ชายาผู้นี้ชอบทำสวน พวกเจ้าจะยุ่งทำไม? - ตอนที่ 338 พบชาวตงอิ๋ง
ตอนที่ 338 พบชาวตงอิ๋ง
ตอนที่ 338 พบชาวตงอิ๋ง
มู่ฉินเจินเห็นนางปกป้องอาหาร ก็ยิ้มอย่างจนใจ และเอื้อมมือไปลูบหัวนาง “เอาล่ะ เป็นของเจ้าทั้งหมดเลย มื้อต่อไปก็เป็นของเจ้าด้วย”
เฉียเยี่ยน “…”
นี่ไม่จำเป็นหรอก ถึงอย่างไรหากนางยังกินอาหารแบบนี้อีกสองสามครั้ง เกรงว่าร่างกายคงมีปัญหาแน่แล้ว
แต่ใครให้เขาเป็นผู้ชายของนางกัน นางทำได้เพียงเงยหน้าขึ้นพร้อมยิ้มแหย แบกรับภาระอันหอมหวานและขมขื่นนี้
หลังจากกินข้าวเสร็จ มู่ฉินเจินก็จับมือเฉียวเยี่ยนไปเดินเล่นรอบสำนักศึกษาเพื่อย่อยอาหาร
ในเวลานี้พวกนักเรียนหลับกันหมดแล้ว ภายในสำนักศึกษาจึงเงียบมาก มีแค่เสียงของเจ้าหน้าที่รักษาความปลอดภัยที่เดินตรวจตราดังออกมาเป็นครั้งคราวเท่านั้น
เฉียวเยี่ยนบีบมือใหญ่ของมู่ฉินเจิน และเอ่ยด้วยรอยยิ้มบางเบา “ท่านมีอะไรในใจหรือ? รีบบอกมาเถิด”
เป็นสามีภรรยากันมาตั้งหลายปี ความรู้สึกทั้งหมดของเขาไม่อาจรอดพ้นสายตาของนางไปได้
มู่ฉินเจินถอนหายใจออกมา และเอ่ยอย่างเชื่องช้า “ข้าอาจจะต้องออกจากเมืองหลวงเดินทางไปยังเยวี่ยโจวสักระยะหนึ่ง”
เฉียวเยี่ยนชะงักฝีเม้า ก่อนเงยหน้าขึ้นมองหน้าเขาภายใต้แสงจันทร์ “มีอะไรเกิดขึ้นที่เยวี่ยโจวอีกแล้วหรือ?”
มู่ฉินเจินพยักหน้า และลดเสียงลง”หวังสยงอันส่งรายงานลับแจ้งมาว่าไม่กี่วันมานี้พบเจอชาวตงอิ๋ง*อยู่ในเยวี่ยโจว แล้วพวกเขาก็จับมาได้สองสามคน ทว่าชาวตงอิ๋งเหล่านั้นไม่รู้ภาษาของอาณาจักรเรา จึงไม่สามารถสื่อสารได้”
(*东瀛 เป็นภาษาจีนโบราณ หมายถึงประเทศญี่ปุ่น)
“ตงอิ๋งกับเทียนลี่ขัดแย้งกันมาตลอด ครั้งนี้มีชาวตงอิ๋งแอบลักลอบข้ามเขตแดนเข้ามาภายในอย่างกะทันหัน ข้ากับชายชราจึงเดาว่าจุดประสงค์ของพวกเขาคงไม่ธรรมดา จึงอยากคุมตัวชาวตงอิ๋งสองสามคนนั้นกลับไปไต่สวนที่เมืองหลวง”
“หวังสยงอันได้พาชาวตงอิ๋งสองสามคนนั้นเดินทางออกมาแล้ว ทว่าข้ากลัวจะมีบางอย่างเกิดขึ้นระหว่างทาง ดังนั้นพรุ่งนี้เลยจะออกเดินทางไปยังเยวี่ยโจว เพื่อรับพวกเขาต่อระหว่างทาง และพานักโทษกลับเมืองหลวงพร้อมกับหวังสยงอัน”
เฉียวเยี่ยนมีสีหน้าจริงจัง ชาติที่แล้วนางเป็นชาวหัวเซี่ย*แท้ ย่อมมีความเดียดฉันท์ต่อชาวตงอิ๋งอยู่แล้ว ยามนี้ได้ยินว่าชาวตงอิ๋งปรากฏตัวในดินแดนของนาง นางก็รู้สึกว่าเรื่องนี้มันไม่ง่ายขนาดนั้น
(*华夏 หมายถึงคนจีน เป็นอีกคำหนึ่งที่คนจีนใช้เรียกสัญชาติตัวเอง)
เยวี่ยโจวตั้งอยู่บนชายฝั่งทะเล เป็นสถานที่เหมาะให้ชาวตงอิ๋งขึ้นฝั่งได้ง่าย
นางเล่าถึงความบาดหมางแค้นเคืองกันอย่างลึกซึ้งระหว่างหัวเซี่ยกับตงอิ๋งให้มู่ฉินเจินฟัง หลังจากเขาฟังจบ ในหัวก็ลุกโชนไปด้วยโทสะเช่นกัน
ต่ำช้า! ไร้มนุษยธรรมนัก!
เขาจะต้องจับตัวชาวตงอิ๋งทุกคนที่ลักลอบเข้ามาในเทียนลี่ให้ได้ ไม่ว่าจุดประสงค์เบื้องหลังพวกเขาคืออะไร เขาจะให้พวกเขาได้ชดใช้อย่างสาสม!
ทั้งสองคุยกันอยู่ครู่หนึ่ง เฉียวเยี่ยนก็กอดเอวสอบ และเอาหัวแนบหน้าอกเขา รู้สึกอาลัยอาวรณ์เล็กน้อย “จะไปเมื่อไหร่หรือ?”
เสียงของมู่ฉินเจินขมขื่น “ก่อนรุ่งสางก็ต้องออกไปแล้ว”
เขากับชายชรากังวลว่ามีคนในราชสำนักสมรู้ร่วมคิดกับตงอิ๋ง ดังนั้นเรื่องไปเยวี่ยโจวจึงดำเนินการอย่างลับๆ
เฉียวเยี่ยนรู้สึกเศร้าเล็กน้อย ช่วงนี้นางยุ่งกับเรื่องสำนักศึกษามาตลอด ส่วนเขาก็มีงานของตัวเองที่ต้องจัดการ ทั้งสองยุ่งกับเรื่องของตัวเอง เวลาอยู่ด้วยกันจึงมีไม่มากนัก
ตอนนี้จู่ๆ รู้ว่าเขาจะออกไปข้างนอกหลายวัน ก็อดรู้สึกเป็นทุกข์ไม่ได้
นางฟังเสียงหัวใจของเขา พลางกำชับอย่างละเอียดรอบคอบ “เดินทางต้องระวังด้วย ชาวตงอิ๋งเป็นพวกเจ้าเล่ห์โหดร้าย เจ้าต้องกลับมาอย่างปลอดภัย”
นางยังถ่ายทอดความรู้เล็กๆ น้อยๆ ทั้งหมดที่ได้รับจากการดูทีวีและดูวิดีโอให้เขาฟังด้วย เช่นนักรบตงอิ๋งหรือนินจา พวกนี้ให้เขาได้มีความเข้าใจคร่าวๆ ไปก่อน พอเจอแล้วจะได้ไม่มืดแปดด้าน
มู่ฉินเจินฟังคำแนะนำของภรรยา ในตาฉายแสงมืดมน ไม่ว่าจะนักรบอะไรก็ตาม หากริอาจเข้ามาในเทียนลี่ เขาไม่ปล่อยไปแน่!
ถึงตอนนั้นเขาก็อยากเห็นนัก ว่าวรยุทธ์ยอดเยี่ยมที่พวกเขาสืบทอดกันมานานนับพันปีกับนินจาอะไรนั่นของตงอิ๋ง! อันไหนยอดเยี่ยมกว่ากัน
ยามอิ๋น เกาจัวหยวนนำทัพเข้าร่วมกับมู่ฉินเจิน มู่ฉินเจินบอกลาเฉียวเยี่ยน พลิกตัวขึ้นหลังม้า และออกจากเมืองหลวงเดินทางไปเยวี่ยโจวพร้อมกับผู้ติดตามในคืนนั้น
เฉียวเยี่ยนเฝ้าดูเขาจากไปจนลับตา ก่อนกลับเข้าไปนอนในห้อง ทว่าทำอย่างไรก็นอนไม่หลับ ในใจอดกังวลไม่ได้
แม้ใช่ว่าเขาจะไม่เคยออกบ้านไปไหนเลย ทว่าครั้งนี้นางมักจะรู้สึกว่าในใจกำลังปั่นป่วน
ขอให้เขากลับมาอย่างปลอดภัย ไม่เช่นนั้นนางคงสิ้นเนื้อประดาตัวไปกับการซื้อปืนและกระสุนกับระบบตัวน้อยเพื่อกวาดล้างเกาะเล็กๆ นั่น ไม่ให้พวกเขาไปทำร้ายคนรุ่นหลังได้!
นางนอนไม่หลับไปจนฟ้าสาง ในตอนรุ่งเช้า เสียงนกหวีดปลุกนักเรียนดังขึ้นจากในสำนักศึกษา นักเรียนทยอยกันลุกขึ้น ล้างหน้าบ้วนปาก และไปรับประทานข้าวเช้าที่โรงอาหาร จากนั้นก็เดินไปเข้าห้องเรียน เริ่มเรียนในหนึ่งวัน
พวกอาจารย์แต่งกายเรียบร้อย เดินเข้าไปในห้องเรียนอย่างกระฉับกระเฉง และเริ่มสอนพวกนักเรียนเหล่านี้ที่ต้องการรับความรู้อย่างเร่งด่วน
นักเรียนเหล่านี้ส่วนใหญ่ไม่เคยเข้าเรียนสำนักศึกษาเอกชนมาก่อน ครั้นได้ฟังอาจารย์บรรยาย ทั้งรู้สึกแปลกใหม่ทั้งตื่นเต้น แต่ละคนตั้งใจเรียนเป็นพิเศษ
และยังมีบางคนที่เคยเรียนสำนักศึกษาเอกชนมาสองปี แต่ทางบ้านเกิดการเปลี่ยนแปลง และไม่มีเงินจึงต้องลาออก ยามนี้ได้กลับมาเรียนอีกครั้ง พวกเขายิ่งหวงแหนโอกาสนี้มากกว่าคนอื่นๆ
เฉียวเยี่ยนตรวจสอบสถานการณ์ในชั้นเรียนของพวกนักเรียนอยู่นอกห้องเรียน ครั้นเห็นพวกเขาตั้งใจ ก็จากไปด้วยความพึงพอใจ
เมื่อกลับถึงบ้าน เด็กทั้งสี่ในบ้านไปเรียนกันหมดแล้ว เหลือเพียงเจ้าตัวเล็กเท่านั้นที่อยู่ในบ้าน
เมื่อวานเจ้าตัวเล็กไม่เห็นพ่อแม่เลย เมื่อเห็นเฉียวเยี่ยนในตอนนี้ ก็เบะปากร้องไห้อย่างเศร้าใจ
เฉียวเยี่ยนอุ้มเด็กน้อยขึ้นมา แม้เจ้าก้อนแป้งจะหนัก อุ้มทีค่อนข้างเหนื่อย ทว่านางก็ยังชอบอย่างมาก
หลังจากฟัดแก้มเด็กน้อยอยู่พักหนึ่ง ก็หยิบของเล่นมาแกล้งเขา “เด็กดี แม่ผิดเอง ลูกไม่โกรธแม่นะ?”
แต่เห็นได้ชัดว่าเจ้าตัวน้อยเป็นคนเจ้าอารมณ์มาก หัวเล็กๆ ซบลงบนไหล่แม่แสดงท่าทางเสียใจ การสะอื้นไห้ตัวสั่นระริกนั้น ทำให้คนชอบอย่างมาก
เพราะเมื่อคืนมู่ฉินเจินไปหานางที่สำนักศึกษา และกังวลว่าเด็กๆ จะงอแงที่ไม่ได้เจอพ่อแม่ ดังนั้นเขาจึงพาซูเนี่ยนหว่านผู้เป็นแม่ยายไปที่ตำหนักองค์รัชทายาท
เว่ยอวิ๋นซูอยู่ในสำนักศึกษา ลูกที่อยู่ในบ้านมีแม่นมกับซูเนี่ยนหว่านคอยดูแล ซูเนี่ยนหว่านได้ยินว่าลูกสาวกับลูกเขยจะออกไปข้างนอก ก็พาหลานสาวตัวเองไปด้วย และทำหน้าที่ดูแลพวกลูกๆ หลานๆ
โชคดีที่มีแม่นมอยู่ด้วย เด็กทั้งสี่จึงไม่งอแง เพียงแต่ลูกตัวน้อยที่พูดไม่ค่อยเก่งนี้ค่อนข้างจะกล่อมยากเล็กน้อย
เฉียวเยี่ยนกล่อมลูกชายครู่หนึ่ง ในที่สุดก็ทำให้เด็กน้อยมีความสุขขึ้นมาได้ ก่อนวางเขาลงบนพรม ปล่อยให้เด็กน้อยสำรวจไปรอบๆ
ลูกสาวของเฉียวจิ่นกับเว่ยอวิ๋นซู่ชื่อว่าเฉียวอวี้โหรว มีชื่อเล่นว่าเสี่ยวอวี้เอ๋อร์ ตอนนี้ใกล้จะหกเดือนแล้ว และเป็นเจ้าก้อนแป้งขาวเกลี้ยงเกลา
นิสัยสงบเสงี่ยมเหมือนกับเฉียวจิ่น น่ารักเชื่อฟัง ดูแลง่ายมาก
หลังจากเฉียวเยี่ยนอุ้มลูกเสร็จ ก็อุ้มยัยหนูน้อยขึ้นมา ยัยหนูน้อยไม่แข็งแรงเท่ากับเสี่ยวอวี๋เป่า ดังนั้นพออุ้มขึ้นมาได้จึงไม่รู้สึกหนักเท่าใดนัก
เด็กน้อยชอบยิ้มมากๆ พอถูกท่านน้าแกล้ง ก็แสยะยิ้มขึ้นมา น่ารักเหลือแสน
ตอนนี้ใบหน้าของซูเนี่ยนหว่านแดงปลั่ง สีผิวผ่องใส ลูกสาวลูกชายมีอนาคต ลูกสะใภ้ลูกเขยกตัญญู หลานสาวน่ารัก และยังมีพวกหลานชายที่ฉลาด เก่ง เชื่อฟัง รู้ความอีก นางรู้สึกว่าตัวเองเป็นผู้ชนะที่ยิ่งใหญ่มาก
ตอนนี้นางดูแลเด็กๆ ทุกวัน ทำงานแปลงผักในจวนเล็กน้อย ใช้ชีวิตได้อย่างมีความสุขมาก
เมื่อเห็นว่ามารดาใช้ชีวิตอย่างมีสุขสบาย เฉียวเยี่ยนก็รู้สึกโล่งใจ
ซูเนี่ยนหว่านหยิบหุ่นหัวเสือที่เฉียวเยี่ยนทำให้เสี่ยวอวี๋เป่ามาแกล้งเด็กน้อย ครั้นเด็กน้อยเห็นหุ่นเชิดน่ารัก ก็ยื่นมือเล็กแล้วเดินเตาะแตะเข้ามาหยิบ
แต่ทันทีที่เขาหันกลับ เห็นมารดากำลังอุ้มทารกน้อยอีกคน เจ้าอ้วนน้อยก็โกรธขึ้นมาทันที
เขาทำหน้ามุ่ยด้วยความโกรธ เอามือเล็กอวบเท้าเอว พลางเอ่ยกับมารดาอย่างดุดันแบบเด็ก “ห้ามอุ้ม! แม่ ของข้า!”
เด็กน้อยอายุหนึ่งขวบครึ่งสามารถพูดคำง่ายๆ ออกมาได้แค่คำสองคำเท่านั้น
เมื่อเห็นแม่ตัวเองถูกแย่งไป เด็กน้อยก็ไม่อยากได้หุ่นเชิดแล้ว พลางเดินเตาะแตะไปหามารดา กอดขานางอย่างงอนๆ
“แม่ อุ้ม!”
………………………………………………………………………………………………………………………..
สารจากผู้แปล
มีเหตุต้องจากไปรบอีกแล้วสิ รอบนี้ศึกหนักด้วยล่ะ
เจ้าก้อนอวี๋เป่าอารมณ์ร้ายเหมือนกันนะเนี่ย คนอื่นแย่งแม่ไปไม่ได้เลย
ปล. จงเข้าใจว่าเรื่องนี้เป็นนิยายแปลจีนนะคะ มันก็จะมีความชาตินิยมและความแค้นฝังหุ่นต่อเพื่อนบ้านอยู่ (แต่ถึงขั้นจะซื้ออาวุธมาถล่มทั้งเกาะนี่มันก็แรงอยู่นา)
ไหหม่า(海馬)