ชะตาฟ้าหาญกล้าท้ายอดคน - ตอนที่ 9 การหักหลังของลุงเฉิน
ตอนที่ 9 การหักหลังของลุงเฉิน
ฉินอี๋หัวเราะคิกคักพลางกล่าว “แค่เข้าสังคมนิดหน่อยน่ะค่ะ”
หลิ่วจวินจวินถอนใจพลางส่ายศีรษะ ท่าทางเหมือนไม่รู้จะทำอย่างไรกับเธอดี ก่อนจะพยักเพยิดหน้าไปอีกด้านหนึ่งเพื่อบอกให้เธอเดินเข้าไปหาฉินเต้าเปียน
เมื่อเห็นสีหน้าคร่ำเคร่งของผู้เป็นพ่อ ฉินอี๋จึงเหลียวหน้าเดินจากไป แต่กลับถูกหลิ่วจวินจวินดึงเอาไว้ ก่อนจะผลักเธอเข้าไป
ฉินอี๋เดินไปตรงหน้าฉินเต้าเปียนอย่างไม่ค่อยยินดี นั่งลงข้างๆ ฉินเต้าเปียน
ฉินเต้าเปียนเหลือบมองเธอ ก่อนจะกดปิดฉากแสงที่อยู่ตรงหน้า ภายในโถงเงียบสงัดไปทันที
หลิ่วจวินจวินมองดูท่าทีของสองพ่อลูก ก่อนจะเดินเข้าไปรินชาให้ทั้งสอง จากนั้นยื่นชาแก้วหนึ่งให้ฉินอี๋
“ดื่มให้สร่างหน่อย”
ฉินอี๋รับถ้วยชามา ดื่มชาลงไปอย่างเงียบๆ
ที่เธอดูไม่ค่อยเต็มใจ เป็นเพราะเธอคาดเดาได้ว่าผู้เป็นพ่อจะพูดอะไร ก็เหมือนอย่างที่ไป๋หลิงหลงคิดเอาไว้ เธอรู้ว่าเรื่องภายในหอการค้าตระกูลฉินบางเรื่องนั้นไม่มีทางปิดบังฉินเต้าเปียนไปได้
แม้นฉินเต้าเปียนจะลงจากตำแหน่งประธานหอการค้าแล้ว แต่รากฐานภายในหอการค้าของเขายังคงยากที่จะสั่นคลอนได้ ยิ่งไปกว่านั้นคนเก่าคนแก่บางคนภายในหอการค้าก็ล้วนแต่เป็นคนที่ฉินเต้าเปียนปลุกปั้นมาเองกับมือ
แล้วก็เป็นอย่างที่คิด ฉินเต้าเปียนส่งเสียงทุ้มต่ำคร่ำเคร่ง “ได้ยินว่าเจ้าขยะที่โรงอีหลิวนั่นกลับมาแล้วเหรอ?”
ฉินอี๋ไม่ตอบอะไร
ฉินเต้าเปียนกล่าวถามอีกว่า “ได้ยินว่าวันนี้มันไปหาแกที่หอการค้าด้วย?”
ฉินอี๋กล่าว “หนูเป็นคนเรียกเขามาเอง”
ฉินเต้าเปียนกล่าว “ฉันรู้ จางเลี่ยเฉินบอกฉันแล้ว แกเป็นคนไปหามันเอง แกคิดจะทำอะไร?”
ฉินอี๋กล่าว “หนูเรียกเขาเข้ามาทำงานที่หอการค้า พรุ่งนี้เริ่มงานวันแรก วันนี้ก็เลยเรียกมาคุยนิดหน่อย”
ฉินเต้าเปียนหันขวับทันที สีหน้าโกรธเกรี้ยว “เหลวไหล!”
หลิ่วจวินจวินที่นั่งเอียงๆ อยู่บนที่พักแขนของโซฟารีบยื่นมือมากดไหล่เขาเอาไว้ทันที ก่อนจะบอกให้เขาระวังท่าทีในการพูด “เหล่าฉิน!”
ฉินเต้าเปียนหันหน้ามาจ้องเขม็งใส่เธอด้วยสายตาโกรธเกรี้ยว กล่าวว่า “คุณจะทำอะไร? เธอทำตัวเหลวไหล หรือคุณจะทำตัวเหลวไหลตามเธอไปด้วย?”
หลิ่วจวินจวินถอนใจพลางกล่าว “ลูกอี๋ไม่ใช่เด็กแล้ว เธอทำอะไรย่อมรู้ตัวดี คนเป็นพ่อเป็นลูกกัน มีอะไรทำไมไม่ค่อยพูดค่อยจากัน ทำไมต้องถลึงตาใส่อารมณ์ด้วย?”
“น้าหลิ่ว หนูชินแล้วค่ะ” ฉินอี๋วางถ้วยชา กล่าวกับฉินเต้าเปียนด้วยสีหน้าจริงจังว่า “พ่อ ที่หนูเรียกเขามา หนูไม่ได้มีความคิดอะไรอย่างอื่น ตอนนั้นมีเรื่องบางเรื่องที่พวกพ่ออาจจะยังไม่รู้ ตอนนั้นหลินยวนไม่ใช่แค่หลอกหนู แต่ยังหลอกเอาเงินหนูไปด้วย เขายืมเงินไปจากหนูหนึ่งล้านมุก ในเมื่อเขากลับมาแล้ว หรือหนูจะยอมปล่อยเขาไปเฉยๆ ได้? ที่หนูเรียกเขาเข้ามาทำงานที่หอการค้าก็เพื่อระบายความแค้น หนูรวมดอกเบี้ยเข้าไปในเงินต้นที่เขายืมหนูไป กลายเป็นหนึ่งล้านห้าแสนมุก ให้เขาทำงานใช้หนี้”
ฉินเต้าเปียนแค่นหัวเราะ “งั้นเหรอ?” สีหน้าเห็นได้ชัดว่าไม่เชื่อ
ฉินอี๋ลุกขึ้นยืน “หนูเป็นประธานของหอการค้า หนูมีแผนการของตัวเองอยู่ หรือกระทั่งรับคนมาทำงานสักคนหนูก็ยังทำไม่ได้?”
“นี่แก…” ฉินเต้าเปียนโกรธเกรี้ยว อยากจะลุกขึ้นมาต่อว่าด้วยความโกรธ แต่กลับถูกหลิ่วจวินจวินใช้มือกดหัวไหล่เอาไว้ ใช้พลังจนทำให้เขายากจะขยับเขยื้อนได้ กระทั่งลุกขึ้นยืนก็ยังทำไม่ได้
หลิ่วจวินจวินเห็นว่าถ้าพ่อลูกยังคงทะเลาะกันเพราะเรื่องนี้ต่อไป เดี๋ยวจะมองหน้ากันไม่ติดเอาได้ จึงรีบเข้ามาไกล่เกลี่ยว่า “เอาล่ะ ก็แค่คนนอกคนหนึ่งเท่านั้น ทำไมต้องมานั่งเถียงกันด้วย คืนนี้ฉันขอสั่งห้ามใครพูดถึงหลินยวนคนนั้นอีก ให้พูดเรื่องอื่น พูดเรื่องงาน” ขณะเดียวกันก็แอบบีบไหล่ของฉินเต้าเปียนพร้อมกับส่งสายตาให้เขา
ฉินเต้าเปียนจึงได้แต่ต้องระงับความโกรธเอาไว้ โน้มตัวไปหยิบถ้วยชา ดื่มรวดเข้าไปสองสามคำถึงจะพอระงับความโกรธลงไปได้บ้าง
ช่วยไม่ได้ เขาไม่สามารถใจเย็นเรื่องหลินยวนได้จริงๆ ทำร้ายลูกสาวตัวเองขนาดนั้น เปลี่ยนเป็นพ่อคนไหนก็คงไม่อาจใจเย็นได้เช่นกัน เขาอยากจะสับหลินยวนเป็นชิ้นๆ
ตอนนี้สิ่งที่เขาเป็นห่วงยิ่งกว่านั้นก็คือลูกสาวของตัวเองจะย้อนกลับไปเดินทางเก่า ถ้าทำผิดพลาดเรื่องเดิมเป็นครั้งที่สอง นั่นเรียกว่าโง่หรือเปล่า?
การที่ลูกสาวของตัวเองยังติดต่อกับหลินยวนอยู่ เขาไม่เห็นด้วยอย่างเด็ดขาด!
เมื่อเห็นสองพ่อลูกในเวลานี้ไม่สามารถที่จะพูดคุยกันดีๆ ได้ หลิ่วจวินจวินจึงเป็นฝ่ายถามฉินอี๋ด้วยน้ำเสียงที่แผ่วเบาลงว่า “การประมูลใกล้จะเริ่มขึ้นแล้ว ทางเจออู๋จื่อเตรียมตัวเป็นอย่างไรบ้าง?”
เจออู๋จื่อ ปรมาจารย์ด้านข่ายพลังที่ไม่มีชื่ออยู่ในบัญชีรายชื่อเซียน ถือเป็นเพียงผู้บำเพ็ญเพียรไร้สำนักเท่านั้น
และคนผู้นี้ก็คือไพ่ตายใบสำคัญในการประมูลครั้งนี้ของตระกูลฉิน ทั้งยังเป็นความลับทางธุรกิจที่สำคัญที่สุดในปัจจุบันของตระกูลฉินด้วย
ความจริงปัญหาเรื่องข้อต่อที่แบกรับภาระหนักของเทพมหาวิญญาณนั้นมีเค้าลางปรากฏให้เห็นมาตั้งนานแล้ว เพียงแต่ก่อนที่กลุ่มผู้สนับสนุนแดนมารจะมาก่อความวุ่นวาย ปัญหานี้มันยังไม่แสดงออกมาให้เห็นชัดขนาดนี้ หลังทำการต่อสู้บ่อยครั้งจนปัญหานี้ปรากฏขึ้นมา มันก็ไม่สามารถถูกมองข้ามไปได้อีก
และก่อนหน้านี้เจออู๋จื่อผู้นี้ได้เที่ยวประกาศไปว่าตนเองแก้ปัญหานี้ได้แล้ว ทำให้คนจำนวนมากเกิดความละโมบ สุดท้ายเขาก็ถูกปล้นและถูกสังหาร
แต่สิ่งที่ทำให้ฉินเต้าเปียนคิดไม่ถึงก็คือคนที่ตายไปแล้วผู้นี้กลับยังมีชีวิตอยู่ คิดไม่ถึงว่าฉินอี๋จะแอบพาตัวเขามาอย่างเงียบๆ
หลังพาคนมาแล้ว ฉินอี๋ถึงจะบอกความลับนี้แก่พ่อของเธอ
จากที่เจออู๋จื่อป่าวประกาศว่าตนเองสามารถแก้ปัญหาของเทพมหาวิญญาณได้ออกไป ฉินอี๋ก็รู้ทันทีว่าคนผู้นี้มีปัญหาแล้ว แล้วก็มองเห็นโอกาสทางธุรกิจมูลค่ามหาศาล จึงรีบทำการวางแผน
หลังจากที่การทดสอบแบบเปิดประสบความสำเร็จ ปัญหาก็ตามมาอย่างที่คาดคิดเอาไว้ หลายฝ่ายพากันแย่งตัวเจออู๋จื่อจนพลั้งมือ เรียกได้ว่าหากฉันไม่ได้ แกก็อย่าหวังจะได้ไป!
และเรื่องนี้ก็เป็นไปตามที่ฉินอี๋ได้เตือนเจออู๋จื่อเอาไว้ แล้วก็เป็นการพิสูจน์ว่าฉินอี๋หวังดีต่อเจออู๋จื่อ
ดังนั้น ‘เจออู๋จื่อ’ จึงแสร้งทำเป็นตาย ส่วนตัวเจออู๋จื่อจริงๆ นั้นกลับถูกฉินอี๋แอบพาตัวมายังเมืองปู๋เชวี่ย
ช่วยไม่ได้ ฉินอี๋รู้ว่าด้วยความแข็งแกร่งของตระกูลฉินนั้นยากที่จะเอาชนะกลุ่มอำนาจบางกลุ่มได้ จึงได้แต่ต้องใช้ลูกไม้แบบนี้พาตัวเจออู๋จื่อมา
ฟังดูเหมือนจะง่าย แต่ขั้นตอนกลับมีความซับซ้อนเป็นอย่างมาก
ฉินเต้าเปียนที่รู้ความจริงตกใจเป็นอย่างมาก คิดไม่ถึงว่าลูกสาวของตนจะใจกล้าถึงเพียงนี้ ถึงขนาดกล้ายื่นมือเข้าไปในยุ่งในธุรกิจเทพมหาวิญญาณ
และนี่ก็เป็นเหตุผลที่ฉินอี๋ไม่ยอมบอกให้ฉินเต้าเปียนรู้ก่อน เพราะเธอรู้ว่าเรื่องนี้มีความเสี่ยงเป็นอย่างมาก หากให้พ่อของเธอรู้ก่อน พ่อจะต้องหยุดเธออย่างแน่นอน
ในเวลานี้เมื่อพูดเรื่องนี้ขึ้นมา สองพ่อลูกก็ใจเย็นลงในทันที
ฉินอี๋เองก็ลดเสียงลง กล่าวว่า “เตรียมพร้อมหมดแล้ว การทดสอบผ่านเกณฑ์ ทุกอย่างพร้อม รอแค่การประมูลเริ่มขึ้นเท่านั้น”
หลิ่วจวินจวินกล่าวว่า “ลูกอี๋ ยิ่งใกล้ถึงช่วงเวลาสำคัญก็ยิ่งต้องระมัดระวังนะ ก่อนที่การประมูลจะประสบความสำเร็จ ห้ามให้ใครรู้เด็ดขาดนะว่าเจออู๋จื่ออยู่ในมือลูก”
ฉินอี๋พยักหน้าอย่างเงียบๆ เหลือบมองไปทางพ่อของตน ก่อนจะกล่าวด้วยน้ำเสียงเรียบเฉยว่า “หนูเหนื่อยแล้ว”
หลิ่วจวินจวินยิ้มแห้ง “เหนื่อยก็รีบไปพักผ่อนเถอะ”
ฉินอี๋หมุนตัวเดินออกไปทันที
ฉินเต้าเปียนลุกขึ้นยืน ภายในใจยังมีเพลิงโกรธ ชี้ไปทางประตูที่ไม่มีเงาคนพลางกล่าวอย่างโมโหว่า “คุณดูสิ ดูเธอทำสิ”
หลิ่วจวินจวินถอนใจออกมา “ช่างเถอะ”
ฉินเต้าเปียนแค่นหัวเราะ “ช่างเถอะอะไร? จะมีใครรู้จักลูกสาวดีไปกว่าคนที่เป็นพ่ออีก ทำงานใช้หนี้หนึ่งล้านมุกอย่างนั้นเหรอ? ผมว่าเธอยังไม่ลืมมันมากกว่า! คิดไม่ถึงว่าเด็กคนนี้จะทำเรื่องแบบนี้ได้ สามร้อยปีไม่เคยติดต่อเจ้าขยะพรรค์นั้น ไอเราก็นึกว่าเธอคิดได้แล้ว เรื่องราวก็ผ่านไปแล้ว ที่ไหนได้ พวกเราถูกเธอหลอกซะได้!”
หลิ่วจวินจวินกล่าว “เด็กคนนี้เป็นคนที่มีความคิดเป็นของตัวเอง คุณเองก็เคยเห็นมาเยอะแล้ว เรื่องที่เธอตัดสินใจจะทำแล้ว ไปนั่งทะเลาะกับเธอมันช่วยแก้ปัญหาหรือเปล่า? มีแต่จะยิ่งทำให้ปัญหาแย่ลงเท่านั้นแหละ!”
เมื่อคิดถึงว่าสวะหลินยวนที่เคยย่ำยีลูกสาวสุดที่รักที่เป็นดั่งแก้วตาดวงใจของตัวเองได้กลับมาป้วนเปี้ยนอยู่ใกล้ๆ ลูกสาวตัวเองอีกครั้ง ฉินเต้าเปียนก็ยิ่งรู้สึกอัดอั้นอยู่ในอก “อย่างนั้นคุณว่าควรจะทำอย่างไร?”
หลิ่วจวินจวินเองก็รู้สึกกลุ้มใจเช่นเดียวกัน “ถ้าสองพ่อลูกยังไม่มีใครยอมใคร เรื่องนี้มันก็ไม่มีทางแก้ไขได้ ในเมื่อลูกอี๋กล้าเรียกฝ่ายนั้นมา เช่นนั้นเธอก็ไม่มีทางยอมแน่ ตอนนี้ถ้าคิดอยากจะแก้ไขปัญหา มันก็อยู่ที่คุณแล้วว่าคุณจะยอมถอยหรือเปล่า?”
ฉินเต้าเปียนถลึงตา “ผมถอย? ไอสารเลวนั่นเป็นคนอย่างไรคุณเองก็รู้ มันหมายตาทรัพย์สมบัติของตระกูลฉินอยู่”
หลิ่วจวินจวินกล่าว “คุณจะใจร้อนทำไม? ตบมือข้างเดียวมันไม่ดัง บางเรื่องไปโมโหใส่ลูกอี๋มันไม่มีประโยชน์ สู้ไปลงมือกับหลินยวนดีกว่า”
“….” ฉินเต้าเปียนชะงักไปเล็กน้อย พบว่าตัวเองโมโหจนเลอะเลือนไปจริงๆ จึงค่อยๆ นั่งลง กล่าวถามว่า “ทำอย่างไร?”
หลิ่วจวินจวินนั่งลงข้างๆ “คุณคิดจะทำอย่างไร?”
ฉินเต้าเปียนเขยิบตัวเข้าไปใกล้เธอ กล่าวเสียงเบาว่า “คุณแน่ใจนะว่าคนที่ลงมือในตอนนั้นกำลังช่วยเขาอยู่?”
เรื่องเงินหนึ่งล้านมุกอะไรนั่น มีหรือที่ทางนี้จะไม่รู้ ทางนี้รู้ตั้งนานแล้วว่าตอนนั้นหลินยวนหลอกเอาเงินฉินอี๋ไปหนึ่งล้านมุก
ในตอนนั้นที่พบความผิดปกติ ก็เป็นเพราะพวกเขาพบว่าจู่ๆ ฉินอี๋ก็ใช้เงินไปก้อนใหญ่ พวกเขาถึงได้ตรวจสอบจนเจอปัญหา
แต่ที่ตอนนั้นไม่พูดออกไป เป็นเพราะฉินเต้าเปียนไม่อยากให้ลูกสาวรู้ว่าทุกการเคลื่อนไหวของเธอ แม้กระทั่งการใช้เงินก็ล้วนแต่อยู่ในการจับตามองของครอบครัว
เพื่อที่จะแก้ไขปัญหานี้ ทางฉินเต้าเปียนจึงหาตัวจางเลี่ยเฉินจนพบ บีบให้จางเลี่ยเฉินคายเรื่องที่รู้ออกมา
จางเลี่ยเฉินหวาดกลัว จึงสารภาพทุกอย่างออกมา บอกว่าหลินยวนไม่ได้มีความรู้สึกรักใคร่ใดๆ ฉินอี๋เลย เขาเพียงแต่อยากได้ทรัพย์สมบัติของตระกูลฉิน อยากจะเป็นแมงดาเท่านั้น
ถูกต้อง นี่คือความจริงที่จนกระทั่งถึงตอนนี้หลินยวนก็ยังไม่รู้ ลุงเฉินของเขาคนนั้นไม่ช่วยเขาแก้ต่างก็ว่าไปอย่าง แต่กลับยังหักหลังเขาอีก
หากหลินยวนรู้เรื่องนี้เข้า ไม่รู้ว่าหลินยวนจะคิดอย่างไร
หากเป็นเพราะทั้งคู่รักกันจนยากจะหักใจได้ บางทีฉินเต้าเปียนอาจจะพอปลอบใจตัวเองได้บ้างว่าเป็นเพราะคนหนุ่มสาวคิดไม่เป็น ทว่าความเป็นจริงมันกลับโหดร้ายยิ่งนัก
หลังรู้ความจริง ฉินเต้าเปียนก็โกรธจนเกือบจะกระอักเลือดออกมา
ทว่าตอนนั้นที่ฉินเต้าเปียนไม่ได้ฆ่าหลินยวนก็มิได้เป็นเพราะมีเมตตาเช่นกัน การที่หลินยวนทำเรื่องแบบนี้กับลูกสาวของเขา อย่าว่าเป็นหนึ่งหลินยวนเลย ต่อให้สิบหลินยวนเขาก็ไม่คิดปล่อยไป
ที่ฉินเต้าเปียนไม่ลงมือในเมืองปู๋เชวี่ย เป็นเพราะเกรงกลัวกฎหมายของดินแดนเซียน เรื่องบางเรื่องต่อให้มีเส้นสายอย่างไรก็ต้องหลีกเลี่ยงเอาไว้หน่อย ก่อนที่จะแน่ใจได้ว่าลูกสาวของตนจะสามารถเผชิญหน้ากับเรื่องนี้ได้อย่างมีสติ หากปล่อยให้เรื่องราวเล็ดลอดออกไป ตระกูลฉินอาจจะต้องพังพินาศลงเพราะสวะเพียงคนเดียวก็เป็นได้ เขาไม่จำเป็นต้องหน้ามืดจนขาดสติทำเรื่องที่ไม่คุ้มค่าเช่นนั้น
ตอนอยู่ในเมือง เขาเพียงแค่หักขาหลินยวนข้างหนึ่งเท่านั้น
แผนการสังหารที่แท้จริงนั้นอยู่หลังจากนั้น หลังจากไล่หลินยวนออกจากเมืองไปแล้ว เขาก็ส่งคนแสร้งทำเป็นโจรปล้น และตอนนั้นก็เป็นหลิ่วจวินจวินที่พาคนออกไปด้วยตัวเอง หมายจะเด็ดชีวิตของหลินยวน หวังจะลบเรื่องราวที่เกิดขึ้นกับตัวลูกสาวของเขาออกไปให้หมดสิ้น
เงินหนึ่งหนึ่งล้านมุกที่อยู่บนตัวหลินยวนถูกหลิ่วจวินจวินเก็บกลับมา แต่ในขณะที่หลิ่วจวินจวินกำลังจะลงมือปลิดชีวิตหลินยวนนั้น จู่ๆ ก็ได้มีคนลึกลับโผล่เข้ามาขัดขวาง ทำให้แผนการของฉินเต้าเปียนต้องล้มเหลว
เมื่อเอ่ยถึงเรื่องราวในอดีต หลิ่วจวินจวินยังคงมีความรู้สึกหวาดกลัว ภายในดวงตาเผยให้เห็นถึงความอกสั่นขวัญแขวน “คนคนนั้นแข็งแกร่งเป็นอย่างมาก เมื่ออยู่ต่อหน้าเขา ฉันไม่อาจทำอะไรได้เลย อีกทั้งยังลงมือโหดเหี้ยม คนที่ฉันพาไปแทบจะตายในกระบวนท่าเดียว แต่ละคนถูกเขาคว้าตะปบ บีบกะโหลกจนแตก เรียกได้ว่าเขาคนนั้นฆ่าคนได้โดยไม่กะพริบตา ตอนที่เขาจับหัวของฉันเอาไว้ ฉันคิดว่าตัวเองคงไม่รอดแล้ว แต่สุดท้ายเขาก็แค่เอาเงินไป หลังบีบให้ฉันเอาเงินให้แล้วก็ปล่อยฉันจริงๆ ตอนนั้นฉันบาดเจ็บสาหัสหนีกลับมา เลยไม่ได้สนใจหลินยวน”
“เขาบอกว่าสิ่งที่เขาต้องการคือเงิน แต่จังหวะที่เขาปรากฏตัวออกมามันออกจะบังเอิญไปเสียหน่อย เป็นตอนที่ฉันกำลังจะสังหารหลินยวนพอดี ฉันสามารถรับรู้ได้จากวิธีที่เขาลงมือว่าเขากำลังขวัดขวางฉันอยู่ ฉันถึงขนาดรู้สึกสงสัยว่าขอเพียงฉันไม่เอาชีวิตหลินยวน เขาก็คงจะไม่ปรากฏตัวขึ้นมา แต่นี่เป็นเพียงการคาดเดาของฉันเท่านั้น ฉันเองก็ไม่แน่ใจเหมือนกัน”
ฉินเต้าเปียนกล่าวเสียงคร่ำเคร่งว่า “หากเขามาช่วยหลินยวนจริงอย่างที่คุณว่า อย่างนั้นจะเป็นใครล่ะ? อีกทั้งถ้าเป็นการช่วยหลินยวนจริงๆ เช่นนั้นคนผู้นี้ก็ต้องรู้เรื่องของหลินยวน เขาถึงจะสามารถลงมือช่วยได้ทันเวลา หรือพูดอีกอย่างก็คือเป็นไปได้สูงที่จะเป็นคนในเมืองปู๋เชวี่ย แต่ประวัติของเจ้าสวะนั่นพวกเราก็ตรวจสอบอย่างละเอียดแล้ว คนที่ไปมาหาสู่กับมันก็มีอยู่เท่านั้น คนที่น่าสงสัยที่สุดก็คือจางเลี่ยเฉินที่โรงอีหลิวผู้นั้น”
หลิ่วจวินจวินส่ายศีรษะ “ฉันมั่นใจว่าไม่ใช่จางเลี่ยเฉิน คุณก็รู้ ตอนนั้นฉันเองก็สงสัยจางเลี่ยเฉินเหมือนกัน หลังฉันรักษาตัวหายแล้ว ฉันก็ไปที่โรงอีหลิว เคยประมือกับจางเลี่ยเฉินเพื่อตรวจสอบด้วยตัวเอง สภาวะของจางเลี่ยเฉินกับคนลึกลับผู้นั้นต่างกันราวฟ้ากับดิน ไม่มีทางเป็นคนเดียวกันได้ บางทีฉันอาจจะเดาผิดไปจริงๆ”
………………………………………………………………………..