ซวยจริง กลายเป็นสาวน้อยไม่พอยังเจอเหล่าเจ้าหญิงของโรงเรียนมาจีบอีก - ตอนที่ 6
ในที่สุดช่วงเวลาของโรงเรียนอันแสนวุ่นวายก็ได้จบลงไป โดยที่ผมตกเป็นเป้าสายตาอยู่ตลอดเวลา ไม่ว่าจะเป็นคุณน้ำที่จ้องสลับไปมาระหว่างพวกเราทั้งสองคนอย่างไม่หยุด กับคุณบีมที่ยิ้มเล็กยิ้มน้อยมองมาที่ผมอย่างมีความสุข
แน่นอน ผมสัมผัสมันได้ สัมผัสได้อย่างชัดเจนเลยถึงสายฟ้าที่ยิงกันของสองคนนี้ จนผมก็ไม่สามารถเข้าใจได้ว่าคนอย่างผมมันมีอะไรให้สองคนนี้สนใจนักหนา….
แต่เรื่องนั้นช่างมันก่อนเถอะ ที่สำคัญคือการกลับบ้านอันแสนสุขของผม แน่นอนว่าที่จริงที่แห่งนี้มันก็มีหอพักสุดหรูให้อยู่แต่เพราะเหตุผลบางอย่าง ทางบริษัทยาจึงได้ขอให้ผมอยู่ที่บ้านพักที่พวกเขาจัดไว้ให้ซึ่งมันก็ไม่มีปัญหาอะไรเพราะว่าบ้านที่ให้มานั้นจัดได้ว่าครบครันทั้งพื้นที่และความสะดวกสบายจริง ๆ
“ว่าไงนะคะ รู้แบบนี้แล้วยังจะกลับบ้านคนเดียวอีกงั้นเหรอคะ?”
เสียงของคุณน้ำดังขึ้นมาขัดตัวผมที่กำลังวางแผนจะกลับบ้าน แน่นอนว่าสาเหตุนั้นมันก็มาจากการที่เธอได้ทราบเรื่องราวทั้งหมดที่เกิดขึ้นระหว่างผมกับคุณบีมเป็นที่เรียบร้อย ดังนั้นมันคงไม่แปลกอะไรที่เธอจะขัดมาแบบนี้
ก็ถึงขั้นเจอมาเฟียเลยอ่ะนะ….
“ไม่ได้ค่ะ… ถ้าเกิดกลับครั้งีน้เจออันตรายอีกจะทำอย่างไรล่ะคะ”
“เรื่องนั้นไม่ต้องห่วง ฉันไปด้วยอยู่แล้ว”
ห๊ะ… เสียงของคุณบีมที่ดังขึ้นมาแทรกบทสนทนาระหว่างผมกับคุณน้ำนั้นทำเอาผมถึงกับชะงักอย่างสงสัย ว่านี่ไปตกลงกับคุณบีมตอนไหนว่าจะกลับบ้านด้วยกัน
“เรื่องนั้นเพราะเป็นคุณบีมถึงต้องยิ่งกังวลไม่ใช่เหรอคะ”
“ว่าไงนะ รู้สึกได้ยินไม่ชัดเลยยัยคุณหนู”
“ให้ย้ำอีกครั้งก็ยังได้นะคะ ก็เป็นเพราะคุณบีมโดนไล่ล่ามา คุณฟ้าถึงได้เข้าไปพัวพันด้วยไม่ใช่เหรอคะ แล้วถ้าเกิดมีคู่อริของคุณมาอีกจะทำอย่างไรล่ะ”
เอาจริง ๆ เห็นสองคนนี้พูดกันแบบนี้แต่ผมก็ทราบมาจากเพื่อนร่วมห้องว่าทั้งคู่สนิทกันพอสมควร เอาง่าย ๆ ว่ารู้จักกันมาตั้งแต่อนุบาล ทว่าความสัมพันธ์เป็นอย่างไรนั้นก็ยากที่จะบอกเพราะส่วนใหญ่มันดันผ่านฟิลเตอร์สาวน้อยนักจิ้นทั้งหลายที่จับคู่สองคนนี้ไปแล้ว
“เรื่องนั้นไม่ต้องห่วง ที่จริงนั่นก็คนของทางบ้านที่แค่มาตามฉันกลับเฉย ๆ ไม่มีแก๊งค์ไหนมมันกล้ามาเหยียบถิ่นของพ่อฉันหรอก”
เอ้า นั่นแค่คนใช้ตามกลับบ้านหรอกเหรอ!!!แล้วทำไมไม่บอก ปล่อยให้ผมกลัวแทบแย่…. ไม่สิ มันไม่ได้ดีขึ้นเลยนี่หว่า ก็เพราะว่าดันไปขวางการกลับบ้านไปพบกันของพ่อลูกแบบนี้ อ่าวอันดามันคงอยู่ไม่ไกลเกินเอื้อมแน่ฟ้าเอ๋ย
“ถึงแบบนั้นก็ยังอันตรายอยู่ดีค่ะ… คุณฟ้าคะ กลับกับเราก็ได้นะคะเดี๋ยวเราให้คนขับรถไปส่ง”
“งั้นรถฉันยิ่งปลอดภัยเลย บอกแล้วว่าไม่มีใครกล้ายุ่งในถิ่นขอป๋าฉันหรอก”
“งั้นเหรอคะ โดนวางระเบิดขึ้นมาระหว่างกลับจะทำอย่างไรกันล่ะคะ”
เด็กสาวผมสีทองพูดออกมาด้วยท่าทางเป็นกังวลในขณะที่มือทั้งสองข้างก็กุมมือของผมไว้แน่นประดุจไม่อยากให้มันหายไปไหน
“นี่ปากเหรอนั่น แช่งกันได้นะยัยน้ำ”
คุณบีมจ้องเขม็งไปยังคุณน้ำที่ตอนนี้ยิ้มกลับคืนไปแบบไม่รู้ร้อนรู้หนาวด้วยรอยยิ้มนางฟ้าพิมพ์ใจ
“ไม่ได้แช่งนะคะ ทั้งหมดเราคิดถึงความปลอดภัยของคุณฟ้าค่ะ….. อีกอย่างรถของเราที่บ้านเราน่ะนั่งสบายนะคะ เป็นรถไฟฟ้ารุ่นใหม่จากอเมริกา ทั้งเบาะนุ่มแล้วก็ไม่มีมลพิษด้วยค่ะ”
“รถไฟฟ้างั้นเหรอ….”
ผมพูดทวนคำของเธอระหว่างที่ในหัวกำลังคิดภาพตาม ซึ่งช่วงนี้ก็ได้ยินเหมือนกันว่าเทรนรถไฟฟ้ากำลังมาแรงเหมือนกัน แถมพวกส่วนเสริมต่าง ๆ ก็ทำเอาให้รู้สึกเหมือนอยู่ในโลกอนาคต
“น่าสนใจอยู่นะ”
“ใช่ไหมล่ะค่ะ เพราะฉะนั้น….”
“วันนี้เหมือนคนใช้ที่บ้านจะขับเบนซ์มารับนะ ตัวทอปรุ่นใหม่เลยด้วย”
จู่ ๆ บีมก็พูดขัดขึ้นมาทำเอาน้ำชะงักไปชั่วขณะ ซึ่งนั่นเองที่ทำให้ผมรู้ได้ว่าสงครามมันกำลังจะเริ่มขึ้นแล้ว
ผมได้แต่ยืนเก้ ๆ กัง ๆ อยู่ตรงกลางระหว่างสองสาวที่ตอนนี้เหมือนจะเปิดศึก และถึงแม้ว่าใบหน้าของพวกเธอจะยังคงมีรอยยิ้มสดใส แต่พลังงานบางอย่างกลับทำให้บรรยากาศรอบ ๆ เย็นเยือกเหมือนกับกำลังอยู่ในเขตสงคราม!
“แหมแต่ถึงแบบนั้นมันก็ยังมีควันดำไม่ดีต่อปอดคุณฟ้านะคะ คุณฟ้าคะ..เรานั่งรถไฟฟ้าด้วยกันเถอะค่ะ ไปได้อย่างสบายใจไม่มีควันดำ ไม่มีเสียงดังรบกวน แถมรุ่นใหม่นี้ยังติดระบบฟอกอากาศอย่างดี รับรองว่า PM2.5 ไม่มีทางทำอะไรคุณได้แน่นอน”
บีมที่ยืนพิงอยู่กับกำแพงพ่นลมหายใจออกมาเบา ๆ ก่อนจะยิ้มอย่างมั่นใจ
“อ๋อเหรอ แต่รถเบนซ์ตัวท็อปที่บ้านฉันน่ะ มีระบบกันกระเทือนระดับไฮเอนด์ นุ่มราวกับนั่งอยู่บนเมฆ และยังมีโหมดออโตไพลอตที่จะทำให้การเดินทางของฟ้าเป็นเหมือนการบินผ่านกลุ่มดาว น่าสนใจกว่ามั้ยล่ะ?”
สายฟ้าแลบแรกพุ่งปะทะกันกลางอากาศ… ผมรู้สึกได้เลย! แต่ทั้งคู่ยังคงยิ้มกันเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น
“ระบบไฮเอนด์เหรอคะ? แหม…แต่ว่าก็ยังมีเสียงดังอยู่ดีนี่คะ แบบนี้คุณฟ้าที่เหนื่อยมาทั้งวันจะพักผ่อนได้อย่างไร ด้วยระบบของรถไฟฟ้าแล้วมันจะทำให้คุณฟ้าไม่ต้องเจอเสียงรบกวนอะไรอย่างแน่นอน”
โอ้โห… นี่อะไร… โฆษณาขายรถเหรอ อวดสรรพคุณกันไม่หยุดเลย
“เห้อยัยบ๊องรุ่นใหม่น่ะเขามีระบบกันเสียงแล้ว และรู้ไหมว่ารถเบนซ์ตัวท็อปของฉันน่ะ ยังมีที่นั่งปรับเอนนอนได้สบายดุจเตียงราคาล้านกว่า ฟ้าน่ะจะได้พักเต็มที่หลังจากเรียนทั้งวัน ไม่ต้องนั่งตัวเกร็งแบบในรถแคบ ๆ ของไฟฟ้าเลยล่ะ”
“แหม… แต่รถที่บ้านเราน่ะนอกจากจะเป็นไฟฟ้าแล้ว ยังเป็นรุ่นลิมิเต็ดที่มีระบบนวดหลังด้วยนะคะ ฟ้าจะได้นวดไปผ่อนคลายไประหว่างทาง ไม่ต้องกลัวเมื่อยล้าเลยค่ะ”
นี่รถยนต์หรือว่าอะไร ทำไมมันใส่ของครบคันขนาดนี้ ไอ้ผมที่เคยนั่งรถยนต์ราคาถูกตอนอยู่ที่ต่างจังหวัดกับพ่อแม่ไม่มีทางนึกถึงอะไรแบบนี้ได้แน่นอน
บีมยิ้มกว้างขึ้นอย่างไม่ยอมแพ้ “แล้วถ้าฉันบอกว่ารถเบนซ์ของฉันมีทีวีจอใหญ่ติดตั้งไว้ที่เบาะหลังล่ะ รู้ไหมว่าฟ้าน่ะชอบดูซีรีส์มาก…แบบนี้ฟ้าก็สามารถดูหนังหรือซีรีส์ได้ทุกเรื่องที่ชอบระหว่างเดินทาง ไม่มีอะไรดีกว่านี้อีกแล้วล่ะ จริงไหม?”
ผมแค่จะกลับบ้านเอง ทำไมมันถึงต้องซับซ้อนขนาดนี้ด้วย!
น้ำยังไม่ยอมแพ้ เธอหัวเราะเบา ๆ พร้อมทั้งยิ้มออกมาด้วยรอยยิ้มนางฟ้าประจำตัว
“แหม กับแค่หน้าจอดูหนังดูซีรีย์ทำไมรถไฟฟ้าของเราจะไม่มีล่ะคะ นั่นเรื่องพื้นฐานเลยนะ พูดถึงซีรีย์ รถเราน่ะเชื่อมต่อทุกแพลตฟอร์ม คุณฟ้าอยากดูอะไรก็ดูได้แบบไม่มีข้อจำกัดเลยค่ะ”
“อ้อเหรอ.. แต่พอดีรถบ้านฉันมีระบบสั่งการด้วยเสียงน่ะนะ แบบนี้ฟ้าอยากจะนอนแล้วสั่งเปลี่ยนช่องได้แบบไม่ต้องกลัวว่าจะมีอะไรมาขัดความสุขเลยนะ”
“แต่รถของเรามีระบบเอไอค่ะ แค่ฟ้าพูดมันก็จัดลิสทั้งหมดที่คุณฟ้าชื่นชอบได้แล้ว”
ผมได้แต่ยืนอึ้ง… นี่มันอะไรกัน ผมแค่จะกลับบ้านนะ! แล้วรถยนต์มันกลายเป็นยานอวกาศกันตั้งแต่เมื่อไหร่!
ปล่อยไว้ไม่ดีแน่ ถ้าเกิดผมกลายเป็นต้นเหตุให้สองคนทะเลาะกันจนเรื่องไปถึงหูผู้ปกครอง รับรองว่าผมได้ถูกผ่าครึ่งไปโยนอ่าวอันดามันกับอ่าวไทยแน่นอน….. เพราะฉะนั้น
สุดท้ายผมก็ทำใจกล้าพูดออกมาเบา ๆ
“เอ่อ… ขอบคุณทั้งคู่มากเลยนะ แต่…”
ทั้งสองคนหันมามองผมพร้อมกันด้วยสายตาที่เต็มไปด้วยความคาดหวัง ผมรู้สึกเหมือนตัวเองอยู่ท่ามกลางสายฟ้าที่พร้อมจะผ่าใส่ผมได้ทุกเมื่อ
“…เราคิดว่าเดินกลับเองก็ดีเหมือนกันนะ…”
แล้วผมก็วิ่งหนีทันที!
“ฟ้า/คุณฟ้า!!…….เพราะเธอ/คุณเลย”
มีเสียงดังมาตามท้ายของทั้งสองคนที่ดูเหมือนน่าจะยังเถียงกันไม่เลิกแต่ว่าผมก็ไม่รับรู้และติดเกียร์หมาวิ่งออกนอกโรงเรียนโดยพลัน แต่ด้วยแรงที่มีอันน้อยนิดวิ่งไปเพียงครู่เดียวก็หอบจับจนสุดท้ายก็ได้กระโดดขึ้นแท็กซี่กลับบ้าน
นี่ก็เป็นอีกเหตุผลหนึ่งที่ผมไม่อยากให้ทั้งสองคนมาส่ง เพราะว่าบ้านนี้นั้นเป็นบ้านของทางบริษัทและก็เป็นผมอยู่คนเดียว ขืนสองคนนั้นมาด้วยรับรองได้ว่ามีถามไถ่จนผมต้องหาข้ออ้างสารพัดจนปวดหัวแน่ ๆ
“กลับมาแล้วเหรอครับ คุณณัฐ… ไม่สิ คุณฟ้า”
เสียงอันแสนคุ้นเคยเสียงหนึ่งดังขึ้นมาพร้อมกันก็ปรากฏร่างเงาทั้งสองที่อยู่ข้าง ๆ ซึ่งทั้งสองนั้นไม่ใช่ใครอื่นใด แต่เป็นคุณประธานบริษัทกับคุณเลขานั่นเอง
“นี่พวกคุณ….. มาที่นี่ทำไมเนี่ย”
“แหม อยากจะมาดูสารทุกข์สุขดิบของคนที่เราต้องดูแล มันก็เป็นธรรมดาอยู่แล้วไม่ใช่เหรอครับ แล้วเป็นอย่างไรบ้างล่ะครับกับการเรียนสองวันแรก”
“วุ่นวายสุด ๆ”
แค่คิดย้อนหลังไปก็แทบรู้สึกเหมือนผ่านสมรภูมิจำนวนมากมา แต่นั่นล่ะ สุดท้ายก็รอดมาได้
“งั้นเหรอครับเนี่ย.. แต่ก็แปลว่าคุณปรับตัวได้ดีเหมือนกัน แล้วมีอะไรรู้สึกผิดปกติบ้างไหมครับอย่างมีไข้ ครั่นเนื้อครั่นตัว พะอืดพะอม”
“ไม่มีนะ นอกจากหวิว ๆ ตอนใส่กระโปรงแล้วนอกนั้นก็ธรรมดาหมด”
“งั้นก็ดีครับ เราจะได้มาคุยธุระของเราจริง ๆ สักที”
“ธุระงั้นเหรอ?”
ทันทีที่ถามไปแบบนั้น ท่านประธานก็ขยับแว่นดำของเขาขึ้นจนมันส่องประกายประดุจพวกบอสใหญ่ที่กำลังมีแผนการร้ายบางอย่าง จากนั้นเขาก็ค่อย ๆ พูดเรื่องที่ผมอยากได้ยินที่สุดออกมา
“ใช่ครับ เราจะมาคุยเรื่องยาที่จะทำให้คุณกลับสู่เพศชายได้ไงล่ะ”