เสียงที่เคร่งขรึมของอีกฝ่ายทำให้จ้าวเสี่ยวกังรู้สึกตกใจเล็กน้อย
"พวกคุณรอก่อน ผมจะไปเดี๋ยวนี้ อย่าทำร้ายเธอ………."
ตุ๊ดตู๊ด……..
จ้าวเสี่ยวกังพูดยังไม่ทันจบ อีกฝ่ายได้ตัดสายไปแล้ว
ทุกคนที่อยู่ในเหตุการณ์ต่างก็จ้องมองสีหน้าที่ตื่นตระหนกของจ้าวเสี่ยวกัง
"เสี่ยวกัง เกิดอะไรขึ้น?" เจิ้งจื่อหรุลุกขึ้นยืนแล้วถามด้วยความสงสัยเล็กน้อย
"พี่เจิ้ง พี่สาวของผมน่าจะโดนจับตัวเรียกค่าไถ่ อีกฝ่ายให้ผมไปไถ่ตัวที่ถนนกังจื่อ"
เฟิงเซียงหรุที่ได้ยินคำพูดประโยคนี้อดไม่ได้ที่จะขมวดคิ้วแน่น
"พวกคุณกินก่อนเถอะ ถนนกังจื่อเป็นถิ่นของผม ผมจะไปกับเสี่ยวกังเอง คิดไม่ถึงว่าจะมีคนกล้าเล่นงานผู้หญิงของพี่น้องผม ดูเหมือนว่าหลายปีที่ผ่านมา ผมไม่ได้ออกหน้าเองจะทำให้การปกครองมันยุ่งเหยิงเล็กน้อย"
จั่วจวินซั่งมองสีหน้าที่เคร่งขรึมของเฟิงเซียนหรุแล้วพูดอย่างยิ้มแย้ม "เหล่าเฟิง ยังมีอีกหลายเรื่องที่คุณยังไม่รู้ ใช่ คุณควรจะจัดการดูแลระบบของพื้นที่ตรงนั้นของคุณสักหน่อยแล้ว"
"ฮืม? จั่วจวินซั่ง คำพูดของคุณมีความนัยแอบแฝง นี่ไม่ใช่ครั้งแรกที่พวกเราร่วมงานกันสักหน่อย คุณมีอะไรก็พูดมาตรงๆเถอะ"
"เฮ่อเฮ่อ ผมว่าคุณไปสืบเอาเองจะดีกว่า ผมไม่อยากสร้างปัญหาให้กับตัวเอง"
หลังจากที่พูดจบ จั่วจวินซั่งยกแก้วของตัวเองขึ้นมาทำท่าชนแก้วกับหลิวหรุยี่ที่อยู่ด้านข้าง หลังจากนั้นเริ่มจีบ
เมื่อเห็นจั่วจวินซั่งไม่ยอมบอกอะไรตัวเอง เฟิงเซียนหรุจึงทักทายกับทุกคน หลังจากนั้นพาจ้าวเสี่ยวกังไปที่หน้าถนนกังจื่อ
นั่งอยู่ในรถของเฟิงเซียนหรุ จ้าวเสี่ยวกังอดไม่ได้ที่จะรู้สึกกระวนกระวายจนต้องสั่งให้คนขับรถของเฟิงเซียนหรุเร่งเครื่องให้เร็วกว่านี้
ไม่นาน เฟิงเซียนหรุก็พาจ้าวเซียนกังมาถึงหน้าปากซอยแห่งหนึ่ง เพียงแต่ว่าตอนนี้หน้าปากซอยแห่งนั้นไม่มีท่าทีของกลุ่มคนกำลังรวมตัว และยิ่งไม่เห็นแม้แต่เงาของหวังลี่
เฟิงเซียนหรุอดไม่ได้ที่จะขมวดคิ้ว พูดกับจ้าวเสี่ยวกัง "เสี่ยวกัง นายลองโทรศัพท์ถามพวกเขาดูว่าอยู่ที่ไหน?"
ตอนแรกจ้าวเสี่ยวกังก็รู้สึกสงสัยว่าตรงตำแหน่งที่พวกเขามาใช้ถนนกังจื่อที่พูดถึงหรือเปล่า ถึงแม้ว่าปากซอยของที่นี่จะเชื่อมต่อกับทุกทาง แต่มีคนเดินเท้าไม่มากนัก ทำไมหวังลี่ต้องมาที่นี่ด้วย?
หลังจากที่มั่นใจว่าสถานที่แห่งนี้ก็คือถนนถังจื่อที่พูดถึง จ้าวเสี่ยวกังจึงหยิบโทรศัพท์ขึ้นมาแล้วโทรหาอีกฝ่ายโดยตรงอีกครั้ง
"นี่ ผมมาถึงปากซอยแล้ว พวกคุณอยู่ไหน?"
"แหมแหม…….เข้ามาที่ร้านขายของเก่า ผมรออยู่ด้านใน"
เสียงแหลมที่ฟังแล้วรู้สึกไม่สบายหูทำให้จ้าวเสี่ยวกังรู้สึกขนลุก หลังจากที่อีกฝ่ายพูดคำพูดประโยคนี้แล้วก็วางสายไปโดยตรงทันที
เฟิงเซียนหรุที่ได้ยินคำพูดของอีกฝ่าย คิ้วของเขายิ่งขมวดแน่นขึ้นทันที
"ไปเถอะ ตามฉันไปดูสักหน่อย อาจจะมีอะไรเข้าใจผิดกัน"
"พี่เฟิง คุณรู้จักสถานที่ที่เขาพูดถึงเหรอ?"
เฟิงเซียนหรุที่ได้ยินคำพูดประโยคนี้ ตอบกลับไปด้วยสีหน้าที่ไร้อารมณ์ "อืม เป็นร้านที่ผู้จัดการฝ่ายขายทางตลาดมืดของฉันคนหนึ่งเป็นคนเปิดเอง"
หลังจากที่พูดจบ เฟิงเซียนหรุพาจ้าวเสี่ยวกังเดินตรงไปที่ร้านขายของเก่าที่อยู่ไม่ไกลออกไป
เดินมาถึงหน้าประตู จ้าวเสี่ยวกังพบว่าร้านขายของเก่าแห่งนี้ถูกตกแต่งแบบสไตล์โบราณ ยิ่งไปกว่านั้นยังทำให้รู้สึกไม่สบายตาเล็กน้อย เพราะทั้งประตูถูกวาดด้วยโครงกระดูกมือที่เปื้อนเลือด ยิ่งไปกว่านั้นในโครงกระดูกมือยังถือสมบัติไว้มากมาย
และสิ่งที่ทำให้จ้าวเสี่ยวกังจำได้ดีที่สุดคือตรงป้ายของร้านไม่มีตัวอักษร แต่เป็นภาพวาดหัวกระโหลกสี่หัว ซึ่งแต่ละหัวมีสายตาที่แตกต่างกันออกไป
เฟิงเซียนหรุมองดูประตูที่ปิดอยู่ของร้านขายของเก่า ไม่รู้ว่าภายในใจของเขากำลังคิดอะไร แต่สุดท้ายเขาก็ตัดสินใจเป็นคนผลักประตูเข้าไป
ทันทีที่เปิดประตู จ้าวเสี่ยวกังที่เดินตามอยู่ด้านหลังของเฟิงเซียนหรุเบิกตากว้างด้วยความโกรธทันที
เพราะหวังลี่ในตอนนี้ถูกมัดติดอยู่กับโต๊ะขนาดใหญ่ตัวหนึ่ง เสื้อผ้าที่อยู่บนร่างกายของเธอฉีกขาด ตรงขาที่ขาวเรียวของเธอมีมือของวัยรุ่นหลายคนกำลังลูบคลำอย่างยิ้มแย้ม
เฟิงเซียนหรุก็มองเห็นภาพนี้เช่นกัน ภายในใจของเขารู้สึกโกรธมากเช่นกัน เมื่อเห็นจ้าวเสี่ยวกังกำลังจะพุ่งเข้าไป เขายื่นมือออกไปจับไหล่ของจ้าวเสี่ยวกังเอาไว้ก่อน
"น้องเสี่ยวกัง อย่าเพิ่งใจร้อน ที่นี่ปล่อยให้ฉันเป็นคนจัดการเอง"
หลังจากที่พูดจบ เฟิงเซียนหรุมมองไปทางชายหนุ่มที่นั่งอยู่บนโต๊ะพร้อมกับมีดสั้นที่แหลมคมเล่มหนึ่งด้วยสายตาที่เย็นชา
"ว่านเจี๋ย ปล่อยคนก่อนเถอะ เธอเป็นแฟนของน้องชายคนนี้"
เฟิงเซียนหรุเห็นว่านเจี๋ยที่เห็นเขาแล้วไม่ยอมลงมาจากโต๊ะ ภายในใจของเขารู้สึกโกรธมาก แต่เพื่อแสดงให้เห็นว่าตัวเองเป็นคนใจกว้าง เขาจึงระงับความโกรธที่อยู่ภายในใจแล้วพูดกับว่านเจี๋ยด้วยน้ำเสียงที่เป็นมิตร
"ลูกพี่ ผู้หญิงคนนี้ทำแจกันโบราณของผมแตกไปหนึ่งใบ คุณบอกว่าปล่อยเธอ แล้วแบบนี้สิ่งที่ผมพยายามมาตั้งหลายปีไม่สูญเปล่าหรอกเหรอ?"
"ว่านเจี๋ย ตอนนี้ฉันขอสั่งให้นายปล่อยคนเดียวนี้ อย่าคิดเอากลอุบายของนายมาใช้กับฉัน"
หลังจากที่ได้ยินน้ำเสียงที่โกรธจัดของเฟิงเซียนหรุ ว่านเจี๋ยไม่ได้รู้สึกกลัวอะไรเลย ในทางกลับกันเขาดูมีท่าทางกระตือรือร้นขึ้นด้วยซ้ำ เขารอวันนี้มานานมากแล้ว และได้วางแผนเอาไว้มากมาย แต่ไม่มีแผนไหนที่สมบูรณ์แบบเท่ากับวันนี้
"แหมแหม……..ลูกพี่ แจกันโบราณมีค่าสูงถึงหลักสิบล้าน ผมปล่อยคน แล้วลูกพี่จะให้เงินสิบล้านกับผมหรือเปล่า?"
เฟิงเซียนหรุคิดไม่ถึงว่าว่านเจี๋ยจะกล้าพูดกับตัวเองแบบนี้โดยตรง ยิ่งไปกว่านั้นยังถามหาเงินจากเขา ถึงแม้จะไม่ได้ติดต่อกับลูกน้องคนนี้หลายเดือน แต่เขาก็เชื่อใจอีกฝ่ายมาโดยตลอด และหลังจากที่ได้ยินคำพูดของว่านเจี๋ย ภายในใจของเขารู้สึกตื่นขึ้นมาทันที
ในขณะเดียวกันก็อดไม่ได้ที่จะนึกถึงคำพูดของจั่วจวินซั่ง ตอนนี้เขาเข้าใจแล้ว มีคนได้หักหลังเขาไปแล้ว
"เหอเหอ ว่านเจี๋ย ดูเหมือนว่าปีกของนายจะแข็งแล้วสินะ นายบอกว่าผู้หญิงคนนี้ทำแจกันโบราณของนายแตก งั้นนายช่วยเอาออกมาให้ฉันดูหน่อยได้หรือเปล่าว่ามันเป็นแจกันโบราณแบบไหน? ถ้าหากมันเป็นของจริง ฉันจะชดใช้เงินสิบล้านให้กับนายก็ใช่ว่าจะเป็นไปไม่ได้"
ว่านเจี๋ยที่ได้ยินคำพูดประโยคนี้ ดวงตาที่แหลมคมของเขาปรากฏให้เห็นถึงความดุร้ายทันที
"แหมแหม……..ลูกพี่ คุณช่วยรักษาคำพูดด้วย นั่นมันเป็นถึงของที่มีค่าหลักสิบล้าน ต่อหน้าพี่น้องมากมายขนาดนี้ คุณอย่ากลับคำพูดก็แล้วกัน"
พูดจบ ว่านเจี๋ยปรบมือ หลังจากนั้นสั่งให้ลูกน้องที่อยู่ด้านหลังของตัวเองไปเอากล่องใบหนึ่งออกมา หลังจากที่เปิดกล่อง ด้านในเป็นแจกันโบราณที่แตกแล้ว
เฟิงเซียนหรุเดินไปข้างหน้าพร้อมกับหรี่ตาทั้งคู่ลง หลังจากนั้นหยิบเศษชิ้นส่วนแผ่นหนึ่งขึ้นมาดูแล้ววางกลับเข้าที่เดิม
"ว่านเจี๋ย ปล่อยตัวผู้หญิงเถอะ นี่ไม่ใช่แจกันโบราณ นายหลอกคนอื่นได้แต่หลอกฉันไม่ได้ นายลืมไปแล้วเหรอว่าก่อนที่ฉันจะมีทุกวันนี้ฉันเคยทำอะไรมาก่อน ไอ้เศษชิ้นส่วนพวกนี้เรียกไม่ได้ว่าเป็นของก๊อปเกรดเอเลยด้วยซ้ำ ก็แค่มีเทคนิคการทำแบบดั้งเดิมนิดหน่อยก็เท่านั้น"
คำพูดแบบนี้ของเฟิงเซียนหรุ ทำให้สีหน้าของว่านเจี๋ยอดไม่ได้ที่จะเปลี่ยนไป
เขาพูดอย่างไม่ค่อยเชื่อ "เป็นไปไม่ได้ ผมไปหาผู้เชี่ยวชาญมาประเมินแล้ว ยิ่งไปกว่านั้นยังมีหนังสือรับรองด้วย ต้องเป็นเพราะคุณไม่อยากชดใช้เงินก็เลยพูดแบบนี้ใช่หรือเปล่า"
"ฮึ่ม นายเพิ่งจะติดตามฉันได้วันสองวันเองเหรอ? ฉันเป็นคนยังไงนายไม่รู้เหรอ? ฉันจะโกหกนายเพราะเศษแก้วพวกนี้เหรอ?"
"รีบปล่อยคนได้แล้ว ความอดทนของฉันมีขีดจำกัด"
หลังจากที่พูดจบ เฟิงเซียนหรุจ้องมองว่านเจี๋ยด้วยความโกรธ
ในวินาทีนี้ จ้าวเสี่ยวกังรู้สึกว่าเฟิงเซียนหรุแตกต่างจากก่อนหน้านี้เป็นคนละคนเลย เขากลายเป็นคนที่ลึกซึ้งจนไม่อาจหยั่งถึง ไม่เหมือนกับเฟิงเซียนหรุที่ดูหน้าเข้าหาเหมือนก่อนหน้านี้ แต่กลายเป็นเฟิงเซียนหรุที่มีความหนักแน่นและเด็ดเดี่ยว
"ฮ่าฮ่าฮ่า……..ความน่าเกรงขามของเถ้าแก่เฟิงไม่เคยลดน้อยลงเลย เพียงแต่ว่าหลายปีที่ผ่านมาความคิดของคุณก็ไม่ไม่เปลี่ยนไปเลยสักนิด"
ทันใดนั้นมีเสียงหัวเราะดังขึ้นจากด้านหลังของว่านเจี๋ย เป็นเพียงคนกลุ่มหนึ่งกำลังเดินลงมาจากบันไดชั้นสองอย่างใจเย็น
MANGA DISCUSSION