ชีวิตใหม่ในดราโทก้า ดินแดนมังกร - ตอนที่ 46: ภาค 2 ตอนที่ 22 แผนหลังถูกต้อนจนมุม
เป็นไปตามคาด ฟัวกราส่งจดหมายครั้งสุดท้ายมาเพื่อบอกให้เมืองนี้อยู่ในการปกครองของพวกเขา โดยถ้าไม่ทำตามจะส่งกองกำลังมาปราบปรามในฐานะ ‘คนเร่ร่อนที่บุกรุกพื้นที่’ พูดแบบนี้ก็แย่สิ พื้นที่นี้เลยให้มาแล้วนี่นา แต่จะติดต่อกิลพ่อค้าไปคงไร้ประโยชน์ เพราะดูท่าทางนั้นก็โดนกดดันเหมือนกันเลยช่วยไม่ได้
กลายเป็นว่าสถานการณ์ทางนี้ตึงเครียดกว่าเคียร่าอีกเหรอเนี่ย…ว่าแล้วฉันก็ตัดสินใจลองปรึกษามอร์เทน เผื่อว่าในมุมมองของโบสถ์จะคิดยังไงกับเรื่องนี้
“งั้นรึ ฟัวกราบอกแบบนั้นรึ…งั้นพวกเจ้าก็ไม่ใช่คนเร่ร่อนเสียก็พอ”
“…ห๋า?”
“ฮ่า ๆ ทำสีหน้าตลกใช้ได้เลยหนิ ก็ตามที่พูดนั่นแหละ ตอนนี้เพราะพวกเจ้าเป็นคนเร่ร่อนจึงโดนบุกในรูปแบบกวาดล้างได้ แต่ถ้าหากไม่ใช่คนเร่ร่อนก็สามารถหาพันธมิตรช่วยสู้ได้ อย่างน้อยที่สุดเมืองและประชาชนก็จะได้รับการคุ้มครองในระดับหนึ่งจากทางโบสถ์ คือห้ามเข่นฆ่าประชาชนเกินจำเป็น”
เพราะทำสีหน้าไม่เข้าใจออกไปเขาจึงหัวเราะให้กับท่าทีนั้น แล้วค่อยอธิบายเพิ่มเติม…ก็จริง ถ้าเป็นคนเร่ร่อนก็ไม่มีการคุ้มครองพื้นฐาน มีสถานะไม่ต่างจากโจรเท่าไหร่นัก แถมเพราะเป็นแค่กลุ่มคนธรรมดาเลยสู้เรื่องเจ้าของดินแดนกับประเทศไม่ได้ ถ้าตัดจุดอ่อนอย่างเป็นคนเร่ร่อนไปได้ น่าจะพอยื้อเวลาได้อยู่บ้าง…อย่างน้อยก็ไม่ใช่ตอนนี้ พวกเรายังไม่พร้อมรับศึกหนักแน่
แต่ว่า…
“พูดมันก็ง่ายนะ แล้วจะให้ทำไงล่ะ ไปรวมกับประเทศอื่น? ถ้าริมิร่าน่ะไม่เอาด้วยหรอก ที่นั่นน่าขยะแขยงจะตาย”
“เฮ้ย ๆ กับข้าน่ะว่าไปอย่าง แต่อย่าพูดแบบนี้ให้นักบวชคนอื่นได้ยินเชียว”
“ช่างเถอะน่า พอรู้อะไรใช่ไหมล่ะ พูดมาสิ”
ฉันปัดทิ้งคำพูดหยอกเล่นนั้นไปอย่างไม่ไยดีแล้วรีบดึงกลับเข้าประเด็นอย่างรวดเร็ว ถึงแม้เขาจะทำสีหน้าเสียดายแล้วพูดว่า ‘ไม่สนุกเลยนะ’ แต่ก็กลับมาเข้าเรื่องต่อเช่นกัน
“ถ้าไม่อยากร่วมกับประเทศอื่น พวกเจ้าก็ประกาศเอกราชไปเลยเสียสิ ว่าพวกตนเป็นประเทศที่ไม่ขึ้นตรงกับใคร”
“…ก่อตั้งประเทศเรอะ? ทำได้ง่ายขนาดนั้นเลยรึไง”
“อย่างน้อยก็ไม่ยากแล้วก็ทำได้ล่ะนะ เอาไงล่ะ”
ถึงแม้ว่าเขาจะพูดด้วยท่าทีสบาย ๆ แต่ว่าเนื้อหานั้นไม่ได้เรียบง่ายเหมือนสิ่งที่แสดงออกมาเลยแม้แต่น้อย ถ้ากลายเป็นประเทศขึ้นมา…จะไม่ตกเป็นเป้ายิ่งกว่าเดิมเหรอ แถมยังความรับผิดชอบ…ฉันจะรับไหวรึเปล่านะ
แต่ว่า นั่นก็อาจจะดีกว่าโดนไล่ต้อนแบบนี้ก็ได้
“ขอรายละเอียดหน่อยสิ”
ว่าแล้วฉันก็ถามวิธีการกับเขาออกไป ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งในการประกอบตัดสินใจ หลังจากนั้นเขาก็บอกรายละเอียดเสร็จสรรพจนเหลือเพียงอย่างสุดท้าย…
องค์ประกอบที่สำคัญที่สุดในการตัดสินใจเรื่องนี้
“หายากนะที่หัวหน้าจะเรียกประชุมพวกเราพร้อมหน้ากันขนาดนี้ มีอะไรเหรอ”
“ก็นะ เป็นเรื่องค่อนข้างใหญ่เลยล่ะ…พอได้ยินเรื่องฟัวกรากันมาบ้างรึเปล่า”
“…”
ตอนนี้ลูกน้องที่มีหน้าที่สำคัญในส่วนต่าง ๆ มารวมตัวกันอยู่ในห้องโถงของคฤหาสน์ เนื้อด้วยมีคนจำนวนค่อนข้างมากในห้องประชุมจึงจุคนไม่พอ แล้วมารวมกันที่นี่แทน พอถามออกไปแบบนั้นทุกคนก็มีสีหน้าปั้นยาก แถมยังหันไปพูดคุยกันไปทั่วอีก
โบลซึ่งยืนอยู่ด้านหลังฉันในฐานะรองหัวหน้านั้น จึงส่งเสียงไอเพื่อดึงสติทุกคนให้กลับมาเพื่อให้สงบลง ก่อนจะเป็นคนพูดกับฉันแทนความคิดคนอื่น
“เรื่องมีโอกาสที่พวกนั้นจะพุ่งเป้ามาที่พวกเราน่ะเหรอ…เป็นแบบนั้นจริง ๆ สินะ”
“ใช่ พวกนั้นบังคับให้เราเข้าร่วมกับประเทศ หรือจะโดนกวาดล้างในฐานะคนเร่ร่อนที่บุกรุกพื้นที่”
เมื่อฉันบอกข่าวล่าสุดซึ่งมาจากจดหมายสำคัญนั้น ทั่วทั้งห้องโถงก็เต็มไปด้วยความสับสนอีกครั้ง โดยเฉพาะคนจากหมู่บ้านที่โดนไล่อย่างนาลหรือวิเวียน พอคิดว่าต้องกลับไปอยู่ในประเทศแบบนั้นคงจะรู้สึกแย่ขึ้นมา แถมยังถูกตอกย้ำในเรื่องที่ตัวเองเป็นคนเร่ร่อนอีก
แม้แต่โบลที่คอยดูความเรียบร้อยก็ยังเผลอสูญเสียความเยือกเย็น และทำตัวไม่ถูก เอาเถอะ ฉันในตอนแรกก็ไม่ต่างจากทุกคนเท่าไหร่ล่ะนะ…
ฉันลุกขึ้นจากเก้าอี้ที่ดูค่อนข้างหรูตรงสุดทางของห้องโถงแล้วดึงสติทุกคนกลับมา
“อยู่ในความสงบ!!”
คำพูดเพียงไม่กี่คำของฉันทำให้ทุกคนที่กำลังสับสนนั้นอยู่ในความสงบ ดวงตาก็หันกลับมาจับต้องที่ฉันเพียงผู้เดียว แม้จะยังคงเหลือความกังวลอยู่แต่ก็ไม่มีใครพูดแทรกแล้ว
ดังนั้นก็เลยผ่อนเสียงลง…พักหลังมานี้พอใช้เสียงมาก ๆ เข้าก็เริ่มเจ็บคอขึ้นมา ถ้าเป็นไปได้เลยไม่อยากตะโกนมากนัก แต่เรื่องนั้นก็คงยากล่ะนะ
“ฉันเข้าใจดีว่าทุกคนคงกังวล เพราะฉันเองก็ไม่ต่างกัน ดังนั้นแล้ว…ฉันเองก็หาหนทางให้พวกเรารอดไปได้เหมือนกัน โดยที่จะไม่เข้าร่วมกับฟัวกราอย่างเด็ดขาด!!”
เพราะในช่วงสุดท้ายใส่อารมณ์มากขึ้นพร้อมกับกำมือแน่น สีหน้าของทุกคนจึงดูดีขึ้นมากกว่าเดิม อย่างน้อยที่สุดก็ไม่หดหู่อีกแล้ว ฉันจึงพูดต่อ
“แต่ว่า…สิ่งที่ฉันตัดสินใจจะทำนั้นหนักหนาเกินกว่าจะทำคนเดียว ดังนั้นต้องมาปรึกษากับทุกคนก่อน—”
“เอาน่าหัวหน้า!! ไม่ต้องพิธีรีตองหรอก พูดออกมาเลย คนกันเองทั้งนั้น เนอะ!!”
ในตอนที่กำลังพูดเกริ่นอยู่นั้นฝาแฝดคนน้องสุดป่วนก็พูดขัดขึ้นมา ด้วยเสียงที่ดังจนทุกคนคงได้ยินแน่ หลังจากนั้นบนใบหน้าของคนที่อยู่ในนี้ก็ผ่อนคลายลง และขานรับเสียงนั่น
“โอ้!! นั่นสินะ ถ้าเป็นหนทางที่หัวหน้าเลือกล่ะก็ สั่งมาได้เลย!!”
“ใช่ ๆ !!”
ทั่วทั้งห้องเริ่มกลับมาฮึกเหิมกันอีกครั้งแล้วบอกให้เลิกยืดยาว ฉันจึงถอนหายใจออกมาเล็กน้อยแล้วทิ้งตัวลงเก้าอี้ พร้อมทั้งยกขาสองข้างขึ้นมาไขว่ห้างอย่างสบาย แล้วพูดต่อราวกับไม่มีอะไรเป็นพิเศษ
“พวกเราจะประกาศเอกราชเป็นประเทศใหม่กัน”
“…ห๋า!!”
“ฮ่า ๆ การตอบสนองดีใช้ได้เลยหนิโบล”
เพราะว่าผ่อนคลายลงมากจากตอนแรก เลยหัวเราะออกไปแบบติดเล่น แต่ว่าใบหน้าเหวอของโบลก็ยังคงไม่หายไป ไม่สิ ทั่วทั้งห้องโถงเลยต่างหาก
“ทะ- ทำไมไม่มาปรึกษากันก่อนเล่า!!”
“ก็กำลังอยู่นี่ไง…ถึงทางเลือกจะมีไม่มากก็เถอะ”
เมื่อตอบกลับไปแบบนั้นโบลที่ทำท่าจะพูดอะไรต่อก็หยุดชะงักไป ก่อนจะถอนหายใจออกมา ‘ก็จริง’ เขาพูดแบบนั้นอย่างแผ่วเบา และตั้งสติตัวเองอีกครั้งหันกลับไปมองทุกคน
“ถึงจะรู้ว่ามันมีข้อดีก็เถอะ แต่…จะทำได้เหรอนั่น”
“มีโอกาสค่อนข้างมากเลยล่ะ จากที่ได้ยินมาเหมือนว่าจะต้องให้หลายที่ช่วยยืนยัน เรามีกิลพ่อค้าคอยหนุนหลังในเรื่องเจ้าของดินแดนอยู่ถ้าหากจะลุกขึ้นมาประกาศเอกราช มอร์เทนก็จะติดต่อพระสันตะปาปาให้ ส่วนฉันก็จะไปเจรจากับประเทศใกล้เคียงอย่างริมิร่า ส่วนฟัวกราไม่ต้องพูดถึงเลย เราจะเลี่ยงพวกเขาจนกว่าจะสำเร็จ ไม่งั้นถูกขวางแน่”
เพราะว่าอธิบายวิธีการซะเรียบร้อยเลยรึเปล่านะ ทุกคนในตอนนี้เลยไม่มีใครแย้งอะไรมาแล้วเงียบกริบกัน…ทำเอาแอบรู้สึกไม่สบายใจเลย ตอนนี้พวกเราไม่ต่างอะไรกับโดนต้อนจนมุมเลย และคนที่สร้างกลุ่มนี้ขึ้นมาก็คือฉัน ฉันเป็นคนพาให้ทุกคนมาอยู่จุดนี้…จุดที่ถึงทางตันตอนนี้
แต่ถึงกระนั้นก็ไม่พูดหรือแสดงอะไรออกไป มอร์เทนพูดถูก ถ้าขนาดฉันที่พวกเขานับถือกันขนาดนี้ ยังแสดงความกังวลและความกลัวออกมา มันคงทำให้ทุกอย่างแย่ลงยิ่งกว่าเดิม และอีกอย่าง…ในเมื่อฉันเป็นคนสร้างสถานการณ์แบบนี้ขึ้นมา ฉันก็ต้องยืนหยัดให้ถึงที่สุด แล้วพาออกไปให้ได้
“ถ้ามีแฟร์เป็นผู้นำประเทศล่ะก็ ฉันไม่มีปัญหา”
ในที่สุด คนที่ทำลายบรรยากาศระดมความคิดนั้นก็คือโบล เจ้าตัวมองฉันแล้วยิ้มร่าอย่างร่าเริงอีกครั้ง เหมือนกับวันที่เราตัดสินใจสร้างกลุ่มด้วยกันไม่มีผิด ซึ่งนั่นก็ทำให้เกิดกระแสตามติดมา
“นั่นสินะ! ถ้าหัวหน้าเป็นผู้นำล่ะก็ จะทำอะไรก็ได้ทั้งนั้นเลย!!”
ทั่วทั้งห้องโถงคึกคักไปด้วยคำตกลงอีกครั้งราวกับกำลังปลอบใจฉันที่ซึมอยู่ นั่นจึงทำให้ฉันยิ้มออกมาอย่างผ่อนคลาย แล้วใช้ศอกชันไปที่เก้าอี้พลางเอาแก้มลงไปวางบนฝ่ามือ
“ถ้างั้นก็ตกลงสินะ มาคิดธงของพวกเรากันเถอะ”
ถ้าเป็นประเทศก็ต้องมีธงไว้ใช้ในยามสงคราม แถมยังเป็นสัญลักษณ์ในเอกสารต่าง ๆ อีกด้วย พูดแล้วก็มีคนเสนอว่าให้คิดรูปแบบเอาไว้ก่อน แล้วค่อยตามหาจิตรกรมาวาดให้อีกที เป็นความคิดที่ดีเลยจึงตกลงตามนั้น นาลเองก็เป็นคนเสนอตัวว่าจะจดบันทึกรูปแบบที่คุยกันวันนี้ให้
เอาล่ะ…
“แต่ธงนี่ต้องคิดยังไงนะ”
“นั่นสินะ…ฉันเองก็ไม่รู้เหมือนกัน”
“อืมมม”
ทั้งฉันและโบลต่างก็ไม่รู้คำตอบของคำถามนี้ จึงได้แต่ส่งเสียงงืมงำออกมา ในตอนนั้นเองแขกที่ไม่ได้รับเชิญก็มา มีคนมาบอกกับฉันว่ามอร์เทนขอเข้าร่วมการประชุมด้วย นั่นสินะ มีเขาอยู่อาจจะพอช่วยอะไรได้ก็ได้ ก็เลยบอกให้พาเขาเข้ามาแล้วยิงคำถามไปทันที
“คิดยังไงงั้นรึ…รูปภายในธงจะแสดงถึงสิ่งที่ประเทศเป็น หรือแนวทางของประเทศ ประมาณนั้นกระมัง”
“แนวทางของประเทศเหรอ…โล่ ดีไหมนะ”
เมื่อฉันพึมพำออกมาแบบนั้นทุกคนก็มองด้วยแววตาสงสัย ฉันจึงยิ้มอย่างลำบากใจให้แล้วอธิบายให้ฟัง
“จากที่สังเกตมาพวกเราทำงานคุ้มกันได้ดีเป็นพิเศษน่ะ แถมยังสร้างขึ้นมาเพื่อปกป้องคนสำคัญอีก เพราะงั้นโล่ก็ดีเลยไม่ใช่รึไง”
“อ้อ!! คิดแบบนั้นนี่เอง งั้นเอานี่ด้วยสิ! หอกไง หัวหน้าชอบฝึกพวกเราทุกคนให้ใช้หอกไม่ใช่เหรอ นั่นก็น่าจะเป็นจุดเด่นได้นะ”
ฟาริสที่ได้ยินคำอธิบายของฉันก็เกิดไอเดียขึ้นมา ฉันยิ้มให้อย่างพึงพอใจแล้วพยักหน้า นั่นสินะ กองทัพที่ใช้หอกก็ไม่เลว หอกเป็นอาวุธที่ทรงพลังถ้าใช้ได้คล่อง หลังจากนี้อาจจะต้องฝึกหนักกันหน่อยล่ะ
“อืม โล่กับหอกรึ ถ้างั้นให้ในธงโล่ตั้งตระหง่าน และมีหอกคอยค้ำจุนดีไหมล่ะ แล้วพวกเจ้าก็คิดอีกที ว่าหอกนั่นหมายถึงอะไร…อะไรที่จะค้ำจุนแนวทางและประเทศของพวกเจ้า”
มอร์เทนที่ได้ยินเช่นนั้นก็พูดเสริมกระตุ้นพวกเราต่อ สิ่งที่คอยค้ำจุนประเทศเอาไว้งั้นเหรอ…เอ ถ้าคิดเป็นรูปก็น่าจะ มีโลกตรงกลาง แล้วหอกไขว้อยู่ด้านหลังเหรอ? น่าจะเป็นแบบนั้นล่ะมั้ง ถ้างั้นสิ่งค้ำจุนที่ว่าคงเป็นองค์ประกอบสำคัญของประเทศ งั้นอย่างแรกที่สำคัญที่สุดเลยก็คือ
“ประชาชน…ยังไงถ้าปราศจากประชาชนก็ไร้ซึ่งประเทศ แถมอีกอย่าง พวกเราส่วนใหญ่เป็นคนที่โดนขับไล่ออกมาจากประเทศบ้านเกิด พวกเรารู้ดีถึงความรู้สึกของการถูกละเลย ดังนั้นพวกเราก็จะไม่ละเลยเช่นกัน ต่อไปก็คง…ความแข็งแกร่ง ทหารที่คอยปกป้องประชาชนและประเทศ”
เท่านี้ก็ได้สองหอกแล้ว ภาพในหัวที่ฉันคิดก็เป็นโล่ที่มีหอกสองอันไขว้เป็นกากบาทอยู่ด้านหลัง เท่านี้ก็คงเรียบร้อยแล้วล่ะมั้ง…นาลที่คอยจดก็ลองร่างรูปธงให้ดูคร่าว ๆ ถึงมันจะค่อนข้างเรียบง่ายเลยก็เถอะ แต่ก็เดี๋ยวค่อยให้จิตรกรวาดอีกที
ฉันพยักหน้ายืนยันต่อภาพนั้นแล้วจะเอ่ยปากว่าเสร็จเรียบร้อย แต่ก็มีเสียงขัดมาจากกลุ่มลูกน้องที่มุงดูจากด้านหลัง
“รู้สึกขาด ๆ อะไรไปรึเปล่านะ”
“นั่นสิ รู้สึกโล่งไงไม่รู้ แค่สองอันค้ำไว้แบบนั้นจะพอเหรอ”
“อะไรกัน…จะเพิ่มเรอะ แล้วจะให้เอาความหมายเป็นอะไรล่ะ”
ในตอนนั้นทุกคนก็เงียบทันทีที่โดนฉันสวนกลับไป แล้วต่างคนต่างคิดหนักกันอีกครั้ง จนเวลาผ่านไปพักใหญ่ฉันจึงถอนหายใจออกมา ถ้าคิดไม่ออกก็เอาเท่านี้แหละ…เท่านี้ก็ได้สิ่งสำคัญครบหมดแล้ว
“หัวหน้าไง! ในหอกนั้นไม่เห็นมีหัวหน้าเลย!!”
“…ห๊ะ” ฉันเผลอสบถออกมาด้วยความรู้สึกงงงวย แต่ก็เหมือนจะส่งไปไม่ถึงใครเลยสักคน
“จริงด้วย หอกตรงกลางล่ะเป็นไง เหมือนกำลังนำทางพวกเราอยู่ไง เพราะมันชี้ตั้งตรงเลย”
“นั่นสินะ แถมยังหนักแน่นแล้วก็ดูมั่นคงด้วย”
เดี๋ยว ๆ นี่ทุกคนกำลังพูดถึงอะไรน่ะ หัวหน้าก็หมายถึงฉันน่ะสิ? ไม่ ๆ ๆ ฉันไม่ได้อะไรขนาดนั้นสักหน่อย และเพราะเหมือนบรรยากาศกำลังราบรื่นจนไม่น่าจะหยุดได้ง่าย จึงได้ทอดสายตาไปยังตัวช่วยสุดท้าย โบลนั่นเอง
“ก็ดีแล้วหนิ…อย่ามัวแต่อายเลยน่า ถ้าใส่เอาไว้ในธงก็จะได้เป็นสิ่งย้ำเตือนด้วย ว่าคนที่จะขึ้นมาเป้นผู้นำต้องเป็นแบบนี้น่ะ”
อุก แม้แต่หมอนี่ก็ด้วยเรอะ…สุดท้ายฉันก็ได้แต่เออออไปตาม เพราะทุกคนมองมาด้วยสายตามีความหวังล่ะนะ แบบนั้นจะไปปฏิเสธได้ไงกัน หลังจากตกลงกันเรียบร้อยมอร์เทนก็เข้ามาแจมอีกครั้ง แล้วบอกว่าพวกเราจำเป็นต้องพึ่งพาศาสนจักร ให้ใส่รูปมังกรแทรกเข้าไปด้วย
ดังนั้นจึงตัดสินใจใช้เป็นรูปของมังกรแบบอิกนิส เพราะถ้าแบบแฟลชคงไม่ดีนัก ในตอนนี้ก็ยังคงเก็บเอาไว้เป็นความลับต่อที่อื่นอยู่
และไม่นานนักรูปธงก็เป็นรูปเป็นร่าง พร้อมกับการเตรียมตัวสำหรับการหลีกเลี่ยงเขี้ยวเล็บของประเทศมหาอำนาจ
(เครดิตผู้ออกแบบ : Kola-rabbit )
——————————– —————————–
(มุมนักเขียน)
สวัสดีค่ะ >< จากวันที่ผ่านมาก็น่าจะเห็นแล้วว่าตอนนี้เรากำลังลังเลใจเรื่องการลงนิยายอยู่ค่ะ อะไรหลายๆ อย่างมันตีไปหมดจนมีความรู้สึกว่า ถ้าเราตัดสินใจเองอาจจะออกมาไม่ดีนัก ก็เลยตัดสินใจเปิดเป็นการโหวดนั่นเองค่ะ (ฮา)
สำหรับคนที่โหวดแล้วก็ขอบคุณมากๆ ค่ะที่ช่วยออกความเห็น แต่คนที่ไม่ร่วมโหวดก็ไม่เป็นไรค่ะ เราไม่ถือสาอะไร~ เรายังใช้แบบเดิมจนกว่าจะถึงวันที่ 18 นะคะ แล้วจะปิดการโหวดพร้อมกับยึดตามเสียงข้างมาก ซึ่งจะเอามาประกาศให้ดูอีกทีค่ะ ยังไงก็ต้องขอบคุณมากค่ะที่ติดตามเรากันมาจนถึงตอนนี้ >< (ร่วมโหวด ที่นี่)
ส่วนเรื่องบทของน้องริเกลนี่ จะให้มีกลับมาบ้างแล้วค่ะ เพราะตอนแรกที่ไม่ใส่มาคือตามแผนเดิมภาคของแฟร์จะเป็นภาคพิเศษ แต่ไปๆ มาๆ ก็ดันกลายเป็นภาคหลัก ตรงนี้ต้องสารภาพตามตรงว่าเป็นข้อผิดพลาดของเราเต็มๆ เลยค่ะ ;-;
มันยาวกว่าที่คิดมากบทของริเกลและเคียร่าก็เลยโดนเบียดยาวๆ แต่ก็ขึ้นภาค 3 เป็นต้นไปจะกลับไปเดินเรื่องด้วยความคิดของริเกลต่อเช่นเดิมค่ะ ที่จริงมันควรเป็นภาค 2 ที่กำลังดำเนินอยู่นี่ด้วยซ้ำ การวางแผนสำหรับเราว่ายากแล้ว แต่การทำให้อยู่ในแผนนี่ยากยิ่งกว่าจริงๆ ค่ะ (ฮา)
ยังไงในส่วนนี้จะเอาไปปรับใช้กับรวมเล่มในอนาคต (อันไกล) นะคะ ที่อาจจะมีเพิ่มบทในมุมของฝั่งริเกลและเคียร่ามากขึ้น ส่วนตอนนี้ก็อดใจอีกนิดเดียวค่ะ!! เรื่องราวของแฟร์ใกล้จะจบตามที่วางไว้แล้วค่ะ คิดว่าคงไม่เกิน 5 ตอน…จะพยายามให้ไม่เกิน 10 ตอนค่ะ ;-; ยากจริงๆ เลยค่ะ กะจำนวนตอนเนี่ย (ฮา)
และเพื่อเป็นการขอโทษ (ได้ไหมนะ ฮ่าๆ) ขอแปะรูปที่พึ่งได้มา เป็นฉากหมู่บ้านที่เคียร่าเคยอยู่ตอนเด็กนะคะ คนที่อ่านมาสักพักแล้วน่าจะไม่ได้ย้อนกลับไปดู ดังนั้นเลยจะแปะในตอนนี้ไปเลยค่ะ~
(เครดิตผู้วาด : Borisut Chamnan )
ในอนาคตคิดว่าถ้าฉากไหนเราใช้ค่อนข้างบ่อยอาจจะจ้างประมาณนี้มาให้ชมกันค่ะ อย่าง พวกเมืองหลวงที่เคียร่าอยู่ เมืองที่แฟร์สร้าง อะไรทำนองนั้น~ แต่ฉากพวกนี้จะออกช้าที่สุดแล้วค่ะ เพราะราคาค่อนข้างแรง + เราจ้างอย่างอื่นก่อน + โดนพิษเศรษฐกิจโควิด
แต่ยังไงก็จะพยายามมีรูปอีกเรื่อยๆ ค่ะ~ ตอนนี้แทบจะเห็นจำนวนอะไรก็ตีไปประมาณ “โอ้ เท่านี้ได้มังกร 1ตัว 2 ตัว…” อะไรทำนองนี้ตลอดเลยค่ะ กลายเป็นหน่วยวัดความถูกแพงไปซะแล้ว (ฮา) ยังไงตอนนี้ก็ค่อนข้างมีความสุขกับการถลุงเงินมากเลยค่ะ เพื่อสนองความต้องการ…ของคนอ่านทุกท่านเหรอ? เปล่าค่ะของเราเอง ฮ่า ฮ่า ฮ่า…แต่ถ้าทุกท่านยินดีกับรูปด้วยเช่นกันเราก็ดีใจค่ะ ขอบคุณสำหรับทุกๆ กำลังใจที่ส่งเข้ามานะคะ
แล้วก็ขอบคุณทุกคนอีกครั้งค่ะที่อ่านนิยายของนักเขียนเอาแต่ใจ…ส่วนเรื่องเก่าเดี๋ยวจะกลับไปค่ะ ;-; ไม่มีอะไรจะแก้ตัวทั้งนั้นค่ะ ฮือ