ชีวิตใหม่ในดราโทก้า ดินแดนมังกร - ตอนที่ 73: ภาค 3 ตอนที่ 18 ไม่มีใครอยากยอมแพ้ทั้งนั้น
- Home
- ชีวิตใหม่ในดราโทก้า ดินแดนมังกร
- ตอนที่ 73: ภาค 3 ตอนที่ 18 ไม่มีใครอยากยอมแพ้ทั้งนั้น
ในกลางดึกขณะที่ฉันกำลังนั่งทำงานอยู่ในปราสาท ก็มีเสียงเคาะหน้าต่างที่คุ้นเคยทำให้ฉันลุกพรวดขึ้นอย่างรวดเร็ว
“เคียร่าตอบกลับมาแล้ว!!”
ฉันตะโกนออกมาโดยไม่ปิดบังความดีใจเอาไว้แม้แต่น้อย เร็วกว่าที่คิดไว้มากเลยแฮะ แต่มันไม่สำคัญหรอก!! สำคัญแค่ว่าตอนนี้เคียร่าตอบกลับมาแล้ว!!
ฉันรีบเปิดหน้าต่างออกให้แฟลชกระโดดเข้ามาในห้องของตัวเอง ก่อนที่จะเริ่มเอาซองจดหมายขึ้นมาเปิดอ่านอย่างตื่นเต้น…แต่แล้ว สีหน้าของฉันก็ค่อย ๆ ตึงเครียดขึ้นเมื่อได้อ่านข้อความด้านใน
“ปืน?”
อาวุธบางอย่างที่ยิงก้อนเล็กออกมาได้? ไม่เข้าใจเลยแฮะถึงจะมีรูปที่เคียร่าวาดแนบมาด้วยก็เถอะ ของแบบนี้จะมีพลังทำลายล้างได้ขนาดนั้นเลยรึไงนะ?
แต่ความจริงที่กองทัพของฟาเรเรียโดนอาวุธนี่บี้จนเละก็ยังไม่เปลี่ยนแปลง แต่เรื่องของเดเวียเหรอ…ไม่ได้ใส่ใจเลยแฮะ เท่าที่จำได้ก็แค่ประเทศที่เหม็นของหนืดสีดำคลุ้งไปทั่ว แล้วก็ของอำนวยความสะดวกนิดหน่อยอย่างอะไรนะ…เครื่องปั๊มน้ำ? น่าจะใช่ ตอนที่อยู่ในกองคาราวานเหมือนเคยได้ยินคุยกันว่ากำลังพัฒนาขั้นต่อไปของเครื่องที่ว่านั่นอยู่ เกี่ยวกับเรื่องนี้รึเปล่านะ
อืมมม ไม่รู้อะไรเลยแฮะ ยิ่งข่าวเกี่ยวกับอาวุธนี่ก็เงียบมากคงเป็นข่าววงในแหละนะ ถ้าอยากรู้ก็…ฉันอ่านสิ่งที่เขียนต่อในจดหมาย นั่นคือสิ่งที่เคียร่าจะทำเพื่อรู้ข้อมูลพวกนั้น ไปตามสืบนั่นเอง
“…แฟลช ช่วยไปเรียกโบลให้หน่อยสิ”
“กรร…”
เข้าส่งเสียงร้องออกมาอย่างเหนื่อยหน่ายทันทีเมื่อได้รับหน้าที่ต่อ ซึ่งฉันก็ได้แต่ยิ้มแห้งแล้วยื่นมือไปลูบหัวเขาเบา ๆ พักหลังมานี้พอสนิทกันมากขึ้น แฟลชก็เริ่มแสดงท่าทีเป็นกันเองแบบนี้ออกมาแต่ก็ยังทำงานให้อย่างขยันขันแข็งอยู่ดี
ว่าแล้วเจ้าตัวก็ออกบินไปอีกครั้งทำให้ในห้องเหลือแค่ฉันคนเดียวอีกรอบ จากที่เล่าเคียร่ากับริเกลเคยโดดเข้าไปกลางสนามรบแล้วสินะ ถ้างั้นจะให้ไปเป็นสายสืบนี่ไม่ไหวหรอก ฟัวกราเห็นแบบนั้นก็โหดเอาเรื่อง ขนาดตอนที่ฉันกับพระสันตะปาปาติดต่อกันยังจับได้เลย ดังนั้นการที่เธอจะมาสืบก็เป็นเรื่องยาก
เพราะงั้นแล้ว…
“มีอะไรงั้นเหรอ?”
ในขณะที่กำลังเริ่มเขียนจดหมายอยู่นั้น โบลก็เดินเข้ามาพร้อมกับแฟลชที่เกาะไหล่เขาอยู่ ฉันจึงมองไปที่เขาและเริ่มทบทวนความคิดในหัวอีกครั้ง ก่อนจะตอบกลับไป
“มีเรื่องอยากให้ทำหน่อยน่ะ”
———————– ————————
ณ ราชวังฟาเรเรีย
“เท่านี้ก็ ฮึบ–”
ฉันโยนดินสอในมือลงไปบนโต๊ะแล้วยืดเส้นยืดสายตัวเองหนหนึ่ง เท่านี้ก็เสร็จแล้ว หลังยืดตัวพอให้รู้สึกสบายขึ้นมาหน่อยหนึ่ง ฉันก็มองไปยังโต๊ะทำงานของตัวเองอีกรอบ ถึงปกติจะจัดให้ดูเป็นระเบียบตลอดก็เถอะ…
“คงต้องต่อด้วยการเก็บกวาดยกใหญ่ล่ะนะ”
ด้านหน้าฉันตอนนี้คือกระดาษจำนวนมากที่มีทั้งกระจัดกระจายไปทั่ว หรือไม่ก็ปักไว้กับผนังเพื่อให้มองง่าย และทั้งหมดนี้…คือข้อมูลโครงสร้างของปืนที่ฉันนั่งวิเคราะห์มาตลอดทั้งสัปดาห์
ถึงแม้ว่าฉันจะรู้จักแล้วก็มีภาพจำจากโลกเก่าอยู่บ้างก็เถอะ แต่ไม่มีอะไรรับประกันได้ว่าในต่างโลกนี่ทุกอย่างจะเหมือนเดิม ฉันเลยตัดสินใจแยกส่วนทั้งหมดของปืนแล้วนั่งดูทีละชิ้น ทั้งวัสดุที่ใช้ทำแล้วก็คาดเดาวิธีการผลิต
นี่คงเป็นข้อมูลที่คนอื่นอยากรู้มากที่สุดถึงแม้จะกู้สถานการณ์ปัจจุบันไม่ได้เลยก็ตาม อย่างน้อยถ้าได้รู้จักบ้างคงดีกว่าไม่รู้อะไรเลยแล้วต้องไปสู้ซึ่ง ๆ หน้า แบบครั้งก่อนที่พวกราชาเจอก็ไม่แปลกที่จะขวัญกระเจิงแบบนั้น…ก็หวังว่าจะช่วยได้ล่ะนะ
ว่าแล้วฉันก็รวบรวมเอกสารเพื่อทำเป็นรายงานให้หัวหน้าส่งต่อไปถึงราชา ซึ่งก็ใช้เวลาอยู่พักใหญ่กว่าจะเรียบร้อย จากนั้นก็ลุกขึ้นจากเก้าอี้เดินออกจากห้องพักอัศวินที่อยู่ข้างวังไป
แล้วในระหว่างที่ฉันกำลังเดินเข้าไปในเขตราชวังนั้น ก็ได้เจอเข้ากับ…
“สวัสดิ์ดีตอนบ่ายค่ะท่านมารีน”
“อะ อืม…สวัสดีตอนบ่ายค่ะ ออกมาจากห้องได้แล้วเหรอคะ”
หาได้ยากที่มารีนจะดูกระวนกระวายแถมพอโดนทักก็สะดุ้งโหยง จนต้องใช้พัดมือคู่กายมาปิดบังใบหน้าตื่นตูมของตัวเอง แล้วถามออกมากลบเกลื่อนทั้งแบบนั้น
จะว่าไปช่วงที่ผ่านมาฉันก็ไม่ได้ออกมาจากห้องเลยนี่เนอะ ดีหน่อยที่มีคนเอาข้าวกับน้ำเวียนมาให้ตามเวลาที่หน้าห้อง
“ริเกลเองก็ดูสงบใจไม่ได้เลยเช่นกัน อย่าลืมไปให้เธอเห็นหน้าด้วยนะคะ”
หวา เอาแต่หมกตัวอยู่กับปืนจนลืมเรื่องนั้นไปเลย…คงต้องเตรียมหาอะไรให้ริเกลอารมณ์ดีขึ้นด้วยล่ะนะ แต่ก็คงเป็นหลังเอารายงานไปให้หัวหน้าก่อน
“แล้วท่านมารีนมาทำอะไรตรงนี้เหรอคะ?”
ที่ฉันถามออกไปแบบนี้เพราะว่าตรงนี้เป็นช่องต่อระหว่างราชวังกับที่พักของทหาร ดังนั้นลูกคุณหนูอย่างเธอคงไม่มีธุระอะไรต้องมาแถวนี้แน่ และพอเธอรู้ว่ากลบเกลื่อนต่อไม่ได้แล้วจึงหลบตาพร้อมทั้งถอนหายใจมาเล็กน้อย
“ฉันรอกองทัพที่เจ้าชายแวร์มิลต้องกลับมาด้วยอยู่น่ะค่ะ”
“เอ๊ะ ยังกลับมาไม่ถึงอีกเหรอคะ”
ฉันเปิดตากว้างแล้วถามออกไปแบบนั้น ถึงจะเข้าใจก็เถอะว่าเดินเท้ามันช้ากว่าบิน แต่ว่านี่ก็ผ่านมาเกินสัปดาห์หนึ่งน่าจะถึงได้แล้วนะ ยิ่งเป็นขากลับที่เหลือน้อยมากแล้วด้วย…
“เป็นห่วงสินะคะ”
“ค่ะ…ตั้งแต่วันที่คุณเคียร่ากลับมาก็หยุดคิดเรื่องเลวร้ายไม่ได้เลยค่ะ”
“ไม่เป็นไรค่ะ เชื่อในตัวเจ้าชายสิคะ ว่าพวกเขาจะกลับมาอย่างปลอดภัย”
ฉันเดินเข้าไปลูบหลังของมารีนอย่างอ่อนโยนเพื่อเป็นการปลอบใจ เธอเองแม้จะยิ้มกลับมาให้เพื่อบอกว่าตนเองไม่เป็นไร แต่ฉันก็รู้จักกับเธอมาพอที่จะรู้ว่าในดวงตานั้นแฝงไปด้วยความเศร้า ก่อนที่เราทั้งคู่จะแยกกันตรงนั้นเลย
ฉันตรงไปยังห้องทำงานของหัวหน้า ที่ตอนนี้ทำงานวุ่นแทนในส่วนของแม่ทัพที่เสียไปจึงอยู่ในราชวัง และเมื่อไปถึงก็ส่งรายงานให้กับเขาทันที
“อืม…เป็นแบบนี้นี่เอง ภายในเวลาไม่นานได้ขนาดนี้ถือว่าน่าชื่นชมมาก”
“ค่ะ ส่วนข้อมูลของประเทศเดเวียนั้น…ฉันมีเรื่องอยากจะปรึกษากับหัวหน้าค่ะ”
“หืม…”
ฉันกลั้นใจอยู่พักใหญ่เพื่อเป็นการทบทวนว่าควรจะพูดออกไปดีไหม ถ้าหากเป็นในโลกก่อนฉันคงไม่คิดจะพูดสิ่งที่คิดได้ให้ใครฟังแน่ เพราะตั้งแต่เสียพี่สาวไปก็คือว่าต้องทำทุกอย่างด้วยตัวคนเดียวมาเสมอ แต่ว่า…ถ้าเป็นที่นี่ ฉันคงเสี่ยงที่จะเชื่อใจคนอื่นได้สินะ
“คือว่า เรื่องที่ฉันอยากจะปรึกษา…”
หลังจากคุยเรื่องนั้นกับหัวหน้าเสร็จฉันก็ขอตัวออกมาจากห้อง…ถึงจะคุยกันนานไปหน่อย แต่ก็ถือว่าไปได้สวยแหละนะ ฉันถอนหายใจออกมาอย่างโล่งใจก่อนจะเดินกลับไปทางเดิม เพื่อมุ่งหน้าไปหาริเกลก่อนเป็นอย่างแรก
‘กึก กึก กึก’
ในขณะที่กำลังเดินอยู่นั้นเอง ก็ได้ยินเสียงรถม้าดังนั้นมาแต่ไกล…ดูท่าทางวุ่นวายหน่อยแฮะ ว่าแล้วฉันก็รีบก้าวเท้าออกไปเพื่อดูว่าเป็นเสียงอะไร และก็เป็นไปตามคาด กองทัพที่เจ้าชายอยู่กลับมากันแล้ว…ด้วยสภาพสะบักสะบอมสุด ๆ
เจ้าชายที่ลงมาจากรถม้าคันหนึ่งก็ชี้นิ้วและพูดสั่งการอย่างหนักแน่น ดูเหมือนไม่ได้เจอกันครั้งเดียวบรรยากาศเขาจะดูเปลี่ยนไปจากเดิมเล็กน้อย
และในสายตาของฉัน ก็เห็นมารีนที่เฝ้ารอเจ้าชายอยู่เดินไปหาเขาด้วยความเป็นห่วง แต่ว่า…เจ้าชายแวร์มิลยกมือขึ้นดันไหล่ของมารีนออก แล้วเดินตรงออกมาจากเธอราวกับไม่เห็นอยู่ในสายตา มุ่งหน้าไปทางที่พักของทหาร…
“แวร์มิล…”
ฉันที่เดินเข้าไปใกล้ขึ้นได้ยินเสียงพึมพำมาจากมารีนที่ถึงแม้ว่าจะโดนทำแบบนั้นใส่ ใบหน้าของเธอกลับเต็มไปด้วยความเป็นห่วงมากกว่าเดิม ราวกับไม่รู้สึกโกรธเคืองที่เขาทำท่าทีแบบนั้นใส่แม้แต่น้อย
แต่ถึงกระนั้นเธอก็ไม่กล้าที่จะเดินไป ทำได้แค่ยืนมองอย่างกล้า ๆ กลัว ๆ ที่จะถาม…ฉันจึงเดินเข้าไปจับที่ไหล่ของเธอ
“ถ้าเป็นฉัน เจ้าชายน่าจะพูดได้อย่างสบายใจมากกว่านะคะ”
“…นั่นสินะคะ ต้องรบกวนคุณด้วยนะคะ”
“เล็กน้อยค่ะ ฉันก็แค่ทำหน้าที่เพื่อนเท่านั้นเอง”
พูดจบฉันก็เดินจากมารีนมาและเหลือบไปมองทางรถม้า ที่โอเรลกำลังอุ้มไข่มังกรวารีลงมา…เอ๊ะ ทำไมมันมีแค่ฟองเดียวล่ะ?
———————– ———————
‘ฮึ่ม…’
ฉันส่งเสียงร้องออกมาจากลำคอด้วยความรู้สึกที่หงุดหงิด โดยไม่สนใจท่าทางหวาดกลัวของมังกรตัวอื่นที่อยู่ในคอกเหมือนกัน และต่อให้ใครมาบอกว่าให้เลิกทำแบบนี้ฉันก็ยังไม่หยุด…ตั้งแต่กลับมาถึงเคียร่าก็ยังไม่มาหาเลย
ฉันนอนแนบตัวลงไปกับพื้นแล้วสายตาก็จับจ้องไปทางประตู พร้อมทั้งฟาดหางขึ้นลงดัง ‘ตึง ตึง’ ควบคู่กับเสียงร้องที่เหมือนขู่ตลอดเวลา
‘ครืน…’
‘!?’
ในตอนที่จ้องอยู่นั้น ก็มีแสงมาจากทางประตูพร้อมทั้งเสียงของโลหะที่ลากกับพื้น มีคนเปิดประตูเข้ามาแล้ว เคียร่า!! ฉันรีบเด้งคอของตัวเองขึ้นเพื่อชะโงกดูว่ามีใครมา และก็ได้เห็นว่าใคร!!
แต่ว่าร่างของคนที่เดินเข้ามานั้นไม่ใช่เคียร่า แต่เป็นชายหนุ่มผมสั้นสีทองเดินเข้ามา…โวะ เจ้าชายหรอกเรอะ ฉันถอนหายใจออกมาอีกครั้งเฮือกใหญ่แล้วก้มคอลงไปนอนเหมือนเดิม
“ริเกล เคียร่าล่ะ?”
‘ฉันก็อยากรู้เหมือนกันแหละน่า’
ฉันบ่นกลับไปด้วยน้ำเสียงไม่พอใจแบบสุด ๆ แต่ว่าเขาก็ไม่ได้ใส่ใจเรื่องนั้นแม้แต่น้อย ราวกับจิตใจไม่อยู่กับเนื้อกับตัว ซึ่งแน่นอนว่าฉันก็ไม่สนเหมือนกัน ว่าแล้วฉันก็หันหน้าไปทางอื่นเพื่อบอกว่าไม่อยากคุยกับเขา
แต่ก็คงไม่มีทางรู้ว่าฉันกำลังคิดอะไรอยู่ เจ้าตัวจึงพูดออกมาต่อเหมือนบ่นกับตัวเอง
“เป็นผมคง…ทำไม่ได้จริง ๆ นั่นแหละ”
หึ ใครจะไปสน ฉันหันหน้าไปทางเข้าอีกครั้งแล้วจงใจพ่นลมจากจมูกใส่ ไหน ทำถึงขนาดนี้แล้วคงไม่มีทางดูไม่ออกหรอกเนอะว่าไม่มีอารมณ์เล่นด้วย
และนั่นทำให้เขาแสดงหน้านิ่วออกมาทันที แต่ว่าก่อนที่จะได้พูดอะไรต่อ ประตูด้านหน้าก็เปิดขึ้นอีกครั้ง
“ทำไมที่แรกหลังกลับมาถึง ถึงกลายเป็นโรงเก็บมังกรล่ะ”
เมื่อได้ยินเสียงของหญิงสาวที่เดินเข้ามา ฉันก็ตั้งคอขึ้นสูงและส่ายหางแรงขึ้นกว่าเดิมในทันที
‘เคียร่า!!’
พอเห็นว่าเป็นเคียร่าที่เดินเจ้ามา ฉันก็ส่งเสียงเรียกออกไปอย่างร่าเริง เธอจึงหันมามองฉันพร้อมทั้งยิ้มอย่างเอ็นดู อ๊ะ ไม่ได้สิ ตอนนี้ฉันงอนอยู่ต่างหากล่ะ
‘เชอะ!’
เมื่อเคียร่ายิ้มมาให้ ฉันก็สะบัดหน้าหนีไปทางอื่นในทันที เคียร่าก็เป็นแบบนี้ตลอด เพราะว่าต่อให้มีเวลามาหาน้อยแค่ไหนฉันก็ยังดี๊ด๊าเข้าไปอ้อน ก็เลยคิดว่าจะหายไปตอนไหนยังไงก็ได้ล่ะสิท่า แต่รอบนี้จะไม่เป็นแบบนั้นแล้ว!!
“ฮะ ๆ งอนกันอยู่จริงด้วย”
เธอพึมพำออกมาแบบนั้นพร้อมทั้งเดินเลยตัวเจ้าชายมาหาฉัน แล้วนั่งลงตรงข้างหัวของฉันพลางลูบไปมา หึ อย่าคิดว่าแค่นี้ฉันจะหายงอนเชียว…
ว่าแล้ว ฉันก็ขยับหัวเข้าไปใกล้และวางบนตักของเคียร่าที่นั่งขัดสมาธิอยู่ แล้วเธอก็หัวเราะคิกคักกับท่าทีของฉัน…อะไรเล่า มีอะไรน่าขำตรงไหนกัน!!
“กรร…”
“ฮะ ๆ ขี้อ้อนไม่เปลี่ยนเลยนะ”
คงเป็นเพราะฉันขยับหัวให้ถูกับท้องของเธอเพื่อให้ลูบมากกว่านี้อีก เคียร่าจึงหัวเราะออกมาเช่นนั้น โดยที่มีเจ้าชายซึ่งท่าทีหม่นหมองกว่าคราวก่อนยืนมองอยู่…ก่อนที่เจ้าตัวจะคลี่ยิ้มออกมา ดั่งเช่นทุกครั้งที่พวกเราอยู่ด้วยกัน
“แล้ว มีอะไรเกิดขึ้นล่ะ?”
“เรื่องนั้น…”
เขานั่งลงด้านข้างเคียร่า และเริ่มเล่าสิ่งที่เกิดขึ้นตั้งแต่ตอนที่เดินทัพไปตีเมืองมิลด้า ว่าราชานั้นร้อนรนมากขนาดไหนจนทำสิ่งที่พลาดไป แล้วก็เรื่องที่ตอนออกจากป้อมปราการรูฟก็โดนโจมตีอีกรอบจนพลาดท่าทำไข่ฟองหนึ่งหล่นไว้
และระหว่างทาง…ก็มีไข่ฟองหนึ่งเสียหายจากการเดินทาง แล้วตัวอ่อนด้านในก็ตายไปแล้ว
“ดังนั้น…ผมคงทำไม่ได้จริง ๆ นั่นแหละ ทั้งดูแลลูกมังกรวารีแทนแม่ของมัน หรือแม้แต่เป็นเจ้าชายที่ดี เพราะแค่จะโต้เถียงหรือขัดคำของท่านพ่อ…ผมก็ยังทำไม่ได้เลย”
“หืม งี้นี่เอง”
เคียร่าที่มือยังคงลูบฉันไม่หยุดนั้นมองหน้าเจ้าชายแล้วเงยหน้าขึ้นมองเพดาน ส่วนทางชายหนุ่มนั้นยังคงก้มหน้ามองแต่พื้นโดยไม่หันมามองทางนี้ คงรู้ล่ะมั้ง ว่าทั้งฉันและเคียร่ากำลังมองเขาด้วยสายตาแบบไหนอยู่ และทั้งฉันและเคียร่า ก็คงคิดแบบเดียวกัน
“อยากจะยอมแพ้แล้วเหรอ?”
“ผมน่ะไม่หรอก แต่ท่านพ่อก็อาจจะ…”
“งั้นก็แสดงว่านายอยากจะยอมแพ้แล้วนั่นแหละ”
“…”
นั่นไง เคียร่าคิดแบบฉันจริงด้วย พ่อลูกคู่นี้เหมือนกันมากจริง ๆ นั่นแหละ ทั้งความกลัวแล้วก็ความขี้ขลาด แล้วที่เคียร่าพูดออกมาก็หมายความว่าเจ้าชายคงคิดแบบเดียวกันกับราชา
“อย่ายกชื่อคนอื่นมาเป็นโล่ป้องกัน เพื่อที่จะพูดได้ว่าตัวเองไม่ผิด เพราะนี่เป็นความคิดของคนอื่น ทั้งที่ตัวเองก็คิดแบบเดียวกันสิ”
“…”
เจ้าชายกำหมัดแน่นและเม้มปากด้วยความเจ็บใจ…เขาคงรู้ตัวดี ว่าตัวเองเป็นแบบนั้นจริง ๆ เพราะงั้นถึงพูดอะไรต่อไม่ออก แล้วได้แต่นิ่งเงียบไป
“แต่ว่าอยากจะยอมแพ้งั้นเหรอ…แล้วนายยังอยากจะเป็นเจ้าชายของประเทศนี้ต่อไหมล่ะ?”
“แน่นอนอยู่แล้ว ผมน่ะถูกปลูกฝังมาเสมอว่าต้องขึ้นเป็นราชา และดูแลความเป็นอยู่ของประชาชนในประเทศ”
“ทั้งที่คิดอยากจะยอมแพ้น่ะเหรอ?”
“…”
เอาวุ้ย วันนี้เคียร่าแทงใจดำเขารัว ๆ เลยเว้ยเฮ้ย! แต่ก็จริงนั่นแหละ ปากบอกว่าอยากจะปกครองประเทศนี้เพื่อความเป็นอยู่ที่ดีของประชาชน…แต่ดันมาสลดแล้วอยากจะยอมแพ้เนี่ยนะ ย้อนแย้งไปป่าว!
“อย่างน้อยถ้ายอมแพ้…ก็จะไม่มีคนตายเพิ่มเพราะสงครามแล้วนะ”
“แต่ทุกคนที่เหลืออยู่จะต้องทรมานนะ นายก็รู้ไม่ใช่เหรอ ว่าคนที่อยู่ใต้การปกครองของฟัวกราเป็นยังไง ไม่ใช่ว่าอยากจะดูแลการเป็นอยู่ของคนในประเทศให้ดีขึ้นเรอะ”
“แต่—”
“แวร์มิล ทุกคนรู้เรื่องการสูญเสียดี แม้แต่คนที่ตายไปยังเตรียมใจมาดีกว่านายด้วยซ้ำ…ไม่มีใครอยากยอมแพ้ทั้งนั้น แล้วนายล่ะ ยังอยากจะยอมแพ้อยู่อีกเหรอ?”
“…”
เคียร่าเรียกชื่อของเจ้าชายออกมาอย่างชัดถ้อยชัดคำ ราวกับว่าตอนนี้อยากจะฟังเสียงที่ออกมาจากใจของแวร์มิล ไม่ใช่เจ้าชายแห่งฟาเรเรีย
เขาทำสีหน้าปั้นยากอยู่ในขณะที่ก้มหน้าลงต่ำ ก่อนจะกัดฟันพร้อมทั้งสูดลมหายใจเข้าลึก และเงยหน้าขึ้นมาสบตากับเคียร่าตรง ๆ โดยเป็นใบหน้าที่มั่นคงกว่าเมื่อครู่มาก
ทำให้เคียร่าคลี่ยิ้มออกมาอีกครั้งอย่างอ่อนโยน พร้อมทั้งออกแรงเกาใต้คางของฉันมากขึ้น โอะ รู้สึกดีจัง~
“ผมจะไปคุยกับท่านพ่ออีกครั้ง”
——————— ———————-
(มุมคนเขียน)
ไม่รู้ว่าคิดไปเองรึเปล่า แต่รู้สึกว่าเนื้อหามันหนักขึ้นเรื่อยๆ …อยากให้เคียร่ากับแฟร์ได้มาเจอกันแล้วสิ อาจจะได้เขียนฉากนุ่มฟูบ้างก็ได้ UwU
แต่ถึงกระนั้นก็ต้องขออภัยจริงๆ ค่ะ ที่ช่วงนี้เริ่มเว้นช่วงนานขึ้นกว่าเดิม ;-;
ปล.เราชอบตัวละครวัยรุ่นที่ถึงจะมีทั้งเป้าหมายและอุดมการณ์ที่ชัดเจน แต่จิตใจก็อ่อนไหวแล้วก็อารมณ์ขึ้นๆลงๆมากเลยค่ะ~