ชายาผู้นี้ชอบทำสวน พวกเจ้าจะยุ่งทำไม? - ตอนที่ 62 พาครอบครัวไปหนิงเฉิง
ตอนที่ 62 พาครอบครัวไปหนิงเฉิง
ตอนที่ 62 พาครอบครัวไปหนิงเฉิง
เรื่องปลูกผักในพระราชวังของเฉียวเยี่ยนได้สร้างความโกลาหลอย่างมาก เหล่าขุนนางกรมพระคลังต่างมีความใคร่รู้เกี่ยวกับซู่หวางเฟยผู้นี้ จึงพากันมาดูโครงการปลูกผักครั้งใหญ่ของนางทีละคน
ในฐานะสหายร่วมเส้นทางเดียวกัน เฉียวเยี่ยนก็คุยกับพวกเขาอย่างสนุกสนาน ผู้ที่สามารถเข้าไปอยู่ในกรมพระคลังได้ล้วนมีความรู้เชิงลึกเกี่ยวกับการเกษตร ท่องจำงานด้านการเกษตรได้ขึ้นใจ แต่พวกเขากลับไม่เคยได้ยินความคิดเห็นบางส่วนของเฉียวเยี่ยนมาก่อน เมื่อคุยกับนางจึงรู้สึกว่าได้ประโยชน์มาก
ใกล้จะเข้าสู่เดือนสี่แล้ว เฉียวเยี่ยนจะใช้เวลาในพระราชวังอีกต่อไปไม่ได้แล้ว ที่ดินสองพันหมู่ของนางยังรอนางอยู่
นางมอบหมายงานปลูกผักในพระราชวังให้กับเหล่าขุนนางกรมพระคลัง ให้พวกเขาชี้นำเหล่าขันทีกับนางข้าหลวงแทนตน นอกจากนี้ยังเชิญเฟิงเฉียนอันเข้ามาในพระราชวังด้วยเพื่อควบคุมการสร้างเรือนกระจก ซึ่งฮ่องเต้ชราเสด็จมาเยือนจุดก่อสร้างทุกวันอย่างตื่นเต้นจนกลายเป็นผู้คุมงานเสียเอง
หลังจากจัดการเรื่องทั้งหมดในวังแล้ว เฉียวเยี่ยนก็พาครอบครัวของนางเดินทางไปยังที่ดินสองพันหมู่ในเมืองหนิงเฉิง
เหตุใดต้องพาครอบครัวไปด้วยนะรึ?
เพราะผู้ติดตามสามคนไม่เห็นด้วยกับการที่นางไปคนเดียว
เมื่อรู้ว่ามารดาจะไปข้างนอกหลายวัน ลูกทั้งสองจึงติดสอยห้อยตามเฉียวเยี่ยนไม่ห่าง กลิ้งตัวไปมาพลางออดอ้อนอยากจะไปกับนาง
และไม่ต้องเอ่ยถึงมู่ฉินเจินเลย เขาจะปล่อยให้เจ้าท่อนไม้ออกไปข้างนอกคนเดียวหลายวันได้อย่างไร! พื้นฐานความสัมพันธ์ของพวกเขาอ่อนแออยู่แล้ว หากต้องแยกจากกันอีกสองสามวัน เจ้าท่อนไม้อาจจะลืมเขาคนนี้ไปจนสิ้นก็ได้
เฉียวเยี่ยนไร้ทางเลือก เด็กเล็กทั้งสองงอแงก็ไม่เป็นไร แต่เด็กโข่งก็งอแงด้วยนี่มันอะไรกัน? ไม่ไปว่าราชการ? ไม่จัดการงานราชการแล้วรึ?
มู่ฉินเจินโบกมือ ทุกวันที่เขาไปว่าราชการล้วนต้องฟังชายชราเหล่านั้นพล่ามแต่เรื่องไม่เป็นเรื่อง เขาจะไปหรือไม่ไปก็ไม่ต่างกัน ส่วนงานราชการทหารนั้นโยนให้พวกนายพลสองสามคนทำแทนก็ได้แล้ว ไม่เช่นนั้นพวกเขาจะมีประโยชน์อะไร?
ครั้งฮ่องเต้กับฮองเฮาได้ยินว่ามู่ฉินเจินจะตามเฉียวเยี่ยนไปหนิงเฉิงสองสามวันก็ยกไม้ยกมือชื่นชม ตอนนี้พวกเขาล้วนกังวลแทนพระโอรส ผ่านมาหนึ่งปีแล้ว เจ้าเด็กบ้านี่ยังมัดใจภรรยาได้ไม่อยู่หมัดสักที!
ยิ่งคิดก็ยิ่งโมโหเสียจริง!
หากพระสุณิสาที่มีความสามารถขนาดนี้หนีไปกับคนอื่น พวกเขาจะหาได้ที่ไหนอีก?
วันที่ยี่สิบแปดเดือนสาม ครอบครัวของเฉียวเยี่ยนนั่งในรถม้ากว้างขวาง พร้อมกับกลุ่มคนจำนวนหนึ่งควบม้าออกเดินทางไปยังหนิงเฉิง
หนิงเฉิงอยู่ทางทิศตะวันออกเฉียงใต้ของเมืองหลวง ห่างจากที่นี่ค่อนข้างไกล นั่งรถม้าไปต้องใช้เวลาทั้งวัน
ทิวทัศน์ในเดือนสามสวยงามเป็นพิเศษ ดอกไม้ป่าข้างทางบานสะพรั่ง ผลิดอกสีเหลือง ชมพู ขาวเป็นหย่อม ๆ บนต้นไม้ยังผลิใบอ่อน ดูเขียวชอุ่ม
ครั้นถึงเวลารับประทานอาหาร พวกเขาก็ไม่พบโรงเตี๊ยมสักแห่ง จึงแวะพักตรงลานกว้างบริเวณชายป่าและก่อไฟทำอาหาร ซึ่งเฉียวเยี่ยนสั่งให้คนเอาพวกหม้อ กระทะ อะไรต่าง ๆ มาด้วย และยังพกซอสพริกมาด้วยสองสามขวด
ลูกทั้งสองมีความสุขมาก เสี่ยวอวี๋เอ๋อร์เก็บดอกไม้ป่ามากำใหญ่ ใช้มือน้อยถักเป็นพวงมาลัยดอกไม้อย่างเงอะงะ และนำมาสวมไว้บนศีรษะเฉียวเยี่ยน
“ท่านแม่…ลูกทำมาลัยดอกไม้พวงนี้ให้ท่านแม่เจ้าค่ะ”
เสียงน่ารักของคนตัวเล็กทำให้เฉียวเยี่ยนรู้สึกมีความสุขเหมือนได้กินน้ำผึ้ง พลางดึงนางเข้ามาหอมสองสามฟอดอย่างแรงจนใบหน้าน้อยย่นยู่
ทว่าเจ้าปลาอ้วนชอบให้ท่านแม่หอมมาก นางยิ้มจนตาหยี หัวเราะคิกคักจนทำให้ทุกคนยิ้มตาม
เมื่อได้รับคำชมจากมารดาแล้ว เด็กน้อยก็ไปเก็บดอกไม้ป่าต่อ เพื่อถักพวงมาลัยดอกไม้ให้กับบิดาและพี่ชาย
เสี่ยวฉวนเอ๋อร์ยืนมองพวกลุงองครักษ์ย่างกระต่ายป่าขณะเอามือน้อยไพล่หลังอย่างเคร่งขรึม ราวกับกำลังศึกษาอะไรบางอย่าง
เฉียวเยี่ยนกำลังต้มบะหมี่ มู่ฉินเจินเป็นลูกมือนางอยู่ข้าง ๆ ขณะฮุ่ยเซียงยืนตกตะลึงพรึงเพริดอีกอีกด้านหนึ่ง ท่านอ๋องแย่งงานนางทำไปหมดแล้ว ทำให้ตอนนี้นางไม่รู้ว่าจะต้องทำอะไร และรู้สึกว่าตัวเองเป็นคนขี้เกียจ
อีกอย่าง นางอยากทำอาหารกับหวางเฟยมาก ๆ หวางเฟยชอบเล่าเรื่องตลกกับนาง แต่ท่านอ๋องขีดเส้นกั้นเอาไว้แข็งแกร่งเกินไป นางเข้าไปแทรกไม่ได้เลย!
ฮุ่ยเซียงในเวลานี้เหมือนอนุที่ถูกทิ้งให้อยู่อย่างอ้างว้าง มองหวางเฟยที่รักปรนเปรอท่านอ๋องด้วยสีหน้าเศร้าสร้อย
เสี่ยวอวี๋เอ๋อร์จะร้อยมาลัยดอกไม้อีกหนึ่งพวง ทว่าเมื่อคำนึงถึงบิดา เจ้าปลาอ้วนจึงไม่ได้เก็บดอกไม้มามากมายนัก นางดึงหญ้ามาหนึ่งกำมือ ถักเป็นพวงมาลัยดอกหญ้าสีเขียว และตกแต่งด้วยดอกไม้เล็กสีชมพูสองสามดอก
เด็กน้อยส่ายก้นดุ๊กดิ๊กนำมาลัยดอกไม้ไปสวมศีรษะให้บิดา จากนั้นมองสำรวจครู่หนึ่ง ก่อนจะพยักหน้าด้วยความพอใจ และรู้สึกว่าฝีมือตัวเองยอดเยี่ยมมาก!
สำหรับบิดาที่คลั่งไคล้ในตัวลูกอย่างมู่ฉินเจินแล้ว ต่อให้ลูกจะสวม ‘หมวกสีเขียว*’ เขาก็ยินดีจะรักลูกสุดหัวใจ
(*สวมหมวกเขียว เป็นสำนวนจีน แปลว่าถูกคนรักนอกใจ ตรงกับสำนวนไทยว่าถูกสวมเขา)
เจ้าปลาอ้วนถูกบิดาชมก็หอมแก้มเขาไปหลายฟอดอย่างมีความสุข และรู้สึกว่าเขามีสายตาอันเฉียบแหลม
เฉียวเยี่ยนมองมาลัยดอกหญ้าสีเขียวบนศีรษะมู่ฉินเจินและหัวเราะออกมา มู่ฉินเจินไม่เข้าใจว่านางหัวเราะอะไร ก็เลิกคิ้วขึ้นอย่างเย่อหยิ่ง “ดูดีหรือไม่?”
“ฮ่าๆๆ ดูดีสิ สีเขียวเหมาะกับท่านมาก”
มู่ฉินเจินไม่เข้าใจความหมายของคำพูดนี้ เแค่ได้ยินเฉียวเยี่ยนชมเขาดูดี มุมปากก็ยกขึ้นเล็กน้อย และรู้สึกอารมณ์ดี
เฉียวเยี่ยนกลั้นไว้ไม่ไหวอีกต่อ กุมท้องระเบิดหัวเราะออกมา ท่าทางซื่อบื้อแบบนี้ของท่านอ๋องช่างน่ารักเหลือเกิน
ข้างทางมีปัจจัยจำกัด ทำอะไรไม่ได้มากนัก ดังนั้นเฉียวเยี่ยนจึงนำผักกับบะหมี่ในรถม้ามาต้มด้วยกัน หลังตักออกจากหม้อก็ตักซอสพริกใส่ลงไปหนึ่งช้อนคลุกเคล้าให้เข้ากัน เท่านี้ก็อร่อยแล้ว
ในตอนที่องครักษ์ไปเก็บฟืน พวกเขาก็ล่ากระต่ายป่ามาได้ แม้กระต่ายป่าย่างเกรียมจนหอมกับบะหมี่หอมกรุ่นหนึ่งชามจะดูไม่เข้ากัน ทว่ารสชาติกลับอร่อยมาก
กลางชายป่าไม่มีโต๊ะ ถ้วยที่ใส่บะหมี่ค่อนข้างร้อนจนมือบอบบางของเด็กสองคนถือไว้ไม่ไหว เฉียวเยี่ยนกับมู่ฉินเจินจึงช่วยกันป้อนลูกคนต่อคน ผู้ใหญ่คำหนึ่ง ลูก ๆ คำหนึ่ง เด็กทั้งสองกินอย่างมีความสุข หลังกินบะหมี่เสร็จ เด็กทั้งสองก็เคี้ยวขากระต่ายคนละข้าง
เมื่อกินอิ่มแล้วก็ออกเดินทางต่อ พอถึงที่หมาย ท้องฟ้าก็มืดแล้ว
จุดหมายปลายทางของการเดินทางครั้งนี้คือหมู่บ้านเล็ก ๆ สองแห่งในหนิงเฉิงได้แก่หมู่บ้านม่ายเซียงกับหมู่บ้านจิ่วหลีพัว ทั้งสองหมู่บ้านอยู่ใกล้ที่ดินสองพันหมู่ของเฉียวเยี่ยน เฉียวเยี่ยนจึงวางแผนที่จะจ้างคนงานจากหมู่บ้านเหล่านี้มาช่วยนางปลูกผักในฤดูใบไม้ผลิ
หมู่บ้านม่ายเซียงอยู่ใกล้กว่าหมู่บ้านจิ่วหลีพัว คืนนี้พวกเขาจึงพักที่หมู่บ้านม่ายเซียง เกาจัวหยวนควบม้าเร็วไปที่หมู่บ้านม่ายเซียงล่วงหน้า คุยกับหัวหน้าหมู่บ้านที่นี่ และหาที่พักให้เฉียวเยี่ยนกับคนอื่น ๆ
ที่พักที่ได้มาเป็นบ้านไร่หลังเล็กที่ไม่มีใครอยู่มานานแล้วหลังหนึ่ง มีห้องหลักสามห้อง มีห้องครัวเล็ก ๆ หนึ่งห้องทางด้านขวามือ หัวหน้าหมู่บ้านกล่าวว่าเจ้าของบ้านย้ายเข้าไปทำมาหากินในเมืองแล้ว จึงปล่อยบ้านหลังเก่าให้ทิ้งร้างไว้
ถนนในหมู่บ้านค่อนข้างแคบ ส่วนรถม้าที่พวกเฉียวเยี่ยนนั่งถูกขยายให้กว้างขึ้น พอเข้าไปในหมู่บ้านได้ไม่ถึงครึ่งทางก็เข้าไปต่อไม่ได้แล้ว นางกับมู่ฉินเจินจึงจำต้องลงจากรถ อุ้มเด็ก ๆ เดินตามเหล่าองครักษ์เข้าไปในหมู่บ้าน
ค่ำคืนนี้จันทร์กระจ่างนัก แม้บรรยากาศจะมืดมิด แต่เป็นเพราะแสงจันทร์จึงทำให้พอมองเห็นเส้นทางได้ชัด หมู่บ้านเล็ก ๆ อันเงียบสงบมีเสียงสุนัขหลายตัวเห่าดังขรม พวกมันน่าจะตกใจเสียงของพวกเขา
ยามนี้เพิ่งเป็นยามซวี (สองทุ่มกว่า) แต่ในหมู่บ้านกลับไม่มีแสงไฟเลยแม้แต่น้อย เฉียวเยี่ยนรู้ว่าเป็นเพราะชาวบ้านที่ยากจนตัดใจจุดเทียนกับตะเกียงน้ำมันไม่ได้ ดังนั้นพวกเขาจึงออกมาทำงานแต่เช้าตรู่ พอถึงค่ำก็นอนหลับพักผ่อน
เฉียวเยี่ยนอุ้มเสี่ยวฉวนเอ๋อร์อยู่ เด็กน้อยลืมตากว้างมองไปรอบ ๆ สภาพแวดล้อมที่ไม่คุ้นเคยทำให้เขารู้สึกไม่สบายใจเล็กน้อย แต่อ้อมกอดของมารดาทำให้เขารู้สึกปลอดภัย
เฉียวเยี่ยนรู้สึกถึงร่างที่หดเกร็งของเด็กน้อย จึงลูบศีรษะน้อยของเขาเบา ๆ “ลูกไม่ต้องกลัว แม่กับพ่ออยู่ด้วย ไม่มีอันตรายหรอก”
เมื่อถูกมองออก เสี่ยวฉวนเอ๋อร์ก็รู้สึกอายเล็กน้อย จึงฝังใบหน้าเล็ก ๆ ไว้บนไหล่มารดา เฉียวเยี่ยนยิ้มออกมาอย่างเงียบเชียบ โดยไม่สังเกตก้อนหินเล็กๆ บนพื้น จึงสะดุดหินก้อนนั้นเข้าอย่างไม่ทันระวังตัว
เฉียวเยี่ยนล้มคะมำไปด้านหน้า ทำให้มู่ฉินเจินรีบคว้าแขนนางไว้อย่างฉับไว
“ระวัง!”
………………………………………………………………………………………………………………………
สารจากผู้แปล
น่าต่อเรือเฉียวเยี่ยนกับฮุ่ยเซียงเหมือนกันนะคะ อยากกลั่นแกล้งโบ้ตัวหนึ่งให้เต้นผางอยู่ไม่สุข
ท่านอ๋องทำคะแนนใหญ่เลยนะคะ กลัวแพ้ระบบเหรอ?
ไหหม่า(海馬)