ชายาผู้นี้ชอบทำสวน พวกเจ้าจะยุ่งทำไม? - ตอนที่ 122 เฉียวจิ่นเข้าร่วมการสอบขุนนาง
ตอนที่ 122 เฉียวจิ่นเข้าร่วมการสอบขุนนาง
ตอนที่ 122 เฉียวจิ่นเข้าร่วมการสอบขุนนาง
การสอบขุนนางในฤดูใบไม้ผลิของราชวงศ์เทียนลี่มีกำหนดอยู่ที่กลางเดือนสาม ซึ่งอีกไม่กี่วันก็จะเริ่มขึ้นแล้ว ทำให้ช่วงนี้เฉียวจิ่นขยันอ่านหนังสืออย่างเต็มที่ จนร่างกายที่ฟื้นฟูอย่างยากลำบากกลับมาซูบผอมลงอีกครั้ง
บ้านที่ซื้อมาจากคหบดีอู๋เมื่อก่อนหน้านี้ได้เปลี่ยนชื่อเป็นจวนสกุลเฉียวแล้ว เฉียวเยี่ยนซื้อข้ารับใช้ให้พี่ชายกับมารดาเป็นจำนวนไม่น้อย แม้จวนที่ใหญ่โตกว้างขวางจะมีเจ้านายเพียงสองคน แต่เจ้านายล้วนใจดีอ่อนโยน พวกข้ารับใช้ก็มีนิสัยร่าเริง จึงไม่รู้สึกเงียบเหงาอะไร
ในวันธรรมดาเฉียวเยี่ยนจะต้มน้ำแกงบำรุงกำลังให้ข้ารับใช้ไปส่งให้เฉียวจิ่น เพราะนางไม่อยากให้สุขภาพร่างกายเขาเสื่อมโทรมลงจากการสอบขุนนาง
การสอบในสมัยโบราณนั้นยุ่งยากมาก ซึ่งการสอบขุนนางครั้งนี้เรียกอีกอย่างว่าเป็นการสอบระดับฮุ่ยซื่อ* มีสอบทั้งหมดสามรอบ และแต่ละรอบใช้เวลาสอบสามวัน รวมกันทั้งหมดแล้วก็เก้าวัน
(*会试 ฮุ่ยซื่อ การสอบจอหงวนระดับสาม ตรงกับการสอบระดับประเทศ)
ในเก้าวันนี้หลายคนกินไม่อิ่ม หลับไม่สนิท แถมยังต้องรวบรวมสมาธิในการตอบคำถาม คิดๆ ดูแล้วก็ลำบากมาก มีผู้เข้าสอบหลายคนสภาพร่างกายไม่ค่อยสู้ดี ยังไม่ทันได้สอบเสร็จก็หมดสติอยู่ในสนามสอบไปเสียก่อน
สภาพร่างกายของเฉียวจิ่นช่วงนี้กล่าวได้ว่าผอมกะหร่องก่องไม่เกินจริง ดังนั้นซูเนี่ยนหว่านจึงกังวลมาก มีหลายครั้งที่นางอยากเกลี้ยกล่อมให้เขายอมแพ้ ทว่านางกลับพูดออกมาไม่ได้
วันที่สิบเจ็ดเดือนสาม การสอบฮุ่ยซื่อเริ่มขึ้นแล้ว เฉียวเยี่ยนพาเด็กสองคนไปรับเฉียวจิ่นที่จวนสกุลเฉียวเพื่อส่งเขาไปยังสนามสอบด้วยตัวเอง
ซูเนี่ยนหว่านเตรียมถุงขนาดน้อยใหญ่ให้เฉียวจิ่น และให้จิ้งหมิงข้ารับใช้ข้างกายเขาตามไปคอยปรนนิบัติเขาด้วย
เฉียวเยี่ยนก็เตรียมของบางอย่างให้เขาเช่นกัน ได้แก่ลูกอมรสมินต์สองกล่อง ซึ่งนำมาใช้เพื่อทำให้จิตใจสงบสดชื่นได้ แล้วก็กาแฟสำเร็จรูปสองสามซอง ในสนามสอบจะมีน้ำร้อนให้ หากตอนนั้นรู้สึกง่วงจนไม่ไหวจริงๆ ก็ชงดื่มกระตุ้นให้ตื่นได้
นอกจากของพวกนี้แล้ว นางยังเตรียมชุดด้านในอุ่นๆ ให้เขาด้วย แม้เดือนสามจะค่อนข้างอบอุ่นอยู่แล้ว แต่ร่างกายของเฉียวจิ่นค่อนข้างอ่อนแอเป็นหวัดได้ง่ายกว่าคนทั่วไป จึงต้องสวมเสื้อผ้าที่หนาขึ้นหน่อย
ระหว่างทางไปสนามสอบ จิ้งหมิงขับรถอยู่ด้านนอก เฉียวเยี่ยน เฉียวจิ่น กับลูกสองคนนั่งอยู่ในรถม้า เด็กทั้งสองทับอยู่บนตัวท่านลุงเหมือนกับหมีโคอาล่าตัวน้อยสองตัว
เสี่ยวอวี๋เอ๋อร์เด็กหลังห้องที่ไม่ชอบการสอบเป็นที่สุด เมื่อรู้ว่าลุงตัวเองจะไปเข้าร่วมการสอบใหญ่ในวันนี้แถมยังต้องสอบหลายวัน ก็รู้สึกเห็นอกเห็นใจอย่างหาที่เปรียบไม่ได้
ท่านลุงช่างน่าสงสารนัก อายุป่านนี้แล้วยังต้องสอบอีก นางคิดว่ามีแค่เด็กน้อยอย่างพวกเขาเท่านั้นที่ต้องสอบเสียอีก
เด็กน้อยใช้มือน้อยแตะหน้าอกของลุงตัวเอง และปลอบเขาด้วยน้ำเสียงเจื้อยแจ้ว ” ท่านลุงไม่ต้องเศร้านะเจ้าคะ หลังสอบเสร็จ ข้าจะเลี้ยงขนมท่านลุงเอง”
เจ้าปลาอ้วนคิดอะไรไม่ออกเช่นกันว่าจะใช้อะไรมาปลอบลุง สำหรับนางแล้ว สิ่งที่ปลอบนางให้มีความสุขขึ้นมาได้ในบัดดลก็คือการได้กินขนมชิ้นหนึ่งตอนที่อารมณ์ไม่ดี
เฉียวจิ่นได้ฟังคำพูดนุ่มนวลของเด็กน้อยก็รู้สึกว่าหัวใจของเขาอ่อนระทวยเช่นกัน เขาลูบศีรษะนาง แล้วเอ่ยอย่างอ่อนโยน “ได้สิ ลุงจะรอขนมจากอวี๋เอ๋อร์นะ”
เฉียวเยี่ยนรู้สึกขบขันจนไม่รู้จะทำอย่างไรกับเด็กน้อยดี จึงจงใจเอ่ยด้วยสีหน้าขรึม “เฉียวจืออวี๋ เจ้าแอบขโมยขนมเอาไปซ่อนไว้ลับหลังแม่ใช่หรือไม่?”
เด็กทั้งสองยังคงใช้ชื่อและนามสกุลเดิม มู่ฉินเจินเองก็ไม่เคยพูดถึงเรื่องการเปลี่ยนนามสกุลเลย ในสายตาเขาแล้ว ไม่ว่าพวกเขาจะนามสกุลอะไรก็ล้วนเป็นลูกของเขา
เจ้าปลาอ้วนที่ถูกจับได้ชะงักค้างไปทันที ก่อนจะได้สติว่านางถูกเปิดโปงแล้ว จึงรีบซ่อนใบหน้าน้อยไว้ในอ้อมแขนของลุง แล้วเอ่ยเล่นลิ้นพยายามปกปิดความผิดตัวเอง “ลูกไม่ได้ทำ!”
เสี่ยวฉวนเอ๋อร์มองน้องสาวผู้โง่เขลาแล้วก็ถอนหายใจอย่างจนใจ อาการนี้มันคือกินปูนร้อนท้องไม่ใช่หรือ?
เฉียวเยี่ยนควบคุมปริมาณขนมที่เด็กทั้งสองกินอย่างเคร่งครัด ถึงอย่างนั้นก็มิอาจห้ามคนแก่ทั้งสามคนในครอบครัวที่แอบป้อนขนมพวกเขาลับหลังนางได้
เมื่อพวกเขาไปเรียนในพระราชวัง ฮ่องเต้กับฮองเฮาจะยัดขนมใส่กระเป๋าใบน้อยของพวกเขา เสี่ยวฉวนเอ๋อร์ดีหน่อยสามารถควบคุมตัวเองได้ แต่เจ้าปลาอ้วนจอมตะกละที่เรียนหนังสือไปแล้วเกิดอาการเบื่อหน่ายก็จะแอบกินขนมอย่างเหิมเกริม และถูกอาจารย์จับได้ตั้งหลายหน
ในตอนที่ไม่ไปเข้าเรียน ก็มีผู้เป็นยายอย่างซูเนี่ยนหว่านป้อนขนมให้ จนเด็กน้อยจะสร้างโกดังเก็บขนมได้แล้ว
……
สถานที่จัดสอบขุนนางเรียกว่าก้งย่วน* เมื่อมาส่งคนถึงหน้าประตูก้งย่วน เฉียวเยี่ยนก็ไม่เข้าไปแล้ว มีเพียงจิ้งหมิงเท่านั้นที่หอบหิ้วย่ามใบใหญ่เล็กตามเข้าไป
(*贡院 ก้งย่วน เป็นสนามสอบขุนนาง)
ลูกทั้งสองโบกมือน้อยอำลาท่านลุงของพวกเขา หลังจากเฉียวจิ่นกอดเด็กทั้งสองแล้วก็หันหลังเดินเข้าสนามสอบ
เมื่อเข้าไปในสนามสอบแล้วจะต้องมีการตรวจค้นร่างกาย แม้แต่สัมภาระทุกอย่างที่นำเข้าไปจะต้องถูกค้นด้วย
หลังจากมองเฉียวจิ่นเข้าไปจนลับตาแล้ว เฉียวเยี่ยนถึงได้เดินทางจากไป
การสอบเก้าวัน สำหรับผู้เข้าสอบแล้วไม่เพียงแต่รู้สึกว่าหนึ่งวันนานกลายเป็นหนึ่งปี แต่ยังเป็นความทรมานสำหรับสมาชิกในครอบครัวที่รออยู่ที่บ้านด้วย
ซูเนี่ยนหว่านหมุนลูกประคำทุกวัน และสวดมนต์อธิษฐานให้ลูกชายของนาง เฉียวเยี่ยนเองก็รู้สึกกระสับกระส่ายเล็กน้อย เพราะกังวลเรื่องสุขภาพร่างกายของพี่ชาย
สำหรับความรู้ของพี่ชายนาง นางมั่นใจมาก เขาเป็นถึงคนที่แม้แต่ฮ่องเต้ก็ยังชื่นชม แม้จะไม่ได้เป็นจอหงวน แต่สองสามอันดับหน้าก็น่าจะได้ แต่นางกังวลว่าร่างกายที่ผอมแห้งของเขาจะทนกับการสอบเก้าวันนี้ไม่ไหว
มู่ฉินเจินรู้ว่านางเป็นกังวล จึงส่งคนไปตรวจสอบสถานการณ์ภายในก้งย่วน เพียงเพื่อจับตาดูสภาพร่างกายของผู้เข้าสอบเท่านั้น ส่วนที่เหลือไม่ได้ถามไถ่อะไร ซึ่งไม่ถือว่าเป็นการรบกวนการสอบขุนนาง
อาการของเฉียวจิ่นถือว่าไม่เลว น่าจะอยู่รอดถึงเก้าวันได้ จิ้งหมิงเองก็ดูแลอย่างสุดชีวิต
หลังจากรอคอยอย่างทรมานมาเก้าวัน ในที่สุดการสอบก็สิ้นสุดลง
เฉียวเยี่ยนพามารดาไปรออยู่นอกลานก้งย่วนตั้งแต่เช้าตรู่ แม้แต่น้องเขยอย่างมู่ฉินเจินก็ยังตามไปรับพี่ภรรยาด้วย
ทันทีที่ถึงเวลา ประตูก้งย่วนก็เปิดออก เหล่าผู้เข้าสอบนับไม่ถ้วนหลั่งไหลออกมาจากประตูนี้ ตอนเข้าไปต่างมีจิตใจที่เร่าร้อนฮึกเหิม เมื่อออกมากลับมีสภาพหน้าหดเหลือสองนิ้ว
หลายคนมีสภาพผมเผ้ารุงรัง ดวงตาแดงก่ำ เห็นได้ชัดว่าพวกเขานอนไม่พอมาหลายวัน
ทันทีที่ออกจากประตูก้งย่วนมา ก็มีผู้เข้าสอบคนหนึ่งแหงนหน้ากรีดร้องขึ้นไปบนฟ้า ก่อนจะหัวเราะออกมาอย่างบ้าคลั่ง หลายคนทั่วบริเวณนั้นมองจนพากันส่ายหน้า พลางอุทานออกมาว่ามีคนบ้าเพิ่มอีกคนหนึ่งแล้ว
เฉียวเยี่ยนเห็นสถานการณ์นั้น ก็นึกถึงเรื่องฟ่านจิ้นผู้สอบจวี่เหรินขึ้นมา มีปัญญาชนครอบครัวยากจนกี่คนแล้วที่หวังสอบผ่านขุนนางเพื่อเชิดหน้าชูตา แต่สุดท้ายสิ่งที่ได้กลับเป็นความล้มเหลวครั้งแล้วครั้งเล่า หลายคนยังไม่ทันสอบผ่านจวี่เหรินได้ก็เป็นบ้าเหมือนฟ่านจิ้นไปแล้ว
หลังจากรออยู่พักหนึ่ง ในที่สุดก็เห็นเฉียวจิ่นออกมา เขาถูกจิ้งหมิงพยุงไว้ ฝีเท้าค่อนข้างอ่อนแรงเล็กน้อย สีหน้าดูซีดเซียว แต่สภาพจิตใจของเขาถือว่าไม่เลวเลย
วินาทีที่ซูเนี่ยนหว่านเห็นลูกชายออกมา นางก็รีบรุดเข้าไปพยุงเขาอีกด้านหนึ่งทันที และเอ่ยด้วยความกังวลเล็กน้อย “จิ่นเอ๋อร์ เจ้ารู้สึกอย่างไรบ้าง? อาการยังดีอยู่หรือไม่?”
เฉียวจิ่นยิ้ม และเอ่ยเสียงแผ่วเบา “ท่านแม่ไม่ต้องเป็นห่วง ข้าสบายดี”
เฉียวเยี่ยนก็เข้าไปล้อมด้วยเช่นกัน เมื่อเห็นพี่ชายยังอยู่ครบสามสิบสองประการ ในที่สุดใจที่เป็นกังวลมาหลายวันก็สงบลง
หลังจากพาเฉียวจิ่นกลับไปที่จวน เขาก็ผล็อยหลับไปทันทีที่เข้าห้อง ความจริงแล้วเขาง่วงมาก ตอนนี้เขาแค่อยากนอนพักดีๆ สักงีบโดยไม่สนใจสิ่งอื่นใด
ยังมีเวลาอีกหลายเดือนกว่าผลการสอบฮุ่ยซื่อจะออก ในช่วงเวลานี้พวกบัณฑิตหลายคนต่างกังวลอย่างมาก เฉียวเยี่ยนก็เกรงว่าเฉียวจิ่นจะกังวลเกินไป จึงพาเด็กทั้งสองไปที่จวนสกุลเฉียวบ่อยๆ ให้เด็กๆ หันเหความสนใจของเขา
แต่ก่อนที่รายชื่อจะถูกเปิดเผย เหล่าเชื้อพระวงศ์กับขุนนางก็จัดงานใหญ่ขึ้น งานล่าสัตว์ช่วงวสันตฤดูของราชวงศ์กำลังจะเริ่มขึ้นแล้ว
โดยทั่วไปในช่วงต้นฤดูใบไม้ผลิของทุกปี ฮ่องเต้จะจัดงานล่าสัตว์ช่วงวสันตฤดูที่ลานล่าสัตว์ของราชวงศ์ขึ้น เหล่าเชื้อพระวงศ์ ขุนนาง เจ้าหน้าที่ระดับสูงและบุคคลสำคัญต่างๆ ล้วนพาครอบครัวมาเข้าร่วม บรรยากาศดูยิ่งใหญ่เอิกเกริกมาก
เฉียวเยี่ยนยังไม่เคยเข้าร่วมการล่าสัตว์ช่วงวสันตฤดูเลย เมื่อทราบข่าวนี้ก็รู้สึกตื่นเต้นอยู่ครู่หนึ่ง นางจึงให้ฮุ่ยเซียงไปไปหาซิ่วเหนียง*เพื่อทำชุดขี่ม้าให้นาง แม้แต่ลูกน้อยทั้งสองก็ได้ทำสองสามชุด เพราะชุดปีก่อนของพวกเขาสั้นเกินไปสำหรับตอนนี้แล้ว
(*绣娘 ซิ่วเหนียง – ช่างปัก คนที่ชำนาญการเย็บปักถักร้อย)
พอถึงวันที่สามเดือนสี่ การล่าสัตว์ช่วงวสันตฤดูก็ได้เริ่มต้นขึ้น ขบวนทัพได้ออกเดินทางจากเมืองหลวงไปยังสนามล่าสัตว์ของราชวงศ์อย่างยิ่งใหญ่เกรียงไกร
เหล่าองครักษ์รักษาพระองค์ได้จัดการถนนไว้ล่วงหน้าแล้ว ในมือถือดาบยาว สวมชุดเกราะ ยืนตระหง่านเรียงอยู่ตรงสองข้างถนนอย่างน่าเกรงขาม เพื่ออารักขาความปลอดภัยของฝ่าบาท
…………………………………………………………………………………………………………………………
สารจากผู้แปล
พี่เฉียวจิ่นสู้ๆ ขอให้สอบติดนะคะ ปกติสอบสามวันติดกันก็จะตายแล้ว นี่สอบเก้าวัน ไม่อยากนึกสภาพเลยค่ะ
ไหหม่า(海馬)