ช่วยทีครับ ใจผมรับคุณมาเฟียไม่ไหว - ตอนที่ 12
“เอาไป”
“ผะ…ผมไม่ต้องการ…อะไรเลยจริง ๆ”
“ฉันคิดว่าไม่น่ามีอะไร แต่ก็ไม่รู้สินะ นายแค่ไม่อยากได้อะไรจากฉันจริง ๆ งั้นเหรอ หรือว่านี่นายกำลังดูถูกฉันต่อหน้าต่อตาตรงนี้เลยอย่างนั้นใช่ไหม”
ใครมันจะไปตอบว่าใช่กับคำถามนี้ของคามินสกีได้ล่ะ ถ้าเป็นคนใหญ่คนโตในเอฟบีไอ ซีไอเอ ซีเอสเอส หรืออะไรทำนองนั้นอาจตอบได้ แต่อึนฮันเป็นแค่คนธรรมดา ๆ คนหนึ่ง ไม่ได้มีอำนาจบาตรใหญ่ถึงขนาดนั้น เขารีบส่ายหน้า แม้จะพูดโกหกออกไปไม่ได้ แต่ก็พยายามใช้ท่าทางปฏิเสธเต็มที่ เมื่อเห็นอึนฮันพยายามยืนยันว่าไม่ใช่ถึงขนาดนั้น คามินสกีก็อารมณ์ดีขึ้นทันตา แล้วช่วยประคองอึนฮันลุกขึ้นพลางบอกให้ออกไปด้วยกัน เขาไม่ได้อยากลุกขึ้นเลยสักนิด แต่ก็จำต้องยืดตัวขึ้นตามแรงของอีกฝ่าย
“วาซยา”
นีโคไลเรียกด้วยเสียงที่หนักขึ้นเล็กน้อยราวกับรู้ถึงความนัยในคำพูดของคามินสกี
“ถึงยังไงเขาก็ไม่ใช่คนของเรา มันก็…”
คามินสกีปรายตามองนีโคไล อีกฝ่ายจึงได้แต่ตอบว่า
“ขอโทษที ผมพูดมากไปหน่อย” ก่อนที่เขาจะยอมถอยไป
โอ๊ย อย่าถอยสิครับ อึนฮันให้กำลังใจนีโคไลอยู่ในใจ แต่เมื่ออีกฝ่ายยอมถอยอย่างง่ายดาย เขาก็รู้สึกเหมือนถูกหักหลัง คามินสกีคว้าข้อมืออึนฮันมาจับไว้ เขาพยายามดึงมือออก แต่ชายหนุ่มก็จับไว้แน่นเหลือเกินจนความพยายามนั้น จบลงอย่างไร้ค่าราวกับกระสุนด้านใช้งานไม่ได้ คามินสกีเริ่มออกเดินทั้งที่ยังจับมืออึนฮันไว้เช่นนั้น ทำให้เขาจำต้องตามหลังไปอย่างช่วยไม่ได้ แต่ขณะที่เดินผ่านนีโคไล อีกฝ่ายก็แอบกระซิบเสียงเบา
“ทำตามที่วาซยาสั่งเถอะ”
สั่งอะไรล่ะ อะไรกันเนี่ย
อึนฮันหันกลับไปมองนีโคไลอย่างตกใจ ทว่าชายวัยใกล้ห้าสิบกลับเอาแต่โบกมือบอกให้กลับบ้านดี ๆ อย่างน้อยก็ควรจะบอกเขาบ้างสิว่ามันเรื่องอะไรกัน บอกแต่ให้ทำตามคำสั่งนี่ยิ่งน่ากลัวกว่าเดิมอีก อึนฮันกะพริบตาปริบ ๆ นีโคไลเพิ่งบอกว่ามีใครบางคนตั้งใจจะฆ่าเขา แล้วนี่เขายังใจลอยจนโดนคามินสกีกอดเป็นเด็กแบเบาะแบบนั้นอีก! ทุกอย่างมันเกินขีดจำกัดของเขาไปแล้ว พอคิดว่าหลังจากนี้อาจจะมีอะไรเกิดขึ้นอีก หัวใจก็เจ็บปวดรวดร้าวราวกับถูกบีบ วันนี้มันเกินพอแล้ว เพราะงั้นปล่อยผมกลับบ้านเถอะครับ ที่บอกว่ามีนัดนั่นผมไม่ได้โกหกเลยนะ ระหว่างที่อึนฮันกู่ก้องร้องตะโกนคำที่ไม่อาจพูดอยู่ในใจซ้ำไปซ้ำมา พวกเขาก็มาถึงหน้าประตูเหล็กบานหนึ่งพอดี ตรงหน้าประตูเหล็กที่มองอย่างไรก็ไม่น่าไว้วางใจนั้นมีเครื่องสแกนลายนิ้วมืออยู่ด้วย ดูจากที่คามินสกีต้องทาบมือลงไปเพื่อสแกนลายนิ้วมือและยังต้องใส่รหัสผ่านอีก อึนฮันก็นึกอยากจะวิ่งหนีขึ้นมา ไม่ว่าจะมองมุมไหน ที่นี่ก็ไม่ใช่ที่ที่เขาควรเข้าไปเลย เพราะหากเข้าไปคงจะต้องทำให้เขาออกมาจากอุ้งมือของคามินสกีได้ยากกว่าเดิมแน่
“คะ…คุณคามินสกี”
ในที่สุดอึนฮันก็เอ่ยเรียกคามินสกี ชายหนุ่มหันมามองอึนฮันแทนที่จะเปิดประตู
“มะ…มันอาจจะฟังดูอวดดี ตะ…แต่ผมว่าห้องนี้มัน เอ่อ…”
“ฉันไม่ได้จะขังนายไว้ที่นี่สักหน่อย ยุน ไม่ต้องกังวล”
คำพูดคามินสกีทำเอาเลือดทั้งตัวของอึนฮันแทบเหือดแห้ง ความเป็นไปได้อีกอย่างหนึ่งที่เขาคิดไม่ถึงพลันผุดขึ้นมา ถ้าคามินสกีไม่พูด เขาก็คงไม่คิดแบบนั้นหรอก อึนฮันยิ่งกลัวจึงข่มความกังวลเอาไว้แล้วพูดตะกุกตะกักออกไป
“ผะ…ผม…ก็แค่…แค่นักฟอกเงินธรรมดา ๆ เองครับ ผม…ไม่รู้ว่าที่นี่คือที่ไหน แต่ผมว่ามันไม่เหมาะจะให้ผมเข้าไปสักเท่าไรนะครับ คุณคามินสกีได้โปรดยกโทษให้…โอ๊ย!”
อึนฮันรวบรวมความกล้าตลอดหนึ่งปีพูดออกไป แต่คามินสกีก็ยังเข้าไปข้างในประตูเหล็กนั้นด้วยสีหน้าขบขันแล้วดึงอึนฮันตามเข้าไปด้วย เขาซวนเซจะล้ม คามินสกีช่วยจับเขาที่เกือบจะหน้าทิ่มให้กลับมายืนตัวตรงได้อีกครั้ง ทว่าอึนฮันกลับใช้เวลาระหว่างที่ท่อนแขนแข็งแรงช่วยประคองตนอยู่มองสำรวจไปรอบห้องเล็ก ๆ อย่างตกตะลึง
“พระเจ้าช่วย”
อึนฮันพึมพำอุทานออกมาเป็นภาษาบ้านเกิด คนเราเมื่ออยู่ในอารามตกใจก็มักจะหลุดภาษาแม่ออกมาอยู่ร่ำไป
ห้องขนาดเล็กที่ได้รับการคุ้มกันแน่นหนาจากประตูเหล็กนี้คือห้องจัดแสดง ภายในห้องมีปืนอยู่มากมายเต็มไปหมดตั้งแต่ขนาดเล็กไปจนถึงขนาดใหญ่ อึนฮันที่ไม่รู้เรื่องอะไรเกี่ยวกับปืนเลยสักอย่างย่อมไม่มีทางแยกออกว่าชนิดไหนเป็นชนิดไหน แต่สิ่งหนึ่งที่เขามั่นใจคือปืนเหล่านี้ล้วนเป็นปืนที่พ่อค้าอาวุธอย่างคามินสกีขายอยู่ทั้งสิ้น และห้องนี้คือหลักฐานที่พิสูจน์ว่าคามินสกีคือพ่อค้าอาวุธจริงแท้แน่นอน เพราะเขาไม่มีใบอนุญาตให้ครอบครองปืนมากขนาดนี้แน่
เมื่อเห็นอึนฮันไม่พูดอะไร คามินสกีก็หยิบปืนที่อยู่ใกล้ที่สุดขึ้นมา
“เอเอ็นเก้าสิบสี่ หรือ อะบากัน เป็นปืนไรเฟิลจู่โจม น้ำหนักไม่ถึงสี่กิโลกรัม บรรจุกระสุนได้มากสุดหกสิบนัด ความเร็วในการยิงแตกต่างไปตามวิธีที่ใช้ แต่ในกรณียิงแบบอัตโนมัติคือหกร้อยนัดต่อนาที ใช้กราดยิงได้ดีมาก”