ชายาผู้นี้ชอบทำสวน พวกเจ้าจะยุ่งทำไม? - ตอนที่ 97 งานเลี้ยงที่ไม่เหมือนใคร
ตอนที่ 97 งานเลี้ยงที่ไม่เหมือนใคร
ตอนที่ 97 งานเลี้ยงที่ไม่เหมือนใคร
เมื่อเตรียมอาหารได้พอประมาณแล้ว เฉียวเยี่ยนก็ออกไปจากห้องเครื่อง นางต้องกลับไปเปลี่ยนเสื้อผ้าที่ตำหนักคุนหนิงก่อน เพราะเสื้อผ้าที่สวมอยู่ล้วนเต็มไปด้วยกลิ่นกับข้าว
แน่นอนว่าสามพ่อลูกต่างติดสอยห้อยตามตูดมาด้วย มู่ฉินเจินจูงมือเฉียวเยี่ยนข้างหนึ่งเดินไปด้วยกัน ในขณะที่เด็กทั้งสองกระโดดโลดเต้นเดินอยู่ด้านหน้า
เฉียวเยี่ยนเปลี่ยนมาสวมเสื้อผ้าเบาสบาย เพราะงานประลองผักในวันนี้มีพิธีการหนึ่งคือการไปถอนผักในอุทยานผักด้วยกัน ฮ่องเต้เฒ่าอ้างว่าต้องการให้พวกขุนนางได้สัมผัสกับความสุขของการเก็บเกี่ยวในฤดูใบไม้ร่วง แต่ในความเป็นจริงแล้วเขาใช้โอกาสนี้ล่อลวงคนมาเป็นแรงงานเก็บเกี่ยวแบบไม่ต้องเสียเงินกลุ่มหนึ่งต่างหาก
ดังนั้นในวันนี้พวกขุนนางกับเหล่าฮูหยินคุณหนูส่วนใหญ่ล้วนเตรียมตัวก่อนมาอยู่แล้ว โดยสวมเสื้อผ้าที่สะดวกในการทำกิจกรรม ซึ่งแน่นอนว่ายังมีพวกฮูหยินคุณหนูไม่น้อยปล่อยวางการโอ้อวดตนไปไม่ได้ จึงสวมเสื้อคลุมแขนยาว กระโปรงบานกว้าง ปักปิ่นมุกแพรวพราวสะดุดตาเต็มศีรษะ จะว่าสวยมันก็สวย แต่มันไม่เข้ากับแปลงผักที่เต็มลานนี้เลย
ซึ่งอี้จื่อจิ้นคือหนึ่งในนั้น
เมื่อเฉียวเยี่ยนที่ผลัดผ้าเสร็จแล้วกับมู่ฉินเจินพาลูกๆ มาถึงงานเลี้ยง พวกขันทีกับนางข้าหลวงก็เริ่มยกอาหารเข้ามา
เพราะวันนี้อากาศดีมาก อีกทั้งหัวข้อหลักในงานเลี้ยงก็เกี่ยวกับผัก ดังนั้นฮ่องเต้จึงจัดงานเลี้ยงอยู่ตรงพื้นที่ว่างรอบข้างสวนผัก
แขกทุกท่านนั่งลง รับประทานอาหารแสนอร่อยไปด้วยและชื่นชมผักไปด้วย ดูเหมือนผลลัพธ์จะดีไม่น้อยเลย
ฮ่องเต้กับฮองเฮาประทับอยู่บนแท่นสูงสุด โต๊ะอาหารด้านล่างแบ่งเป็นฝ่ายบุรุษและฝ่ายสตรี มู่ฉินเจินที่ตัดใจไม่ได้แค่ไหนก็จำต้องไปนั่งตรงที่นั่งบุรุษ และเฉียวเยี่ยนก็พาเด็กทั้งสองไปนั่งที่ฝั่งสตรี
ทันทีที่อันซีโหวฮูหยินเห็นเฉียวเยี่ยนก็กวักมือเรียกนางเข้าไปนั่ง เฉียวเยี่ยนเหลือบมองฮูหยินคุณหนูโต๊ะเดียวกันและพบว่าไม่ใช่คนเรื่องมาก ก็เดินเข้าไปด้วยรอยยิ้ม
อันซีโหวฮูหยินเห็นเฉียวเยี่ยนแล้วก็เริ่มเปิดประเด็น หลังจากแกล้งหยอกเด็กทั้งสองแล้ว ก็ถามคำถามมากมายเกี่ยวกับการปลูกผัก
นับตั้งแต่นางไถที่ปลูกผักในจวน ทั้งครอบครัวต่างก็หลงใหล สามีนางถึงขั้นไปว่าจ้างชาวนาในชนบทคนหนึ่งมาสอนพวกเขาเลยทีเดียว
วันนี้จวนอันซีโหวของพวกเขานำกระถางพริกเข้าวังมา ซึ่งมันเติบโตแข็งแรงและออกผลดกเต็มต้น ไม่เสียแรงที่นางดูแลมันเหมือนอย่างดูแลลูก
เมื่อเอ่ยถึงการปลูกผัก เหล่าฮูหยินคุณหนูคนอื่นๆ ที่ร่วมโต๊ะก็เกิดความสนใจ ทุกต่างพูดคุยกัน บรรยากาศก็ดูสนิทสนมปรองดองกันมากขึ้น
อี้จื่อจิ้นนั่งอยู่ที่โต๊ะข้างพวกนาง ได้ยินฮูหยินท่านนี้ชมเชยเฉียวเยี่ยนอยู่เนืองๆ ก็ทำให้ความเดือดดาลที่สุมอยู่ในอกนางไม่เคยสงบลงเลย
โต๊ะที่นางนั่งร่วมด้วยต่างคุยเรื่องปุ๋ยคอกมูลไก่หรือไม่ก็ปุ๋ยคอกมูลหมู นางได้ยินก็รู้สึกมวนท้องเป็นระลอกๆ เป็นคนมีหน้ามีตากันทั้งหมด ไม่นึกเลยว่าจะหยาบคายเช่นนี้!
เฉียวเยี่ยนสังเกตเห็นอี้จื่อจิ้นชำเลืองมาทางตนตลอด ก็มองสบสายตานางตรงๆ นัยน์ตาแฝงไปด้วยการยิ้มเยาะ
ริอาจใช้โอกาสในตอนที่นางไม่อยู่หลอกล่อท่านอ๋องของนาง มายามนี้ยังริอาจถลึงตาใส่นางอีกหรือ? ดูท่าต้องสั่งสอนเสียหน่อยแล้ว!
เด็กทั้งสองที่เพิ่งนั่งลงได้เห็นแม่มดเฒ่าผู้ชั่วร้ายที่จะแย่งบิดาไปคนนั้น ก็ตีหน้าขรึมเช่นกัน ถลึงดวงตากลมโตคลอหยาดน้ำใส่นาง!
ริอาจมาแย่งท่านพ่อพวกเขา แถมยังริอาจถลึงตาใส่ท่านแม่ พวกเขาจะถลึงตาใส่นางให้ตายเลยคอยดู!
เฉียวเยี่ยนประทับใจกับการกระทำของเด็กทั้งสองจนรู้สึกอบอุ่นใจ จึงลูบดวงหน้ารูปไข่ของพวกเขา และเอ่ยอย่างอ่อนโยน “เด็กดี เราไม่จำเป็นต้องไปโต้เถียงกับแม่มดเฒ่าผู้ชั่วร้ายหรอกนะ”
นางเปล่งคำว่าแม่มดเฒ่าผู้ชั่วร้ายเสียงดังจนคนที่ร่วมโต๊ะเดียวกันกับอี้จื่อจิ้นที่อยู่โต๊ะข้างๆ ต่างก็ได้ยิน อี้จื่อจิ้นรู้ว่านางกำลังด่าตัวเองอยู่ก็โกรธกริ้วจนดวงหน้าบิดเบี้ยว หากไม่ใช่เพราะถูกมารดาตนดึงเอาไว้ นางคงลุกขึ้นไปถกเถียงกับเฉียวเยี่ยนในทันทีทันใดแล้ว
หลู่ซื่อฮูหยินท่านอัครเสนาบดีจับนางไว้ สีหน้าเคร่งขรึมลง และเอ่ยอย่างจริงจัง “ใจเย็นๆ ! อย่าลืมภารกิจของเจ้าในวันนี้สิ”
อี้จื่อจิ้นยังนึกโมโหอยู่ในใจ แต่ก็ไม่กล้าฝ่าฝืนคำพูดของมารดา รอก่อนเถิด อีกเดี๋ยวนางจะต้องเปล่งประกาย และทำให้เฉียวเยี่ยนไม่แม้แต่จะเทียบกับนางได้!
เมื่ออาหารถูกยกออกมาทั้งหมด แขกทุกคนต่างก็จ้องมองอาหารบนโต๊ะแต่ละอย่างอย่างตกตะลึงเล็กน้อย พวกเขาเคยรับประทานอาหารในงานเลี้ยงรับรองมาก่อน แต่มันล้วนหน้าตาดูดีงดงาม พวกเขาไม่เคยเห็นอาหารที่เรียบง่ายและติดดินเช่นนี้มาก่อนเหมือนวันนี้เลย
นี่เปลี่ยนพ่อครัวแล้วหรือ?
ฮ่องเต้พอพระทัยกับอาหารบนโต๊ะมาก เขายกจอกสุราขึ้นเอ่ยเชื้อเชิญแขกให้ดื่มด้วยกัน แถมยังตรัสชมเฉียวเยี่ยน คนบริเวณนั้นถึงได้รู้ว่าซู่หวางเฟยสอนให้พ่อครัวหลวงทำอาหารเหล่านี้ออกมา
เฉียวเยี่ยนรู้ว่าตัวเองดื่มไม่เก่ง กลัวว่าดื่มไปแล้วจะทำเรื่องน่าอาย จึงยกจอกชาแทนเหล้า ขอบพระทัยฝ่าบาทที่ชื่นชม
หลังจากฮ่องเต้ขยับตะเกียบ พวกแขกก็เริ่มรับประทานอย่างทนไม่ไหว ความจริงแล้วอาหารเหล่านี้หอมเกินไป อาหารทุกอย่างแน่นทุกจาน ไก่ผัดพริกทั้งอร่อยทั้งกรอบ แล้วก็ยำตีนไก่ไร้กระดูกที่พวกเขาไม่เคยรับประทานมาก่อนอีก
ไม่คิดเลยว่าตีนไก่จะนำมาทำอาหารเช่นนี้ได้ด้วย ทั้งเปรี้ยวทั้งเผ็ด แถมยังมีกลิ่นหอมอ่อนๆ ที่เป็นเอกลักษณ์อย่างชัดเจน หลังจากกินเข้าไปมันก็ไม่ใช่ตีนไก่ตุ๋นเนื้ออ่อนนุ่มแบบที่เคยกิน แต่มันกรุบกรอบ สดชื่นดีมาก
ไหนจะอาหารหน้าตาธรรมดาเหล่านั้นอีก โดยเฉพาะตำมะเขือยาวหน้าตาไม่น่ากิน แต่เหตุใดมันถึงได้อร่อยขนาดนี้
มะเขือยาวนึ่งจนสุกตำเข้าด้วยกันกับไข่เยี่ยวม้า แล้วใส่กระเทียมสับ ซอสพริก แม้หน้าตาจะดูไม่ดี แต่มันก็อร่อยมาก และเหมาะที่จะรับประทานกับข้าวมาก
แล้วก็ผักดองต่างๆ อีก ล้วนทำมาจากในวัง ให้รสชาติสดใหม่มาก
อาหารมื้อนี้ได้ทำลายภาพจำของทุกคนที่มีต่องานเลี้ยงพระราชวังในอดีต เมื่อก่อนอาหารส่วนใหญ่ของงานเลี้ยงในพระราชวังล้วนเอามาไว้ชมเชย ไม่ใช่เอามาไว้รับประทาน เพราะหนึ่งคือการตั้งใจกินอาหารมากเกินไปในที่ชุมนุมชนเป็นสิ่งที่ไม่น่าดู และสองคือการระวังอุบายทุกชนิด
ดังนั้นปกติเมื่อมาร่วมงานเลี้ยง บรรดาขุนนางฮูหยินคุณหนูต่างๆ จะไม่รับประทานอะไร แค่เสแสร้งแกล้งทำก็เท่านั้น
ทว่าวันนี้ไม่เหมือนกัน อาหารทุกอย่างล้วนเย้ายวนใจพวกเขามาก นี่สิถึงจะเป็นอาหารที่คนควรกิน!
ฝ่าบาทกับฮองเฮาก็เริ่มเสวยแล้ว พวกเขายังจะกังวลอะไรอีก กินบ้างก็ถูกต้องแล้ว!
บรรยากาศในงานเลี้ยงได้ครื้นเครงขึ้นอีกครั้ง พวกแขกต่างๆ เริ่มรับประทานอาหาร พร้อมเอ่ยปากชมเฉียวเยี่ยนไม่ขาดปาก สุดท้ายแม้แต่คนที่เกี่ยวข้องกับเฉียวเยี่ยนก็ได้รับคำชม
โต๊ะที่มู่ฉินเจินนั่งอยู่นั้นเต็มไปด้วยสหายร่วมงานที่พอถือว่าคุยกันได้ ส่วนใหญ่ล้วนเป็นผู้บัญชาการทหาร และผู้บัญชาการทหารไม่ได้สนใจอาหารมากนัก แค่กินเนื้อดื่มเหล้าเท่านั้น
พวกเขารับประทานไปด้วยแถมยังส่งสายตาอิจฉาให้มู่ฉินเจินไปด้วย แถมอุทานว่าเหตุใดพวกเขาถึงไม่อาจแต่งภรรยาที่มีฝีมือเช่นนี้ได้นะ!
มู่เวินเหยียนกินจนหน้าแทบจะซุกเข้าไปในถ้วยแล้ว ช่วงนี้เขาถูกเสด็จพ่อโยนไปฝึกประสบการณ์ที่ค่ายทหาร และถูกฝึกอย่างทรมานทุกวัน นานแล้วที่ไม่ได้รับประทานอาหารที่พี่สะใภ้ทำ วันนี้จะต้องกินให้อิ่มหนำสำราญไปเลย!
มู่ฉินเจินมองท่าทางโง่เขลาของเขา ก็เตะเท้าเขาข้างใต้โต๊ะอย่างรังเกียจ
มู่เวินเหยียนถูกเตะก็กระเด้งตัวยืนขึ้นจากที่นั่งทันที แถมยังไม่ลืมปกป้องถ้วยของตัวเอง
“พี่สี่! ท่านเตะข้าทำไม?”
การเคลื่อนไหวของเขาไม่เบานัก จึงดึงดูดความสนใจของคนบริเวณรอบๆ มู่ฉินเจินกุมหน้าผากอย่างปวดหัว เวลานี้นึกอยากจะตัดขาดกับพระอนุชาคนนี้มาก
มู่เวินเหยียนรู้สึกว่าตัวเองถูกเมินเฉย ก็นั่งลงรับประทานต่ออย่างไม่พอใจ และมิวายที่จะ ‘ข่มขู่’ มู่ฉินเจิน “ข้าจะเอาไปฟ้องพี่สะใภ้สี่!”
เขาในตอนนี้จับจุดอ่อนพี่สี่ของตัวเองได้แล้ว ขอเพียงพี่สะใภ้สี่ปกป้องเขา พี่สี่ก็จะทำอะไรเขาไม่ได้!
นอกจากมู่ฉินเจินถูกอิจฉาแล้ว ก็ยังมีอีกคนที่ถูกชม ทว่าสีหน้าของเขาดูไม่ค่อยสู้ดีอย่างชัดเจน ทั้งยังยิ้มฝืดเฝื่อนออกมาเล็กน้อย นั่นก็คือเฉียวเจิ้นผิง เสนาบดีกรมพระคลัง ผู้เป็นบิดาแท้ๆ ของเฉียวเยี่ยน
หลายปีมานี้เฉียวเจิ้นผิงไม่แยแสเฉียวเยี่ยนเลย เมื่อนางแต่งงานออกไปก็ตัดขาดความสัมพันธ์กับนาง เดิมทีมีลูกสาวโง่เขลาอยู่คนหนึ่ง พอเอ่ยถึงก็รู้สึกขายหน้า จึงคิดถูกแล้วที่ตัดความสัมพันธ์ไป
แต่ไม่คิดเลยว่าลูกสาวโง่เขลาคนนี้จะเปลี่ยนเป็นเก่งกาจขึ้น ไม่เพียงแต่กำเนิดทายาทให้ท่านอ๋องซู่ แต่ยังก่อตั้งอุตสาหกรรมต่างๆ มากมาย หากรู้เร็วกว่านี้ เขาคงไม่ทำเช่นนี้ตั้งแต่แรก
ตอนนี้เป็นอย่างไรเล่า นางเจริญรุ่งเรืองแล้ว แต่นางลืมไปหมดแล้วว่าเขาเป็นบิดา ตอนนี้ได้ฟังคนอื่นชื่นชม จึงจำต้องกัดฟันกล้ำกลืนลงไป
ลูกสาวของเขาเก่งกาจ แต่ความเก่งกาจนี้ไม่ได้เกี่ยวข้องอะไรกับเขาเลย คิดว่ามันน่าโมโหหรือไม่เล่า!
…………………………………………………………………………………………………………………………
สารจากผู้แปล
คุณหนูอี้ไม่อ่านไลน์กลุ่มอีกแล้วนะคะ เดี๋ยวก็ได้ขายหน้าตอนลงแปลงเก็บผักหรอก
เสียดายล่ะสิคุณพ่อ เห็นลูกสาวมีชีวิตดีขึ้นแต่ตัวเองไม่มีโอกาสได้มีส่วนร่วมในความสำเร็จของลูก เน้นโหนไม่เน้นสร้างงี้เหรอคะ
ไหหม่า(海馬)