงไปเท่าไหร่ ที่พุ่งเข้าหามันก็แค่ภาพลวงตา ไม่ได้อะไรเพิ่มเติมนอกจากเสียพลังเวทเพิ่มเปล่า ๆ
อนาถแท้ ๆ
“พลังหวนคืนสินะคะ แต่ว่าสิ่งต่อหน้าเมตตาของพระเจ้าผู้ยิ่งใหญ่คุณไม่มีทางทำอะไรได้หรอกค่ะ”
ไม่สนว่าจริงเหรอไม่จริง ผมจัดการพูดสารพัดคำสุดเหยียดยาวประดุจผู้บรรลุทุกอย่างเข้าใส่อย่างจงใจให้เขาเริ่มคิดตามสิ่งที่ผมคิด และหักเหอออกจากความจริงมากที่สุดเท่าที่จะเป็นไปได้
ไม่พูดเปล่าอย่างเดียว ตอนเจ้าพายุน้ำแข็งพุ่งใส่เจ้าราส ผมจัดการร่ายสารพัดเวทเสริมเอฟเฟคมากมายเข้าใส่ราส… เอฟเฟคทำให้ดูดีอย่างเดียวน่ะนะ
เอลดรานเริ่มทำสีหน้าหงุดหงิดใจอย่างเห็นได้ชัด นี่เริ่มแสดงให้เห็นแล้วว่าวิธีการของผมมันได้ผล ตอนนี้เจ้าราสสำหรับเอลดรานแล้วกลายเป็นวิหคสวรรค์ผู้ไร้พ่ายของจริงแล้วแน่นอน
และจังหวะนี้ล่ะที่ผมค่อย ๆ แอบคลื่นเข้าใกล้ซิลวี่ทีล่ะเล็กล่ะน้อยในตอนที่ความสนใจของเขาทั้งหมดถูกเทไปให้กับตัวของราส
เอาล่ะค่อย ๆ เอาล่ะ ทีล่ะเล็กทีล่ะน้อย
ด้วยน้ำหนักอันแสนเบาหวิวของออโรร่า ทำให้ทุกย่างก้าวนั้นไร้ซึ่งเสียงแต่ผมก็ยังต้องเก็บอาการไม่ให้มันดูชัดเจนมากเกินไป ดังนั้นสิ่งสำคัญก็คือ
“เหอะ เอาแต่บินไปมาปราบสมุนปลาซิวปลาสร้อย สุดท้ายเจ้าก็ไม่กล้าเข้ามาปะทะกับข้าตรง ๆ เกรงกลัวสินะ กลัวพลังแห่งไพลินนี่!!”
เอลดรานตะโกนออกมาก่อนหันหน้ามาหาผม ตอนแรกหน้าอาจารย์แกดูโกรธราวกับผมไปแย่งขนมแกมา แต่สักพักรอยยิ้มเริ่มแสยะออกเปลี่ยนมาเป็นยิ้มเยาะ
“ท่าทางพลังของพระเจ้ามีดีเพียงแค่พลังที่ขโมยมา แม้แต่วิหคอันยิ่งใหญ่ยังไม่กล้ามาสู้กับไพลินของข้า”
เหมือนเอลดรานอยากเล่นสงครามประสาทกับผม ทว่าต้องขอโทษด้วยนะที่กระดูกของเรามันคนล่ะเบอร์กัน นายที่หลอนจะสติแตกแบบนี้น่ะ ไม่มีทางสู้ออโรร่าที่ผ่านร้อนผ่านหนาวกับการแสดงเล่นใหญ่หรอกนะ!!
“เช่นนั้นเหรอคะ สงสัยเมตตาที่เรามีให้จะไม่ไปถึงคุณ… ที่ไม่ให้ราสเวนบินเข้าหานั้นไม่ใช่หวาดกลัวแต่เพียงแค่คาดหวัง คาดหวังว่าคุณจะกลับใจ”
ไงล่ะท่านเอลดราน ได้ยินแบบนี้โกรธไหมล่ะ แบบนี้มันเท่ากับบอกว่าแม้แต่นายที่มีพลังแห่งกาลเวลาบวกมาเพิ่มก็ไม่ได้เท่ากับขี้เล็บของราสเลยนะเว้ย
“ไร้สาระ อย่าคิดว่าข้าไม่เห็นนะว่าเจ้ากลัวที่จะเข้ามาหาข้าเช่นกันน่ะ เท้าที่ก้าวมาอย่างหวาดกลัวนั่นมันบอกแล้ว”
นายเห็นแบบนั้นเหรอ!! โคตรเยี่ยมเลย แบบนี้รับรองผมถึงตัวซิลวี่ง่ายกว่าเดิมแน่ ๆ เอาล่ะราส ได้เวลาเล่นใหญ่อีกครั้งแล้ว
“พระองค์เมตตามนุษย์และสรรพชีวิตฉันใด เราเองก็จะเมตตาเช่นเดียวกันกับพระองค์ เช่นนั้นแล้วเราจะแสดงให้คุณดูเองว่าพลังที่แตกต่างนั้นคือสิ่งใด เผื่อคุณจะกลับใจได้ ไปเลยค่ะ..ราสเวน”
ผมยังดำเนินสงครามประสาทต่อไป มือทั้งสองยกขึ้นมาผายไปยังทางของจอมปีศาจแห่งแดนเหนือ ร่างของราสได้บินผ่านเหนือหัวของผมไปอย่างจงใจนัดจังหวะ ปากเริ่มร่ายพลังศักดิ์สิทธิ์สาระพัดอย่างเพื่อสร้างละครฉากกใหญ่ครั้งนี้ให้มันตระการตาที่สุด
“วิหคศักดิ์สิทธิ์แห่งสรวงสวรรค์ อารักษ์แห่งแดนดิน ปีกของเจ้าจักส่องประกายเจิดจ้าตัดผ่านทุกความมืด ร่างของเจ้าจะไม่มีวันมอดดับ ความศักดิ์สิทธิ์ของพระองค์จะเป็นสิ่งนำทางให้เจ้าขจัดหมู่มารทั้งมวลให้หมดสิ้น”
“ร่ายพลังใหญ่ออกมาแล้วสินะ นักบุญ!!!”
ใบหน้าของจอมปีศาจบิดเบี้ยวไปมาอย่างยินดีราวกับทุกสิ่งทุกอย่างได้เป็นดั่งแผนของมัน มันชูไพลินในมือของมันขึ้นมา พลังงานอันบิดเบี้ยวสีดำมืดได้หมุนเวียนไปมาอย่างบ้าคลั่งบ่งบอกถึงพลังของมันที่ใส่ทุกอย่างมาเพื่อปะทะกับราส
อาณาเขตอันบิดเบือนค่อย ๆ ขยายมากขึ้นเรื่อย ๆ กาลเวลาภายในนั้นเริ่มหมุนเวียนวนไปมาอย่างไม่เป็นระเบียบ ชีวิตล้มตาย สิ่งต่าง ๆ ผุพัง จอมปีศาจที่ได้กาลเวลาทุกอย่างในมือมันพร้อมแล้วที่จะใช้ทุกอย่างที่มีเพื่อปะทะกับราส วิหคสวรรค์ ไม่สิ เพื่อปะทะกับผม นักบุญผู้ใช้พลังศักดิ์สิทธิ์ที่ถูกกล่าวขานว่ายิ่งใหญ่ที่สุดตั้งแต่เคยมีมา
ในใจของมันต้องคาดหวังว่าพลังที่ต้องต้านทานจะต้องมากมายมหาศาล ดังนั้นไม่แปลกที่มันจะทุ่มทุกสิ่งอย่างที่มี ทลายทุกขีดจำกัดของตัวเองเพื่อตัดสินกับพลังอันยิ่งใหญ่ที่สุดของนักบุญในตำนาน
แต่ขอโทษด้วยนะ มันก็แค่เวทส่องแสงเท่านั้นน่ะ……
————————
เอาแล้วออโรร่า ปั่นยับ ๆ ปั่นหมด ปั่นกว่านี้ก็เครื่องซักผ้าแล้วล่ะ